วาสนาบันดาลรัก 215

ตอนที่ 215

พ่อบ้านหูพยักหน้า “เรียนนายท่านผู้หญิงว่า ข้าทราบแล้ว”

 

 

ทว่าสาวใช้ผู้นั้นกลับมิยอมไป นางเดินมาหยุดตรงหน้าเจินเมี่ยวแล้วย่อกายคารวะ “ไท่ไท่ นายท่านผู้หญิงของเราเชิญท่านไปพูดคุยที่เรือนด้านในเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าอ่อนโยนว่า “ไปเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวจึงเดินตามสาวใช้ออกไป

 

 

จวนสกุลหูนั้นมิได้ใหญ่โตอันใด มีเรือนเล็กแค่เพียงสามหลัง เรือนด้านหลังทางทิศใต้และเหนือคล้ายเพิ่งรื้อทำใหม่ ภายในบริเวณเรือนต่างปลูกต้นทับทิมและต้นกล้วยไว้หนาแน่น แต่กลับดูสะอาดเรียบร้อยยิ่ง

 

 

เจินเมี่ยวเดินตามสาวใช้ขึ้นบันไดไป มีสตรีสาวผู้หนึ่งเดินออกมาต้อนรับ นางส่งยิ้มก่อนเอ่ยว่า “แขกคนสำคัญมาเยือน แต่นายท่านกลับไม่อยู่ ช่างเป็นเรื่องที่เสียมารยาทยิ่งแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวพิจารณาสตรีผู้นี้อย่างละเอียดคราหนึ่ง

 

 

อายุนางราวยี่สิบปลาย ใบหน้ารูปไข่หงส์ คิ้วกิ่งหลิว หน้าตาชวนให้คนชมชอบยิ่ง นางใส่เสื้อเอ่าแขนเสื้อทรงกระบอกสีแดงอ่อนขับให้ผิวนางขาวนวลมากขึ้นไปอีก

 

 

แม้นมิอาจเรียกได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแต่ก็สวยงามน่าพิศ

 

 

สตรีผู้นั้นก็พิจารณาเจินเมี่ยวด้วยเช่นกัน

 

 

นางสวมเพียงเสื้อเอ่าสีเขียวกับกระโปรงสีขาว แต่กับขับให้ผมของนางดำขลับดุจหมึก ผิวขาวราวหิมะ รูปโฉมงดงามดุจดอกท้อยามเดือนสามที่ต้องแสงอาทิตย์ยามอัสดง คล้ายความงามในโลกหล้าต่างมารวมอยู่บนตัวนางกระนั้น

 

 

นัยน์ตาของสตรีสาวผู้นั้นกลอกหมุนไปมา ในใจกล่าวว่าบุคคลเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง ได้ยินมาว่าผู้ที่มาจากตระกูลจินเมืองหยางชิงคือคุณชายตระกูลจิน แม่นางผู้นี้มีโอกาสติดตามมาด้วยได้ย่อมต้องเป็นที่รักชอบมากเป็นแน่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นอนุในเรือนหรืออนุนอกเรือนของคุณชายผู้นั้นกันแน่

 

 

แต่หากบอกว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้อง นางกลับมิคิดถึงเลย เพราะตระกูลใหญ่เช่นนั้นย่อมต้องให้ความสำคัญกับการแต่งภรรยา หากแต่งภรรยาต้องแต่งที่เพียบพร้อม แต่งอนุต้องงดงาม

 

 

ถ้าภรรยาเอกมีรูปโฉมเช่นนี้ ยามติดต่อการค้าต้องถูกคนใจชั่วจับจ้องเป็นแน่ เช่นนี้มิใช่หาภัยใส่ตัวหรอกหรือ อีกอย่างภรรยาเอกไหนเลยจะออกมาข้างนอกด้วยได้เช่นนี้เล่า

 

 

ใบหน้าสตรีสาวพกพาไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับมีระยะห่างอยู่หลายส่วน นางเอ่ยทักทายขึ้นว่า “ข้าเพิ่งเคยเห็นสตรีที่งดงามเช่นน้องสาว รีบเข้าในเรือนเถิด”

 

 

นางมิอาจล่วงเกินตระกูลจินจากชิงหยาง แค่อนุผู้หนึ่ง…ความจริงในใจนางก็รู้สึกดูแคลนอยู่บ้าง

 

 

ท่าทีของสตรีสาวดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยทำให้เจินเมี่ยวอึ้งงันไป แล้วค่อยเข้าใจขึ้นมา

 

 

อ้อ งดงามเกินไปย่อมไม่มีสหาย!

 

 

สตรีสาวเชิญเจินเมี่ยวเข้าไปในเรือน เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวจึงเอ่ยว่า “น้องสาวเรียกข้าว่าพี่หูก็ได้”

 

 

เจินเมี่ยวคล้อยตามอย่างว่าง่าย เมื่อคลี่ยิ้ม ลักยิ้มสองข้างก็ปรากฏขึ้น “พี่หู ท่านเรียกข้าว่าอาซื่อก็ได้”

 

 

นางมิอยากเผยชื่อแซ่ตนให้ผู้อื่นทราบ

 

 

โลกภายนอกนี้มีคนชั่วมากมายเหลือเกิน นางมิอาจไม่ป้องกันไว้ก่อน

 

 

แต่สำหรับนางหู นางกลับยิ่งมั่นใจว่าตนเองคาดเดาไม่ผิด ที่แท้ก็เป็นสตรีชั่วช้าที่ไม่มีแม้แต่ชื่อแซ่ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพียงหญิงที่ถูกซื้อมาเท่านั้น

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าพลันเจื่อนลงไปหลายส่วน

 

 

เจินเมี่ยวรู้แปลกใจยิ่ง

 

 

ท่าทีของสตรีสาวผู้นี้เปลี่ยนไปแปรมาไม่หยุด เพราะอันใดกันหรือ?

 

 

แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นที่มีความสำคัญต่อหลัวเทียนเฉิงยิ่ง นางจึงได้แต่สนทนาพูดคุยกับนางหูต่อไป

 

 

นางหูยังถามถึงเรื่องราวภายในตระกูลจินอีกด้วย

 

 

เจินเมี่ยวย่อมไม่ทราบแน่ เมื่อถูกถามจึงทำเพียงยิ้มแหย่เท่านั้น

 

 

แววนางของนางหูกลับยิ่งเพิ่มความดูแคลนขึ้นอีก เป็นเพียงอนุนอกเรือนดังคาด นางมิรู้เรื่องราวใดเกี่ยวกับตระกูลจินสักนิด

 

 

เจินเมี่ยวเริ่มหวาดหวั่นขึ้นมา

 

 

สถานการณ์ดูย่ำแย่ยิ่ง หรือเพราะเอ่ยถามสิ่งใดตนก็ไม่รู้ นางจึงเริ่มสงสัยเข้าให้แล้ว?

 

 

แต่หากนางสงสัย จะมองตนอย่างดูแคลนไปไย เหตุใดจึงมิเอ่ยถามออกมาตามตรงเล่า?

 

 

ทั้งสองต่างคนต่างคิด บรรยากาศกลับเริ่มวังเวงขึ้นมา

 

 

เวลานี้เองกลับมีเสียงร้องไห้ดังลอยจากด้านนอก ตามติดด้วยร่างของเด็กน้อยผู้หนึ่งที่วิ่งเข้าไปร่ำไห้อยู่ในอกนางหู “ท่านแม่ ขนมฮวาเกาไม่อร่อย…”

 

 

สาวใช้ที่ตามมาด้านหลังมีสีหน้าเลิกลัก “นายท่านผู้หญิง คุณชายร้องไห้เพราะขนมฮวาเกาวันนี้ไม่มีตราประทับลายบุปผาเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อเห็นบุตรชายร้องไห้ นางหูก็ขมวดคิ้ว “ทุกทีบนขนมฮวาเกาก็จะประทับลายกุหลาบมิใช่หรือ?”

 

 

“ร้านบอกว่าตราประทับพังจึงมิได้ประทับลายเจ้าค่ะ”

 

 

เด็กน้อยผู้นั้นร้องไห้เสียงดังขึ้นไปอีก “ท่านแม่ ข้าจะกินฮวาเกาที่ประทับลายดอกกุหลาบ!”

 

 

นางหูมองเจินเมี่ยวด้วยความประหม่า “ทำให้น้องสาวต้องขบขันแล้ว เด็กคนนี้ถูกตามใจเสียเคยตัว”

 

 

เจินเมี่ยวโบกมือไปมา “เด็กทุกคนก็เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น”

 

 

เด็กน้อยแค่เพียงสามสี่ขวบนั้นหรือ หากเขาได้ชอบสิ่งใดแล้วก็จะไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด

 

 

ครั้นเห็นว่ามารดามิสนใจตนเอง เด็กน้อยก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เขาสะอึกสะอื้นจนหายใจแทบไม่ทัน

 

 

นางหูจึงร้อนรนขึ้นมา นางตบหลังบุตรชายพลางร้องบอกว่า “ยังไปรีบไปเชิญท่านหมออีก!”

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวได้พินิจดูอย่างละเอียดจึงเพิ่งเห็นว่าเด็กน้อยผอมเสียจนน่าสงสาร

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ หากนางยังคงนั่งอยู่โดยไม่เอ่ยอันใดกลับยิ่งรู้สึกประหม่าจึงเดินเข้าไปเอ่ยว่า “บุตรท่านเป็นอันใดหรือ?”

 

 

เวลานี้นางหูกำลังร้อนรนใจจึงมิได้ใส่ใจต่อฐานะของเจินเมี่ยวแล้ว สามีของนางก็มิอยู่จึงรู้สึกไร้ที่พึ่งพิงทำให้อดระบายความทุกข์กับเจินเมี่ยวออกมามิได้ “เขาป่วยหนักเมื่อยังแบเบาะ จึงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษมาตลอด ผู้ใดจะทราบเมื่อโตขึ้นกลับมิใคร่ชอบกินข้าวเท่าใด”

 

 

“บุตรท่านชอบกินขนมจำพวกฮวาเกาเท่านั้นหรือ?”

 

 

มิน่าเล่าตระกูลที่มิต้องกังวลเรื่องกินเรื่องดื่มกลับมีบุตรที่ผอมแห้งเช่นนี้ เป็นเพราะเลือกกินนี่เองนางส่ายหน้า “มิใช่ จังเกอเพียงเห็นว่าขนมฮวาเกาเป็นของแปลกใหม่จึงกัดกินเพียงคำสองคำเท่านั้น หากเป็นขนมเช่นเดียวกันแต่ไม่มีตราประทับบุปผา เขาก็จะไม่กินแม้เพียงคำ”

 

 

“เป็นเช่นนี้เอง” เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากพี่หูไม่รังเกียจ ข้าจะทำหมานโถวให้จังเกอกินดู”

 

 

โบราณว่ากินของผู้อื่น ปากย่อมหวาน หากนางเอาใจเด็กน้อยผู้นี้จนอยู่หมัด แม้นฐานะถูกเปิดเผยก็คงมิถูกไล่ตะเพิดออกไปโดยทันทีกระมัง

 

 

“หมานโถว?” นางหูเลิกคิ้วขึ้น “จังเกอไม่เคยกินสักครา”

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากเผยยิ้ม “พี่หูไม่สู้ลองดูสักครา ไม่แน่ว่าจังเกออาจจะกินหมานโถวที่ข้าทำก็ได้”

 

 

“เช่นนั้น…ก็ได้” นางหูพยักหน้ารับ

 

 

เมื่อซื้อฮวาเกามาไม่ได้ จังเกอต้องงอแงไม่เลิกแน่ วันนี้ทั้งวันคงไม่ยอมกินอันใดแน่ จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร

 

 

“รบกวนน้องสาวแล้ว ต้องขออภัยยิ่ง”

 

 

“มิเป็นไร ข้าชอบเด็กมาก”

 

 

“อาซิ่ง พา…ซื่อไท่ไท่ไปที่ห้องครัวด้วย”

 

 

ซื่อไท่ไท่? ฟังแล้วดูพิกลยิ่ง

 

 

เจินเมี่ยวเพียงสงสัยครู่หนึ่งก็ปล่อยมันทิ้งไป แล้วเดินตามสาวใช้ที่ชื่อว่าอาซิ่งไปห้องครัวด้วยความเบิกบาน

 

 

นานแล้วที่นางมิได้เข้าครัว คันไม้คันมือยิ่ง

 

 

เมื่อถึงห้องครัว นางก็กวาดตามองครู่หนึ่งก็ทราบแล้วว่าจะทำสิ่งใด

 

 

นางนำแป้งที่นวดแล้วมานวดผสมกับมันบดสีม่วง แล้วนำไปนึ่ง

 

 

นางอาศัยช่วงเวลานี้นำไข่นกกระทามาต้ม และเลือกสาลี่มาสองสามลูก ควักเอาตรงกลางออกมาแล้วเทไข่ดิบที่ตีจนเข้ากันลงไป

 

 

อาซิ่งมองอย่างตกตะลึงตาค้าง “ซื่อ…ซื่อไท่ไท่ เราสามารถใส่ไข่ดิบลงไปในสาลี่ได้ด้วยหรือ?”

 

 

“ทำเป็นสาลี่นึ่งไข่ได้” เจินเมี่ยวมิได้เงยหน้าขึ้น มือยังคงสาละวนทำต่อไป

 

 

เมื่อทำสาลี่เสร็จ นางก็หยิบเต้าหู้มาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดพอเหมาะ แล้วเทเนื้อสับละเอียดที่ปรุงเสร็จแล้วลงไปผัดในกระทะจนสุก สุดท้ายก็ใส่น้ำส้มที่ต้มจนเดือดราดลงไป กลายเป็นผัดเต้าหู้ราดน้ำส้ม

 

 

ต่อจากนั้นก็หั่นถู่โต้ว[1] หูหลัวปัว เห็ดหอมเป็นชิ้นๆ แล้วผัดรวมกันทำเป็นลูกชิ้นผักห้าสี

 

 

เมื่อปอกเปลือกไข่นกทาเสร็จก็นำหูหลัวปัวมาแกะเป็นหงอนไก่และปากไก่เสียบเข้าไป ใช้งาดำแต่งเป็นตา สุดท้ายจึงกลายเป็นไก่ตัวผู้ตัวเล็กแสนน่ารัก แล้วนำไปวางคู่กับลูกชิ้นผักห้าสี

 

 

“สวรรค์ สวรรค์!” อาซิ่งไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา นางจ้องมองเขม็ง ตกตะลึงอึ้งงันไปเสียนานแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวได้ถอนหายใจออกมา เสียดายที่ไม่มีชิงเกอเป็นผู้ช่วย ทำให้นางออกจะวุ่นวายอยู่บ้าง

 

 

โชคดีที่ในห้องครัวนี้ได้ต้มน้ำแกงกระดูกหมูไว้แล้วนางจึงทำน้ำแกงกระดูกหมูสารพัดเห็ดเสียเลย

 

 

ส่วนแป้งสีม่วงก็นึ่งได้ที่พอดี นางจึงบิออกมาเป็นก้อนเล็กๆ อาซิ่งยังมิทันมองให้ชัดว่าเจินเมี่ยวทำ อย่างไรบ้าง นางเพียงรู้สึกว่าตาลายไปหมดแล้ว พริบตาก็กลายเป็นดอกกุหลาบเสียแล้ว นางวางลงบนหม้อนึ่งที่ไฟกำลังลุกไหม้ ผ่านไปครู่หนึ่งสาลี่ที่นึ่งไว้ชั้นบนสุดก็สุกพอดี

 

 

เจินเมี่ยวล้างมือพลางเอ่ยกับอาซิ่งว่า “ยกออกไปเถิด” แล้วเดินนำออกมาจากห้องครัวก่อน

 

 

ท่านหมอเพิ่งตรวจอาการให้จังเกอเสร็จพอดี เขาบอกเพียงว่าดื่มนมและกินอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้ไม่อยากอาหารอันใดเทือกนั้น

 

 

นางหูฟังวาจาทำนองนี้มานับครั้งไม่ถ้วนจนท่องได้อย่างลื่นไหล ที่นางเชิญหมอมาทุกครั้งที่จังเกอไม่สบายก็เพื่อให้ตนสบายใจก็เท่านั้น

 

 

นางหูจะหยิบขนมดอกกุ้ยให้จังเกอกิน จังเกอก็เม้มริมฝีปากไว้ ส่ายศีรษะดั่งกลองปัวล่าง[2]

 

 

กลิ่นหอมของอาหารลอยมาปะทะจมูก ช่างหอมหวนและสดใหม่

 

 

นางหูเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มพลางนั่งลง อาซิ่งที่อยู่ด้านหลังยกถาดใบใหญ่เข้ามา แล้วจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ

 

 

อย่างแรกคือสาลี่นึ่งไข่ ตามด้วย เต้าหูสีเหลืองส้ม และไข่ต้มนุ่มนิ่ม ดูแล้วช่างสบายตานัก

 

 

จังเกอยื่นหน้าออกมาดู

 

 

ตามด้วยจานกระเบื้องเคลือบสีเขียวใบใหญ่ ในจานมีลูกชิ้นผักห้าสีวางอยู่ ทั้งยังมีไก่ตัวผู้สีขาวน่ารักวางอยู่ด้วย

 

 

“มันกินได้หรือไม่?” จังเกอเอ่ยถามพลางชี้ไปยังไก่ตัวผู้ตัวน้อย

 

 

“ย่อมต้องได้แน่นอน” เจินเมี่ยวเอ่ยพลางยิ้มตาหยี

 

 

นางหูอึ้งงันไป รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ จึงรีบเอ่ยต่อว่า “อาถาว ยืนเหม่อทำอันใด ยังไม่รีบมาป้อนคุณชายอีก”

 

 

สาวใช้ชุดสีชมพูที่อยู่ด้านหลังนางหูรีบใช้ตะเกียบคีบไข่นกกระทาป้อนจังเกอทันที

 

 

จังเกอส่ายหน้าแล้วบุ้ยใบ้ให้อาถาววางไก่ตัวผู้นั้นใส่มือตน เขามองมันอย่างสนใจอยู่ครู่หนึ่งค่อยกินมัน

 

 

นางหูมองจังเกออย่างตื่นเต้น

 

 

จังเกอยื่นมือมาชี้ “เอาอีก!”

 

 

นางหูหันไปมองเจินเมี่ยวทันใด นางเอ่ยอย่างยากจะปิดบังความตื่นเต้น “น้องสาว หรือว่าไข่นกกระทานี้มีรสชาติอร่อยกว่าไข่ทั่วไป?”

 

 

“พี่หูลองชิมดูก็จะรู้”

 

 

นางหูรีบคีบมันขึ้นมากินคำหนึ่ง แล้วก็ต้องอึ้งงันไป

 

 

ที่นางตกตะลึงมิใช่เพราะไข่นกกระทาอร่อยมาก แต่กลับกัน มันเป็นเพียงไข่ต้มธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

 

 

แต่จังเกอกลับต้องการกินมันอีก!

 

 

นางมองเจินเมี่ยวอย่างไม่เข้าใจ เจินเมี่ยวจึงอธิบายว่า “จังเกออายุยังน้อย เดิมก็กินยากอยู่แล้ว เขาจะชอบกินสิ่งใดนั้นก็ต้องดูว่ามันสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ไหมก็เท่านั้น”

 

 

ขนมฮวาเกาก็เป็นเพียงขนมธรรมดา แต่จังเกอกลับงอแงจะกินให้ได้ เห็นชัดว่ามิได้ชอบกินเพราะรสชาติ ความแปลกใหม่ สวยงามต่างหากคือสิ่งที่เด็กน้อยสนใจที่สุด

 

 

จังเกอหยิบไข่นกกระทาที่หน้าตาเหมือนไก่ตัวผู้ขึ้นมาอีกดั่งคาด เขาเล่นมันอยู่ครู่หนึ่งค่อยกิน แล้วตามด้วยลูกชิ้นผักอีกสองลูก ไข่นึ่งอีกส่วนหนึ่ง

 

 

อาซิ่งย้อนกลับมาอีกครา นางวางหมานโถวสีม่วงรูปดอกกุหลาบลงบนโต๊ะน้ำชา

 

 

นางหูอดตกตะลึงจนต้องถอนหายใจออกมามิได้ “น้องสาว หมานโถวเช่นนี้เจ้าทำได้อย่างไร มันเหมือนดอกกุหลาบจริงๆ ไม่มีผิด!”

 

 

“ไม่ยากเลย เพียงแต่ต้องใช้ความตั้งใจสักหน่อยเท่านั้น”

 

 

เมื่อเห็นจังเกอหยิบหมานโถวกุหลาบไว้ในมือแล้วกัดชิมคำหนึ่ง นางหูก็อดน้ำตาร่วงเผาะมิได้

 

 

นางค่อยๆ เช็ดที่ขอบตาตน เอ่ยกำชับว่า “อาถาว ไปบอกกับพ่อบ้านหูที่เรือนหน้าว่าข้าจะให้ซื่อไท่ไท่กินข้าวที่นี่ ขอให้เขากล่าวขออภัยแขกแทนข้าด้วย”

 

 

“เจ้าค่ะ” อาถาวจึงเดินออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่นานก็กลับมาอีกครา เมื่อเห็นนางหูที่กำลังจับมือสนทนากับเจินเมี่ยวด้วยความตื่นเต้นก็อึกอักกับสิ่งที่ตนอยากจะเอ่ย

 

 

 

 

——

 

 

[1] ถู่โต้ว มันฝรั่ง

 

 

[2] กลองปัวล่าง คนไทยเรียกว่าป๋องแป๋ง

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset