วาสนาบันดาลรัก 201

ตอนที่ 201

ตอนที่เจินเมี่ยวฟื้นขึ้นนั้นนางรู้สึกปวดตามเนื้อตัวยิ่งประหนึ่งร่างถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ ก็มิปาน ไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา

 

 

นางกัดลิ้นเพื่อเรียกสติตนแล้วฝืนลืมตาขึ้น

 

 

สิ่งที่เห็นในครรลองสายตาคือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มืดดำไร้รอยต่อ ดาราดวงน้อยส่งแสงวาวระยับล้อมรอบจันทราไว้

 

 

ในช่วงเวลาอันกะทันหันเช่นนี้เจินเมี่ยวจึงยังมิทันรู้ตัวว่าตนอยู่ที่ใดกันแน่

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน สติปัญญาก็เริ่มฟื้นคืนมาและระลึกย้อนหลังถึงเหตุการณ์ทุกอย่างอีกครา

 

 

ตอนนั้นนางหลับตาลงอย่างว่าง่าย ทั้งโยนมีดทิ้ง แล้วหลัวเทียนเฉิงก็อุ้มนางกระโดดลงจากหลังม้า หลังจากนั้นก็ไม่ทราบแล้วว่าตนกลิ้งไปถึงที่ใด

 

 

ใช่แล้ว หลัวเทียนเฉิง!

 

 

เจินเมี่ยวรีบหันไปมองบริเวณโดยรอบอย่างหวาดหวั่นใจ

 

 

ร่างสีน้ำเงินเข้มนอนนิ่ง ไม่ขยับเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลนัก

 

 

ยามราตรีเช่นนี้หากมิใช่แสงจันทร์ส่องสว่างมากพอ เกรงว่านางคงมองไม่ออกแน่

 

 

เจินเมี่ยวลุกคลุกคลานเข้าไป

 

 

“ซื่อจื่อ?” เห็นชัดว่าอาภรณ์ด้านหลังของคนผู้นั้นขาดลุ่ยดูไม่ได้ไปนานแล้ว ทั่วร่างมีบาดแผลขีดข่วนทั้งหนักบ้างเบาบ้างนับไม่ถ้วน เจินเมี่ยวปวดแปลบขึ้นมาในใจ นางข่มความหวาดกลัวไว้แล้วยื่นมือไปจ่อที่จมูกเขา

 

 

นางผ่อนลมหายใจโล่งอกดุจคนที่ได้รับการช่วยเหลือแล้วก็มิปาน

 

 

เจินเมี่ยวค่อยๆ พลิกตัวหลัวเทียนเฉิงขึ้น ตรวจดูอย่างละเอียดอยู่เป็นนาน

 

 

นอกจากบาดแผลที่ขีดข่วนด้านหลังนั้นแล้ว ที่ร้ายแรงที่สุดคงเป็นต้นขาด้านซ้ายที่ถูกกิ่งไม้แหลมปักคาอยู่ลึกไม่น้อย แม้เลือดหยุดไหลไปนานแล้ว แต่กิ่งไม้ยังคงปักคาอยู่ มองแล้วทำให้คนแตกตื่นตกใจยิ่ง ยามราตรีช่างมืดมนเหลือเกิน นางต้องเดินเข้าไปมองใกล้ๆ จึงสามารถเห็นได้ถนัดว่าเป็นสิ่งใดภายใต้แสงอันเลือนรางจากจันทรา

 

 

นางโค้งกายก้มหน้าหาอยู่นาน ในที่สุดก็เห็นบุปผาดอกเล็กขนสีม่วง มันคือต้นชื่อไช่ [1]

 

 

แม้ต้นชื่อไช่จะพบเห็นได้ทั่วไปตามภูเขาและป่าย่อมๆ แต่มันกลับเป็นของวิเศษที่หาได้ยากยิ่ง

 

 

มีครั้งหนึ่งนางออกไปปีนเขาคนเดียว ไม่ทันระวังจึงหกล้มได้รับบาดเจ็บ นักท่องเที่ยวผู้หนึ่งผ่านมาจึงใช้สิ่งนี้หยุดเลือดให้นาง

 

 

นางค่อยๆ ดึงรากมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วกลับไปหาหลัวเทียนเฉิง

 

 

เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมสมาธิ แล้วฉีกอาภรณ์บนร่างตนออกมากดขอบแผลไว้ นางกัดริมฝีปากตน หลับตาลง ดึงกิ่งไม้ออกมาทันทีแล้วใช้ผ้าปิดที่บาดแผลอย่างรวดเร็ว

 

 

เสียงร้องหึดังขึ้น หลัวเทียนเฉิงลืมตาขึ้นมาทันใด แล้วเอ่ยด้วยกระแสเสียงโกรธกรุ่น “คุณหนูสี่ เจ้าจะฆ่าสามีตนหรือไร!”

 

 

โลหิตสดซึมทะลุผ้าออกมาเปรอะเปื้อนนิ้วมือขาวผ่องดุจหยกงามนั้นอย่างรวดเร็ว

 

 

เจินเมี่ยวไม่มีเวลาแม้จะใส่ใจคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาผู้นั้น นางคว้ามือเขาไปวางกดไว้บนบาดแผล “กดไว้ก่อน”

 

 

หน้าหลัวเทียนเฉิงขาวซีด ทว่านัยน์ตากลับสว่างใสเป็นพิเศษ เขาจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา

 

 

เจินเมี่ยวยัดต้นชื่อไช่เข้าปากตนไปทั้งราก ท่ามกลางอาการอึ้งงันของหลัวเทียนเฉิง

 

 

เจินเมี่ยวคุ้นชินกับอาหารเลิศรสมาตลอด สิ่งนี้ขมจนน้ำตานางแทบไหลออกมาแล้ว ทว่าปากกลับมิหยุดเคี้ยวเลย ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เอาสมุนไพรที่เคี้ยวจนละเอียดแล้วใส่แผลให้เขา

 

 

แววตาหลัวเทียนเฉิงพลันเปลี่ยนเป็นล้ำลึก “คุณหนูสี่ เจ้าทำอันใดกัน”

 

 

“หยุดเลือดให้ท่านอย่างไรเล่า”

 

 

“เจ้ารู้ว่าสิ่งนี้ใช้หยุดเลือดได้?”

 

 

ความลำบากเช่นไรเขาล้วนพบเจอมาแล้วทั้งสิ้น ช่วงสงครามอันยาวนานในชาติก่อนทำให้เขารู้ว่าต้นหญ้านี้มีสรรพคุณหยุดเลือดได้

 

 

ทว่าผู้ใดบอกเขาได้บ้างว่าเหตุใดสตรีที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในเรือนกลับทราบเรื่องนี้เช่นกัน!

 

 

เขาอยากจะรู้ยิ่งว่านางจะตอบคำถามนี้เช่นไร

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด “วาจานี้มิใช่ไร้สาระยิ่งหรอกหรือ หากไม่ทราบแล้วไยข้าต้องเอามันมาใช้หยุดเลือดให้ท่านเล่า”

 

 

หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปากตน

 

 

ความรู้สึกที่ถูกมองว่าเป็นคนโง่งมนี่คือเรื่องราวใดกัน

 

 

มิถูก! สตรีโง่งมผู้นี้ตอบอันใดมักมิตรงคำถาม เมื่อครู่ที่เอ่ยไปเขาหมายความเช่นนั้นหรือไรกัน!

 

 

ครั้นคิดจะลุกขึ้นมาถกเถียงก็เจ็บแผลจนต้องสูดปาก

 

 

“อย่าขยับ” มืออุ่นร้อนกดลงมาทันใด

 

 

เจินเมี่ยวก้มหน้าลงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาพันบาดแผลให้เขา เมื่อเสร็จก็อดชำเลืองมองบริเวณเหนือแผลนั้นมิได้

 

 

อืม ต้องตรวจสอบบริเวณนั้นสักหน่อยดีหรือไม่

 

 

การกลิ้งลงมาเช่นนั้น นอกจากตนจะฟกช้ำไปทั้งร่างแล้วก็มิได้มีบาดแผลใหญ่อันใดบ่งบอกว่าเขาคุ้มกันตนไว้อย่างดียิ่ง เช่นนั้นคงมิอาจไม่ตรวจสอบบาดแผลให้เขาอย่างละเอียดเพียงเพราะเขินอายได้

 

 

ชั่วขณะนั้นเจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าความเป็นคนของตนได้ถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นแล้ว นางยื่นมือออกไปดึงกางเกงของใครบางคนด้วยความท่าทีสุขุม

 

 

“คุณหนูสี่ เจ้าทำอันใดกัน!” หลัวเทียนเฉิงโกรธเสียจนหน้าแดงก่ำ

 

 

เจินเมี่ยวตบบั้นท้ายที่ขาวและงอนนั้นด้วยความดีใจ “โชคดีที่ส่วนนี้มิได้รับบาดเจ็บ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกตรงหน้าดำมืดไปหมด หรือเขาควรจะหมดสติไปให้รู้แล้วรู้รอดดี

 

 

เขาถูกสตรีผู้หนึ่งลูบบั้นท้าย!

 

 

“คุณหนู…สี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอันใดเรียกว่าการสงวนท่าที”

 

 

ครั้นเห็นคนผู้หนึ่งสามารถด่าทอได้อย่างแข็งขัน ความอ่อนโยนและเห็นใจที่มีแต่เดิมของเจินเมี่ยวก็พลันหายไป นางเม้มปากแล้วตบตรงบริเวณนั้นอีกคราหนึ่ง “เลิกโวยวายได้แล้ว ข้ายังต้องใส่ยาให้ท่านอีก”

 

 

“ตรงนั้นของข้ามิได้รับบาดเจ็บเสียหน่อย!”

 

 

เจินเมี่ยวมิได้เงยหน้าขึ้นมา นางเริ่มแกะอาภรณ์ที่มีเลือดแห้งเกรอะกรังติดอยู่กับบาดแผลตรงบริเวณด้านหลังของเขาออก

 

 

“ต้องดูก่อนถึงจะรู้มิใช่หรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกัดฟันเอ่ย “เจ้าถามข้าก่อนได้!”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกน้อยใจขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ก็มิใช่เคยเห็นแล้วหรอกหรือ”

 

 

ผู้ใดกันที่กอดเกี่ยวทรมานนางอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าจะขัดขืนเช่นไรก็ไม่เป็นผล แม้จะมีเพียงครั้งนั้นครั้งเดียวก็ตามเถิด แต่สิ่งที่ควรเห็นก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือ

 

 

เหตุใดเมื่อถึงคราต้องรักษาบาดแผลกลับรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเล่า

 

 

ความคิดของบุรุษช่างยากจะคาดเดาจริงๆ

 

 

หลัวเทียนเฉิงถลึงตามองเจินเมี่ยว แต่จากใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นและคราบโลหิตนั้นสามารถมองเห็นได้เพียงความสุขุมเยือกเย็นโดยไม่มีท่าทีเดือดดาลแต่อย่างใด

 

 

ผ่านไปนานจึงเอ่ยเสียงต่ำออกมาว่า “คุณหนูสี่ เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอันใดคือความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง”

 

 

เจินเมี่ยวดึงอาภรณ์ออกจากแผลที่หลังของเขาสำเร็จแล้ว เมื่อมองบาดแผลที่ไขว้สลับกันไปมาเป็นทางยาวแล้วจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ เรื่องนี้ประเดี๋ยวเราค่อยถกกัน ให้ข้าจัดการบาดแผลของท่านให้เสร็จก่อนเถิด”

 

 

มือนางเลื่อนลงไปด้านล่างเพื่อดึงกางเกงขึ้นมาให้เขาแล้วลุกขึ้นไปหาต้นชื่อไช่

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าเกียรติยศของเขาในชาตินี้นั้นป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

 

 

เขาถึงกับลืมว่าตนยังมิได้ดึงกางเกงขึ้น จึงเปลือยบั้นท้ายถกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงกับนางซึ่งเป็นสตรี

 

 

เขาเอาหน้ามุดลงไปในวงแขนของตนเงียบๆ

 

 

ชั่วชีวิตนี้ไม่อยากเห็นหน้านางอีกแล้วทำอย่างไรดี

 

 

เจินเมี่ยวหอบเอาชื่อไช่กลับมาเป็นกองแล้วเคี้ยวมันใส่แผลให้เขา กระทั่งลิ้นชาไปหมด จึงรับรู้ได้เพียงความขมฝาดที่กระจายอยู่ทั่วลำคอเท่านั้น

 

 

นางคว้านหาบางอย่างในความมืดอยู่นาน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทียินดียิ่ง “หากระบอกน้ำเจอแล้ว!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงที่นิ่งเงียบอยู่นานจึงลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเจินเมี่ยวยกกระบอกน้ำที่มีรูปทรงเหมือนเขาสัตว์ขึ้นอดแปลกใจมิได้ “มาจากที่ใดกัน”

 

 

เจินเมี่ยวเผยท่าทีมาดมั่นออกมา “ข้าพกมาเองอย่างไรเล่า โชคดีที่มิได้ทำหล่นหายไป”

 

 

หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปากตน

 

 

แค่ออกมาล่าสัตว์ ครึ่งวันก็กลับแล้ว นางไม่เพียงพกมีดมาด้วยแต่ยังพกกระบอกน้ำมาอีกหรือ

 

 

เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจโลกของสตรีหรือสตรีของเขามิใช่คนของโลกใบนี้กันแน่

 

 

เจินเมี่ยวไม่รู้ตัวเลยว่าสามีผู้ยิ่งใหญ่ของนางกำลังพร่ำบ่นอย่างบ้าคลั่งอยู่ นางเปิดฝากระบอกน้ำออก แล้วจ่อไว้ที่ริมฝีปากเขา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ซื่อจื่อ ดื่มน้ำ”

 

 

เมื่อมองสองมือขาวเนียนนั้นแล้วหลัวเทียนเฉิงก็เผยอปากขึ้น

 

 

รสหวานล้ำสายหนึ่งกระจายไปทั่วปากและลำคอ

 

 

เขาอยากจะคุกเข่าให้นางเหลือเกิน…นี่มันน้ำผสมน้ำผึ้งชัดๆ!

 

 

แววตาที่หลัวเทียนเฉิงใช้มองเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความแปลกใจ “คุณหนูสี่ เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าพกอันใดมาอีก”

 

 

เจินเมี่ยวเปิดเสื้อที่ยาวคลุมถึงบั้นท้ายตนออกมา…เอวที่บางดุจกิ่งหลิวนั้นห้อยแขวนด้วยถุงเล็กๆ เป็นสาย

 

 

หลัวเทียนเฉิงตะลึงตาค้างไปทันที

 

 

เขาสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดสองวันมานี้เอวของเจินเมี่ยวถึงได้หนาขึ้นมาไม่น้อยเลย!

 

 

“ตรงนี้ใส่เกลือไว้ ตรงนี้ใส่น้ำผึ้งขวดเล็ก ตรงนี้ใส่พริกป่น…” เจินเมี่ยวแนะนำไปตามลำดับ

 

 

ดังนั้นที่นางพกมีดทำอาหารออกมาก็เพื่อหาโอกาสทำอาหารใช่หรือไม่

 

 

หลัวเทียนเฉิงหมดแรงเอ่ยวาจาไปทันใด

 

 

“ดื่มอีกสักอึกเถิด” เจินเมี่ยวประคองร่างเขาไว้ ค่อยๆ ป้อนน้ำอย่างระมัดระวัง

 

 

น้ำชุ่มฉ่ำไหลรินลงสู่ท้อง ความหวานล้ำนั้นยังคงวนเวียนอยู่ไม่รู้คลายคล้ายขนนกเบาหวิวที่คอยปัดแกว่งแผ่วเบาไปมาในหัวใจเขากระนั้น

 

 

เจินเมี่ยวมีสีหน้าเสียดายยิ่ง “เดิมคิดว่าอาจจะได้กินย่างเนื้อในป่าถึงนำเครื่องปรุงรสเหล่านี้มาด้วย น่าเสียดายที่มีดหายไปแล้ว มีดที่คมบางเช่นนั้น สามารถนำมาป้องกันตัวและทำอาหารได้ในคราวเดียว…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกใจอ่อนยวบขึ้นมาจึงคิดจะหยิกแก้มป่องยุ้ยของนางแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขน สุดท้ายจึงเอ่ยเสียงอ่อนว่า “รอกลับไปก่อนจะซื้อให้เจ้าใหม่”

 

 

“อืม”

 

 

“คุณหนูสี่ เจ้าเอากริชที่เอวข้าไปเถิด อย่างไรก็สามารถป้องกันตัวและทำอาหารได้เหมือนกัน” หลัวเทียนเฉิงผลิยิ้มน้อยๆ แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายตนค่อยๆ เย็นขึ้นทั้งเวียนศีรษะอีกด้วย

 

 

เจินเมี่ยวดึงเอากริชที่อยู่ข้างเอวหลัวเทียนเฉิงมาซ่อนไว้ในแขนเสื้อตน แล้วล้วงเอาขนมปั้วเฮอออกมาจากถุงที่ซ่อนไว้ในอกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “ซื่อจื่อ อย่าเพิ่งนอน กินอันใดสักหน่อยเถิด”

 

 

“เจ้ากินเถิด” หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจออกมา

 

 

เขาช่างโชคร้ายนัก ทั้งที่วางแผนไว้นับร้อยแต่สุดท้ายก็ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อยู่วันยังค่ำ

 

 

ธนูดอกนั้น…เมื่อชาติก่อนมิได้มีเหตุการณ์นี้เสียหน่อย

 

 

ที่แท้แล้วต้องการพุ่งเป้าไปที่ชูสยาจวิ้นจู่หรือเจินเมี่ยวกันแน่

 

 

เขาสะเพร่าเอง ในเมื่อเขายังเปลี่ยนไป แล้วยังจะมีอันใดคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงได้เล่า

 

 

แต่น่าเสียดายที่ทำให้นางต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย…

 

 

มือข้างหนึ่งวางประทับลงตรงหัวคิ้วเขา

 

 

“ซื่อจื่อ ขมวดคิ้วคิดอันใด เวลานี้จะต้องดูแลสุขภาพให้ดี ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าก็อาจมีคนมาช่วยเราแล้ว”

 

 

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า

 

 

หากหาไม่เจอเล่า หรือคนที่มามิได้คิดจะช่วยเล่า

 

 

หลัวเทียนเฉิงมิได้เอ่ยวาจานี้ออกมา

 

 

เหตุใดต้องทำให้นางกังวลใจด้วยเล่า หากเขายังมีลมหายใจอยู่จะต้องปกป้องนางจนถึงที่สุดแน่

 

 

หากมิอาจผ่านด่านนี้ไปได้ เช่นนั้นชาติหน้าเขาค่อยรับโทษจากนางแล้วกัน

 

 

“ซื่อจื่อ” เจินเมี่ยวพลันขยับเข้าไปใกล้ “เหตุใดท่านต้องทำท่าทางดุจจะต้องตายจากกันเช่นนั้นเล่า”

 

 

หลัวเทียนเฉิงใจเต้นขึ้นมา

 

 

เขาคิดว่านางไร้เดียงสาจนไม่รู้จักความทุกข์ นึกไม่ถึงว่านางจะมีความรู้สึกที่ไวถึงเพียงนี้

 

 

“วางใจเถิด ข้ามิได้บาดเจ็บอันใด มีข้าอยู่ทั้งคน ข้าจะปกป้องท่านเอง” ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมักเปราะบางเป็นพิเศษ นางแค่ให้คำมั่นแก่เขาอย่างหนักแน่นก็พอแล้ว

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ในใจ

 

 

นางแย่งวาจาเขาอีกแล้ว!

 

 

หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบอยู่นาน แต่ใจพลันเต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด จึงเอ่ยวาจาหนึ่งออกมา “คุณหนูสี่ เจ้าเชื่อเรื่องชาติก่อน ชาติหน้าหรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง “เชื่อ”

 

 

น้ำเสียงที่เอ่ยต่อมาพลันเปลี่ยนไป “แต่ข้าคิดว่า หากไม่มีความทรงจำแล้ว ชาติก่อนหรือชาตินี้ของคนผู้หนึ่งก็กลับกลายเป็นคนสองคนไปอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นจะมีชาติก่อนหรือชาตินี้หรือไม่ มีอันใดต่างกันเล่า”

 

 

เสียง ‘ปึง’ พลันดังขึ้น คล้ายไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งกระแทกชนหัวใจอันหนาแข็ง

 

 

เปลือกอันแข็งหนาที่ห่อหุ้มใจไว้เป็นชั้นๆ แตกละเอียดร่วงหล่นเป็นชิ้นๆ

 

 

ความรู้สึกสับสนที่รัดรึงหลัวเทียนเฉิงมาปีกว่าพลันได้รับการปลดปล่อย

 

 

หลังจากที่เขาตายแล้วฟื้นคืนมาอีกครั้ง คนที่เขาได้พบตอนนี้คงมิใช่คนเดียวกันกระมัง

 

 

เช่นองค์หญิงฟังโหรวที่ตนได้ช่วยชีวิตไว้ หากตอนนั้นมิรออยู่ใต้กำแพงวัง ผู้ใดจะทราบว่านางจะกลายเป็นคนเช่นนี้เล่า

 

 

เขาไม่อยากมีชีวิตใหม่อีกแล้ว หากชาติหน้าได้พบกันอีก คนที่เขาพบคงมิใช่คุณหนูสี่ที่อยู่ตรงหน้าแน่

 

 

เขา…อยากเจอแค่คุณหนูสี่ที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น

 

 

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้!

 

 

ครานี้เขาจึงกินขนมปั้วเฮอเข้าไปโดยไม่ปฏิเสธมันอีก แล้วเอ่ยถามว่า “คุณหนูสี่ ชื่อเล่นของเจ้าคืออันใด”

 

 

เจินเมี่ยวยิ้ม “เจี๋ยวเจี่ยว”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ต้นชื่อไช่ เป็นพืชทีมี่ดอกสีม่วงเป็นขนๆ ใช้เคี้ยวแล้วปิดแผลหยุดเลือดได้

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset