วาสนาบันดาลรัก 216

ตอนที่ 216

“มีอันใดหรือ?” นางหูปล่อยมือเจินเมี่ยว แล้วหันไปมองอาเถา

 

 

อาเถามีสีหน้าประหม่าเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “นายท่านผู้หญิง ข้างนอกมีคนกลุ่มหนึ่งมาเจ้าค่ะ บอกว่าเป็นตระกูลจินจากชิงหยาง”

 

 

“มีคนมาอีกหรือ?” คราแรกนางหูยังไม่เข้าใจจึงหันไปมองเจินเมี่ยว “น้องสาว เหตุใดจึงแบ่งกันมาสองกลุ่มเล่า?”

 

 

“นายท่านผู้หญิงเจ้าค่ะ คนที่มาทีหลังต่างหากที่เป็นคนของตระกูลจิน พวกเขา…พวกเขาไม่ใช่…” อาเถาฝืนเอ่ยออกไปในที่สุด

 

 

ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ทราบว่าคนที่ตนมีใจนับถือไม่นานมานี้กลายเป็นคนหลอกลวงต่างก็ต้องแปลกใจสงสัยทั้งสิ้น

 

 

“ไม่ใช่หรือ?” นางหูรู้สึกมึนงงเล็กน้อย นางกะพริบตาปริบๆ แล้วเบิกกว้างขึ้นโดยพลัน “เจ้า เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลจินหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า

 

 

นางหูลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงหลอกข้า?”

 

 

เจินเมี่ยวยืนขึ้นตามนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “พี่หู เมื่อครู่ข้าก็บอกท่านแล้วว่าข้ามิใช่คนของตระกูลจิน”

 

 

“เจ้าบอกแล้ว?”

 

 

“ใช่ ท่านลืมแล้วหรือ?”

 

 

สตรีสกุลหูระลึกดูอีกคราก็ต้องกัดฟันตน

 

 

ก่อนหน้านี้ที่ตนสอบถามเรื่องตระกูลจิน นางก็บอกว่าตนมิใช่คนของตระกูลจินจึงมิทราบเรื่องในตระกูลจิน!

 

 

แต่…แต่ตนก็คิดว่าเพราะนางเป็นอนุนอกเรือนจึงไม่ทราบ!

 

 

นางหูกล้ำกลืนโทสะเอาไว้

 

 

กล่าวเช่นนี้กลับกลายเป็นว่านางนั้นแลที่คิดไปเอง?

 

 

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ใช่คนของตระกูลจิน แล้วมาที่จวนข้าด้วยเหตุใด? ที่ซ่อนหัวโผล่หางเช่นนี้มีแผนใดกันแน่?” คิ้วกิ่งหลิวของนางหูขมวดแน่น แล้วพลันเข้าใจขึ้นมาทันที “ใช่แล้ว พวกเจ้าต้องเป็นคนที่ตระกูลเว่ยส่งมาเป็นแน่!”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้นางก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา “มีอันใดหรือ ตระกูลเว่ยของพวกเจ้าส่งคนมาขัดขวางการขนส่งชาแท่งชนิดใหม่ของตระกูลหูเรายังไม่พอ ยามนี้กลับบุกเข้ามาในจวนข้าอย่างเปิดเผยเสียแล้วหรือ? เจ้าเป็นอนุคนที่เท่าใดของตาเฒ่าชั่วช้าตระกูลเว่ยนั้นหรือ?”

 

 

นี้มันเรื่องอลหม่านวุ่นวายชนิดใดกันอีกเล่า?

 

 

เจินเมี่ยวมึนงงไม่ทราบจะทำเช่นไรดี

 

 

“ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดหรือ?” หมานโถวกุหลาบม่วงที่จังเกอกันไปครึ่งหนึ่งแล้วนั้นร่วงตกลงจากมือ เขากำแขนเสื้อนางหูไว้แน่น

 

 

นางหูเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบุตรชายอยู่ที่นี่ นางก้มหน้ามองท่าทีหวาดกลัวของจังเกอ ในใจก็หงุดหงิดขึ้นมาจึงเอ่ยเสียงสูงว่า “อาเถา อาซิ่ง พวกเจ้ากลายเป็นคนตายแล้วหรือ เหตุใดจึงมิพาคุณชายออกไปอีก!”

 

 

อาเถาและอาซิ่งจึงมีสติคืนมา อาเถานั่งลงคุกเข่าอุ้มเอาจังเกออกไป

 

 

ผู้ใดจะทราบว่าจังเกอกลับผลักนางออก ปากก็เอาแต่ร้องว่า “ท่านแม่ ข้าอยากกินหมานโถวกุหลาบม่วง และก็ไก่น้อยนั้นด้วย…”

 

 

นางหูอึ้งงันไป หลังจากนั้นก็มองเจินเมี่ยวด้วยความรู้สึกซับซ้อน

 

 

บุตรชายเติบใหญ่ปานนี้แล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่กินอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่อาหารนี้กลับเป็นฝีมือของสตรีที่อยู่ตรงหน้า

 

 

นางเลี้ยงบุตรชายมาอย่างระมัดระวังจนถึงตอนนี้ นางเข้าใจลึกซึ้งยิ่งว่าบุตรนางอ่อนแอเพียงใด บางทีแค่ลมหนาวเพียงวูบเดียวก็อาจพรากชีวิตเขาไปได้ด้วยซ้ำ!

 

 

นางจักต้องบำรุงร่างกายของจังเกอให้แข็งแรง!

 

 

ทว่าจังเกอไม่ยอมกินข้าว ร่างกายจะแข็งแรงได้อย่างไรเล่า?

 

 

นางหูมีท่าทีเหม่อลอยไป นางมองจังเกอแล้วมองเจินเมี่ยว คล้ายได้ตัดสินใจอันใดบางอย่างลง นางจึงเอ่ยด้วยท่าทีมั่นคงแน่วแน่อย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าทำให้จังเกอได้กินอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก ข้ายังคงจะเรียกเจ้าว่าน้องสาวเช่นเดิม น้องสาวที่เจ้าติดตามตาเฒ่าชั่วช้าสกุลเว่ยอยู่ตอนนี้ ข้าคิดว่าคงไม่เรื่องความรู้สึกรักใคร่ฉันชายหญิงกระมัง สิ่งที่ตระกูลเว่ยให้เจ้าได้ จวนสกุลหูของข้าก็ให้ได้ ขอเพียงเจ้ายอมอยู่ที่นี่”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ก็พลันชะงักไป แล้วเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “สามีข้าอายุเพียงสามสิบกว่า ยังไม่มีอนุ…”

 

 

เจินเมี่ยวเบิกตาถลนออกมาทันที

 

 

สิ่งที่นางเข้าใจคือสตรีผู้นี้คิดว่านางเป็นอนุของชายชราชั่วช้าตระกูลหนึ่ง แต่นางยังบอกตนว่า เฮ้น้องสาว เจ้ากับตาเฒ่านั้นย่อมมิใช่รักแท้อันใด มิสู้อยู่ที่ตระกูลข้า สามีของข้าอายุยังน้อย รูปโฉมหล่อเหลาข้าให้เจ้าเป็นอนุก็ได้

 

 

ตระกูลคหบดีทั่วไป ศีลธรรมจรรยาอ่อนแอตกต่ำถึงเพียงนี้แล้วหรือ?

 

 

“แค่กๆ” เจินเมี่ยวใช้มือปิดปากไว้แล้วกระแอมไอออกมาเสียงหนึ่งจึงเอ่ยว่า “พี่หู สามีของข้าอยู่ด้านนอกนั้น”

 

 

นางหูกลอกตาคราหนึ่ง “น้องสาวเจ้ามิจำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว ผู้ใดในอำเภอเป่าหลิงต่างก็ทราบทั้งสิ้นว่า อนุของนายท่านตระกูลเว่ยนั้นมีมากมายเพียงใด บุตรชายของเขาก็กินไม่เลือกเช่นกัน ครั้นเห็นอนุของบิดาก็ขอมาเป็นอนุตน เรื่องนี้มิใช่ไม่เคยปี สองปีก่อนก็เกิดเรื่องสกปรกเช่นนี้มาแล้วมิใช่หรือ ผู้อื่นลอบหัวเราะขบขันเขา แต่ตาเฒ่านั้นกลับเอ่ยอย่างสมเหตุสมผลว่า น้ำอันอุดมสมบูรณ์ย่อมมิปล่อยให้ไร่นาผู้อื่น”

 

 

มิน่าเล่ากิจการของตระกูลเว่ยถึงได้ยิ่งใหญ่ปานนี้ แม้นถูกผู้อื่นถลกหนังก็ยังฟื้นชีพกลับมาได้เช่นเดิม

 

 

หากปีนั้นสามีของนางไม่ปรากฏตัวขึ้นมาก่อน ไม่แน่ว่ากิจการของตระกูลของนางรวมทั้งนางก็อาจจะกลายเป็นของสกุลเว่ยไปแล้วก็ได้

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางหูกลับรู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันทีที่รู้สึกว่าตนมีฐานะที่สูงกว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เจินเมี่ยวกลับค่อยๆ หยิกแขนตนเอง

 

 

ที่แท้คำว่าน้ำอันอุดมสมบูรณ์ย่อมมิปล่อยให้ไร่นาผู้อื่นนั้นเป็นเช่นนี้เอง นาง…นางไม่เคยรู้มาก่อนเลย!

 

 

หากปล่อยให้เข้าใจผิดต่อไปคงยากแก้ไข เจินเมี่ยวจึงรีบหุบเก็บรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเย็นว่า “พี่หูเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับสามีมาจากแดนไกล มิใช่คนของตระกูลเว่ย ก่อนที่ท่านจะพูดเรื่องเหล่านี้ ข้าก็มิเคยได้ยินแม้แต่ชื่ของตระกูลเว่ยด้วยซ้ำ”

 

 

“มิใช่หรือ?” นางหูอึ้งงันไป นางบอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกผิดหวังหรือโล่งอกกันแน่ “เช่นนั้นพวกเจ้าปลอมเป็นคนของตระกูลจินมาด้วยเหตุใด?”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกจนใจยิ่ง “พวกเรามาเยี่ยมคารวะนายท่านของที่นี่จริงๆ แต่คนของท่านคล้ายเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นผู้อื่นไป”

 

 

นางหูรู้สึกอึดอัดยิ่ง แต่เมื่อครุ่นคิดดูก็คล้ายว่าอีกฝ่าจะมิได้พูดอันใดผิด ทั้งคิดถึงเมื่อครู่ที่เจินเมี่ยวลงมือทำอาหารด้วยตนเองอีก ท่าทีจึงดีขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นพวกเจ้ามาหาสามีข้าด้วยเรื่องใด?”

 

 

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ มันเป็นเรื่องของสามีข้า” เจินเมี่ยวมิได้บอกเจตนาที่แท้จริงออกไป

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญน้องสาวพักที่ด้านนอกก่อน รอให้สามีข้ากลับมาก่อนค่อยว่ากัน” เมื่อไม่ทราบฐานะที่แน่ใจของเจินเมี่ยว นางหูย่อมมิอาจปล่อยให้นางอยู่ในเรือนหลังแห่งนี้ได้

 

 

เจินเมี่ยวกลับเอ่ยว่ารบกวนแล้วคำหนึ่งอย่างเบิกบาน ครั้นจะเดินตามอาเถาออกไปด้านนอก

 

 

สาวใช้ผู้หนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาหา

 

 

นางหูเพียงรู้สึกว่าวันนี้มีแต่เรื่องที่แปรไปเปลี่ยนมาคล้ายละครที่งิ้วแสดงไม่มีผิด เมื่อเห็นท่าทางของสาวใช้ที่เข้ามาก็รู้ว่าต้องมีเรื่องใดแน่ จึงเอ่ยถามออกไปทั้งที่สาวใช้ยังมิทันได้เอ่ยปากด้วยซ้ำ “มีเรื่องใดอีก?”

 

 

สาวใช้ผู้นั้นหน้าซีดไปหมด น้ำเสียงที่เอ่ยก็สั่นเครือ “นายท่านผู้หญิงเจ้าค่ะ ตระกูลเว่ย ตระกูลเว่ยส่งคนมากกลุ่มหนึ่งบอกว่าจะมาเอาเรื่องกับนายท่านเจ้าค่ะ! พ่อบ้านหูใกล้จะต้านไม่ไหวแล้วจึงให้ข้ามาขอคำปรึกษาเจ้าค่ะ”

 

 

นางหูได้ฟังก็โมโหขึ้นมา น้ำเสียงจึงแหลมสูงยิ่ง “เอาเรื่องหรือ? ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ทั้งที่ตระกูลเว่ยส่งคนมาขัดขวางการส่งชาแท่งของเราชัดๆ ท่านพี่มิไปคิดบัญชีกับพวกเขาก็ดีเพียงใดแล้ว พวกเขายังกล้ามาที่นี่เพื่อเอาเรื่องหรือ?”

 

 

สาวใช้ผู้นั้นมีท่าทีแตกตื่น นางเอ่ยเสียงสั่นว่า “นายท่านผู้หญิงเจ้าค่ะ คือคนของตระกูลเว่ยบอกว่า บอกว่า…”

 

 

“ว่าอันใดเรา เจ้าจะให้ข้าร้อนใจตายหรือไร?”

 

 

“บอกว่าคนที่ตระกูลเว่ยส่งมาล้วนตายอยู่ในวัดร้างซึ่งเป็นอาณาเขตของตระกูลเฮ่อ พวกเขาสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของจวนเราเจ้าค่ะ!”

 

 

“ห๊า!” เจินเมี่ยวร้องออกมาแผ่วเบาแล้วปิดปากตนเอาไว้

 

 

ในใจได้แต่ลอบหลั่งน้ำตา ครานี้ดีเหลือเกินแล้ว นางคงมิอาจเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจได้ว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับตระกูลเว่ยแล้วกระมัง เพราะคนกลุ่มนั้นที่นางเจอในวัดร้างนั้น พวกนางได้ฆ่าไปหลายคนเลยทีเดียว

 

 

นางหูมิได้ใส่ใจต่อเสียงร้องตกใจของเจินเมี่ยว เพราะตัวนางเองก็กำลังตกตะลึงกับข่าวนี้เช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมีสติคืนมา นางก้าวเท้าออกไปด้านนอกทันที

 

 

“นายท่านผู้หญิง นายท่านไม่อยู่ ท่านออกไปคนเดียว…”

 

 

นางหูพูดโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง “ดูแลคุณชายให้ดี”

 

 

นอกจากอาเถาที่อุ้มจังเกออยู่ สาวใช้อื่นอีกสองคนก็ต่างเดินตามนางหูไป เจินเมี่ยวเองก็ย่อมต้องเดินตามออกไปเช่นกัน

 

 

เมื่อเดินผ่านประตูที่สองก็สามารถได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ลอยมาได้

 

 

นางหูกวาดตามองคราหนึ่ง บ่าวผู้หนึ่งรีบเข้ามารายงานว่า “นายท่านผู้หญิง คนของตระกูลเว่ยขวางอยู่หน้าประตู พ่อบ้านหูออกไปเจรจากับพวกเขาแล้วขอรับ”

 

 

“แขกเล่า?”

 

 

“แขก?” บ่าวรับใช้อึ้งงันไป “แขกยังคงรออยู่ในห้องโถงขอรับ”

 

 

เจินเมี่ยวไม่คิดเลยว่านางหูจะมิเดินออกไปแต่กลับตรงไปยังห้องโถงแทน

 

 

ในห้องโถงนั้นนอกจากจะมีหลัวเทียนเฉิงและอาหู่แล้วยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเพิ่มเข้ามา เขาก็คือบุรุษหนุ่มและข้ารับใช้ที่พวกนางเคยพบที่โรงเตี๊ยมนั้นเอง

 

 

เมื่อเห็นคนเดินเข้ามา คนในห้องโถงก็เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน

 

 

ชั่วขณะนั้นแม้นจะเห็นชัดว่าบุรุษหนุ่มสวมชุดเสื้อแพร ท่าทีหยิ่งยโสกว่าผู้ใด แต่นางหูก็อดหันไปมองที่หลัวเทียนเฉิงก่อนมิได้

 

 

คาดว่าน่าจะเป็นสัญชาตญาณที่สตรีทุกคนมี นางมั่นใจว่าบุรุษรูปงามที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดานั้นมิใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่

 

 

แต่สุดท้ายสติปัญญากับชนะสัญชาตญาณ นางหูเดินเข้าไปคารวะพอเป็นพิธีกับบุรุษหนุ่มผู้นั้น “ขอบังอาจถาม ท่านเป็นคุณชายตระกูลจินใช่หรือไม่?”

 

 

บุรุษหนุ่มกอดอกตนไว้อย่างสุขุมและสุภาพอยู่ในที “เป็นข้าเอง”

 

 

“ข้าขอคารวะคุณชาย ข้าเป็นนายท่านผู้หญิงของจวนสกุลหู ท่านพี่ออกไปที่ไร่ชายังมิกลับ ทำให้ท่านต้องรอแล้ว”

 

 

บุรุษหนุ่มยิ้มอย่างเกียจคร้าน “แค่รอนั้นไม่เป็นไร ทั้งยังได้ดูละครฉากสนุกอีกด้วย คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบกับคู่แข่งที่นี่”

 

 

พูดพลางชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง

 

 

นางหูเข้าใจขึ้นมาทันที “ทั้งสองท่านรู้จักกันหรือ?”

 

 

“เคยพบกันครั้งหนึ่งเท่านั้น” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

“ตอนนี้ก็เป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่ทราบพี่ชายมาที่จวนสกุลหูด้วยเรื่องใด หรือมีเป้าหมายเดียวกันกับข้า?”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ก็หันไปหานางหู น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “จวนท่านคิดจะหาคู่ค้าถึงสองคน?”

 

 

มิทันรอให้นางหูอธิบาย หลัวเทียนเฉิงก็เอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “ข้าไม่รู้เรื่องชา และไม่สนใจด้วย ที่มาจวนสกุลหูนั้นเพราะเรื่องบางอย่างเท่านั้น”

 

 

เขาเอ่ยไปตามแต่ใจ ทว่ากลับสร้างความสงสัยให้กับคนทั้งหลายยิ่ง

 

 

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร พูดอันใดแล้วคุณชายเราต้องเชื่อ?” จินต้าอดเอ่ยออกมามิได้

 

 

หลัวเทียนเฉิงแค่นหัวเราะคราหนึ่ง “ข้าเป็นใครมิจำเป็นต้องบอกพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เชื่อก็มิเกี่ยวอันใดกับข้า แต่ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่ หากพวกเจ้าก่อเรื่องขึ้นมา ข้าจะไม่เกี่ยวก็คงมิได้”

 

 

“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าตนมีฝีมือยุทธ์เข้าหน่อยก็จะไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณชายของพวกเราเป็นใคร?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงแคะใบหูตน เอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “อ้อ หากเจ้ามิเอ่ยถามเช่นนี้ออกมา ก็คงไม่ดูโง่เขลาถึงเพียงนี้”

 

 

จินต้าอับอายจนกลายเป็นโทสะทำให้ลืมถึงท่าทีทรงพลังของอีกฝ่ายที่เคยแสดงให้เห็นแล้วในโรงเตี๊ยม เขาฟันดาบเข้าใส่ทันที

 

 

นางหูไหนเลยจะเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ นางจึงตกใจร้องเสียงหลงแผ่วเบา

 

 

เจินเมี่ยวกลับมองดูอย่างสนอกสนใจ

 

 

ดาบหยุดค้างอยู่กลางอากาศไม่ขยับ เพราะหลัวเทียนเฉิงใช้สองมือนั้นรับเอาไว้ แล้วค่อยๆ บิดเบาๆ จนดาบนั้นหักเป็นสองท่อน

 

 

ดาบส่วนบนที่หักร่วงตกลงพื้น เกิดเป็นเสียงเพล้งพล้างดังกังวาน

 

 

ผู้คนในห้องตามองอย่างอึ้งงัน

 

 

หลัวเทียนเฉิงหัวเราะคราหนึ่ง “เจ้าดูเถิด บางครา เจ้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญจริงๆ”

 

 

“เช่นนั้นสิ่งใดสำคัญเล่า?” แม้นมิได้มองเขา แต่บุรุษหนุ่มกลับอดถามออกมาตามสัญชาตญาณมิได้

 

 

“ที่สำคัญกว่าคือข้าเป็นใครต่างหาก”

 

 

กล่าวจบ หลัวเทียนเฉิงก็กวักมือเรียกเจินเมี่ยว “อาซื่อ มาหาข้าเร็ว”

 

 

เจินเมี่ยวยืดอกเชิดหน้าเดินเข้าไป

 

 

แค่กๆ ความรู้สึกเป็นเกียรติเช่นนี้คือเรื่องราวใดกัน?

 

 

“คนด้านนอกคล้ายว่าจะมีความเกี่ยวพันกับตระกูลของพวกท่านทั้งสอง คุณชายจินไม่สู้ไปจัดการเรื่องราวระหว่างพวกท่านก่อน เรื่องของข้านั้นมิได้รีบร้อนอันใด”

 

 

นี้คือการข่มขู่ จักต้องเป็นการข่มขู่อย่างแน่นอน รอให้กลับไปก่อนเถิด เขาจักต้องบอกท่านพ่อแน่!บุรุษหนุ่มคำรามด้วยโทสะอยู่ในใจ แต่ยังคงสะบัดมือเดินนำคนของตนออกไปด้านนอก

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset