วาสนาบันดาลรัก 202

ตอนที่ 202

“เจี๋ยวเจี่ยว? ไพเราะยิ่ง” มุมปากหลัวเทียนเฉิงเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปให้เรียกข้าว่าจิ่นหมิง”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วหยิบขนมปั้วเฮอขึ้นมาอีกชิ้น “จิ่นหมิง ท่านกินอีกหรือไม่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงส่ายศีรษะ “พอแล้ว ข้าจะนอนก่อนสักครู่ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าไม่ต้องกลัว หากมีอันใดให้เรียกข้า”

 

 

เสียงของเขาค่อยๆ แผ่วลง เพราะคนนั้นผล็อยหลับไปแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวรู้ว่าร่างกายเขาอ่อนแออย่างมาก

 

 

ยามค่ำคืนนั้นอากาศหนาวมาก อาภรณ์ของหลัวเทียนเฉิงก็ขาดแหว่งไม่เหลือชิ้นดี

 

 

เจินเมี่ยวถอดเสื้อนอกตนออกห่มให้เขา แล้วนอนแนบชิดอยู่ข้างกายเขา

 

 

ร่างทั้งสองแนบชิดกันทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง

 

 

มือหนึ่งของเจินเมี่ยวกำกริชไว้ ตาลืมขึ้นอย่างยากจะหลับลง

 

 

พระจันทร์ถูกเมฆทะมึนบังไว้หมดแล้ว ทั่วสารทิศเต็มไปด้วยความมืดดำ เสียงของแมลงที่ส่งเสียงร้องนั้นชัดเจนเป็นพิเศษ ทั้งยังมีสายลมที่โบกสะบัด กิ่งไม้พัดโยกคล้ายดั่งเงาปีศาจที่ยืนนิ่งรอโอกาสเข้าโจมตี

 

 

ไม่รู้ว่าความหวาดระแวงนี้คงอยู่ไปนานเท่าใด แต่สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวแล้วเผลอหลับไปขณะที่กอดร่างอุ่นร้อนนั้นไว้แน่น

 

 

ในที่สุดฟ้าก็สว่างเสียที

 

 

เจินเมี่ยวถูกร่างที่ร้อนดุจเหล็กในเตานั้นปลุกให้ตื่น

 

 

นางยื่นมือไปลูบคราหนึ่งถึงกับต้องสะดุ้ง

 

 

เป็นไข้เสียแล้ว!

 

 

เจินเมี่ยวหวาดหวั่นขึ้นมา นางลองเรียกชื่อเขาอยู่สองครา แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลย

 

 

เจินเมี่ยวลุกขึ้นมองสำรวจไปโดยรอบ

 

 

ตรงที่พวกเขาร่วงตกลงมาคล้ายจะเป็นที่ลุ่มต่ำระหว่างเนินเขา บริเวณโดยรอบเป็นต้นไม้สูงต่ำหนาแน่นเต็มไปหมด มีผลไม้หลากสีห้อยแขวนอยู่บ้างประปราย

 

 

เจินเมี่ยวค้นอยู่นาน แต่ก็ไม่เจอสิ่งใดที่ใช้ประโยชน์ได้จากตัวหลัวเทียนเฉิงเลย นอกจากเงินไม่กี่ตำลึงที่ถูกนางเก็บยัดใส่ถุงเงินไว้

 

 

นางจึงออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างไม่ล้มเลิกความตั้งใจ จึงพบธนูคันหนึ่ง กระบอกใส่ลูกธนู อันว่างเปล่า และลูกธนูที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บริเวณนั้นซึ่งมีเพียงสองดอกที่ยังสมบูรณ์อยู่

 

 

ธนูเล็กพกง่ายคันนี้เป็นของเจินเมี่ยว นางหาต่อไปอีกครู่ใหญ่แต่อย่างไรก็มิพบธนูของหลัวเทียนเฉิงจึงจำต้องปล่อยวางแต่กลับพบเข้ากับหยกชิ้นหนึ่ง

 

 

มิใช่…ควรต้องบอกว่าหยกที่แตกออกเป็นสองชิ้นมากกว่า

 

 

เจินเมี่ยวจำได้ว่าวันที่ยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสนั้น เหล่ากั๋วกงได้มอบของขวัญให้แก่นาง ภายหลังนางจึงมอบต่อให้หลัวเทียนเฉิง

 

 

การแกะสลักหยกแม้ประณีตไม่น้อย แต่สีสันกลับไม่นับว่าสวยนักเพราะขาดความใสวาวอันงดงามของหยกไป แต่เมื่อถูกแสงแดดสาดส่องกลับเห็นว่าภายในมีเงาดำๆ เกิดขึ้น

 

 

เจินเมี่ยวจึงพบเข้ากับความลับของหยกชิ้นนี้

 

 

คิดไม่ถึงว่าด้านในจะหลอมกุญแจดอกหนึ่งไว้!

 

 

กุญแจดอกนี้มีสีใกล้เคียงกับหยกมาก เมื่อหลอมไว้ภายในจึงรู้สึกเพียงว่าหยกนั้นมีสีสันไม่ใสวาวเท่าที่ควร แต่กลับมองไม่ออกถึงความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ภายใน

 

 

สายตาของเจินเมี่ยวร่วงตกไปลายเส้นสีทองตรงรอยเชื่อมของหยก

 

 

ที่แท้ลายเส้นสีทองนี้มีเพื่อปกปิดรอยเชื่อมของหยกนั่นเอง

 

 

กุญแจที่ซ่อนอยู่ในหยกช่างดูมีลับลมคมในนัก เจินเมี่ยวรีบเก็บข้าวของทันที นางแบกธนูขึ้นบ่าแล้วกลับไปหาหลัวเทียนเฉิง

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใส เมฆลอยคล้อยสูงดั่งฐานปืนใหญ่

 

 

ลักษณะเมฆเช่นนี้ อีกไม่เกินสี่ห้าชั่วยามคงต้องมีฝนตกลงมาแน่

 

 

เขาตัวร้อนเพียงนี้หากถูกฝนอีก…เจินเมี่ยวไม่กล้าคิดต่อแล้ว

 

 

นางมิอาจนั่งรอความตายได้ หากคนพวกนั้นหาพวกเขาไม่พบเล่า หากมีสัตว์ป่าโผล่มาเล่า

 

 

เจินเมี่ยวแบกหลัวเทียนเฉิงขึ้นหลัง ในหัวพยายามระลึกถึงประสบการณ์ในป่าของตน

 

 

นางต้องหาต้นน้ำ มีต้นน้ำต้องมีบ้านคนแน่

 

 

ต่อให้ยังไม่พบบ้านคนแต่ถ้ามีต้นน้ำ นางก็สามารถหาวิธีก่อไฟ เช็ดตัวให้เขา ทั้งยังสามารถต้มน้ำแกงไล่พิษเย็นได้

 

 

เรื่องความสามารถในการคำนวณทิศทางของเจินเมี่ยวมิได้ดีนัก นางจึงเดินไปตามความรู้สึกตนแต่จมูกของนางก็มิได้อยู่ว่าง

 

 

ที่ใดมีต้นน้ำ กลิ่นโคลนก็ต้องลอยตามลมมาด้วย หากอยู่ไม่ไกลนางย่อมได้กลิ่นของมันแน่

 

 

พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น แม้จะเป็นปลายสารทฤดูแล้ว แต่เมื่อต้องแบกคนผู้หนึ่งเป็นเวลานานเช่นนี้เหงื่อก็ยังคงซึมไหลออกมาอยู่เช่นเดิม

 

 

แต่เจินเมี่ยวกลับมิกล้าพัก

 

 

ก่อนฟ้ามืดนางจะต้องหาถ้ำที่เหมาะสมสักแห่งเพื่อพักในค่ำคืนนี้

 

 

นางเดินย่างเท้าไปทีละก้าวเช่นนี้ไม่ทราบนานใด พลันได้กลิ่นคาวเลือดลอยมา

 

 

เจินเมี่ยวชะงักฝีเท้าตนทันที

 

 

กลิ่นคาวเลือดนี้เกิดจากสัตว์ที่กำลังต่อสู้กัน สัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บกำลังเลียแผล หรือสัตว์ที่ตกลงไปในกับดักกันแน่

 

 

หากเป็นสัตว์ที่กำลังต่อสู้กันนั่นย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง แต่หากเป็นสัตว์ที่บาดเจ็บก็รับประกันได้ว่าวันนี้เรามีอาหารกินแล้ว ไม่ว่าหลัวเทียนเฉิงหรือนางล้วนต้องการเนื้อเพื่อบำรุงกำลังทั้งสิ้น

 

 

หากมันติดอยู่ในกับดัก นั่นเป็นคงเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง เพราะนางอาจจะหาร่องรอยจนพบที่ที่มีผู้คนอยู่อาศัย

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจได้

 

 

นางต้องไปดูให้แน่ใจ

 

 

เวลาเช่นนี้ ไม่ว่าทางใดล้วนอันตรายทั้งสิ้น อย่างไรก็มิสู้ลองเสี่ยงดูสักครา

 

 

เจินเมี่ยวขยับเพื่อจับคนข้างหลังให้แน่นขึ้น นางไม่มีทางปล่อยเขาไว้ที่นี่ เพราะเมื่อกลับมาอาจพบว่าสามีตนถูกหมาป่าคาบไปกินแล้วก็เป็นได้

 

 

หากมีอันตรายก็เผชิญด้วยกันเถิด

 

 

เมื่อแบกคนเดินไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวจึงมิอาจเงียบกริบได้ เจินเมี่ยวได้แต่เดินให้ช้าลง กิ่งไม้ใบหญ้าเกี่ยวขาดอาภรณ์ราคาแพงของนางไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แต่นางมิอาจมัวแต่พะวงกับเรื่องนี้ได้

 

 

กลิ่นคาวเลือดรุนแรงขึ้นทุกขณะ เจินเมี่ยวหยุดเดินแล้วซ่อนตัวในพุ่มหญ้า นางค่อยๆ แหวกใบไม้มองลอดออกไปตรงหน้า

 

 

มีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆ

 

 

คนผู้นั้นแต่งกายอย่างหน่วยองครักษ์จิ่นหลินทั่วไป ในมือเขามีดาบวงพระจันทร์เล่มยาวที่กำลังหั่นเนื้อกระต่ายอย่างคล่องแคล่ว ข้างกายยังมีกองฟืนที่ยังมิได้ใช้กองอยู่

 

 

เจินเมี่ยวมีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที ต้องเป็นคนที่มาช่วยนางแน่!

 

 

เจินเมี่ยวยื่นเท้าออกไปก้าวหนึ่งแต่กลับชะงักหยุดเสียก่อน นางจ้องมองเงาคนผู้นั้น เหตุใดจึงรู้สึกแปลกๆ เล่า มีบางอย่างที่ผิดแผกไปอยู่แต่ก็บอกไม่ถูกว่าคือสิ่งใด

 

 

เจินเมี่ยวเป็นคนที่เชื่อในความรู้สึกของตนมาแต่ไหนแต่ไร นางคิดครู่หนึ่งก็วางหลัวเทียนเฉิงลง แล้วย่องไปซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นจึงแสร้งส่งเสียงบางอย่างออกมา

 

 

คนผู้นั้นพลันยืนขึ้นสำรวจไปโดยรอบด้วยความระแวดระวัง แล้วเดินมายังทิศทางที่หลัวเทียนเฉิงอยู่

 

 

เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงที่นอนราบอยู่อย่างสงบบนพื้น คนผู้นั้นกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว

 

 

เจินเมี่ยวกำคันธนูตนแน่น

 

 

แปลกอย่างที่นางคิดจริงๆ หากเป็นทหารที่มากับขบวนเสด็จ เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงก็ควรต้องดีใจจนพุ่งเข้ามาหาแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงมีท่าทางระแวดระวังเช่นนั้นเล่า

 

 

โดยเฉพาะคนผู้นี้ที่เป็นคนของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน หลัวเทียนเฉิงเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาแท้ๆ นี่ยิ่งแปลกหนักเข้าไปอีก

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา

 

 

นางเพิ่งจะหัดเรียนยิงธนูมาไม่นานนี้เอง หากยิ่งผิดพลาดไป…ก็เกรงว่าตนอาจจะสู้กับคนผู้นี้ไม่ได้

 

 

เฮ้อ นางย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอนอยู่แล้ว! แต่นางก็จำต้องลองดูสักตั้ง

 

 

ความสงสัยที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความรู้สึกของนางทั้งสิ้น หากเขาเป็นทหารอารักขาจริง แต่นางกลับหลบซ่อนตัวเช่นนี้มิเท่าต้องเสียโอกาสที่ตนจะถูกช่วยเหลือไปหรอกหรือ

 

 

แต่หากเป็นคนร้ายใจไม่ซื่อ แล้วทั้งสองปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันก็คงไม่ต่างอันใดกับเนื้อปลาบนกระทะเหล็กทีเดียวเชียว

 

 

เจินเมี่ยวค่อยๆ ยกธนูขึ้นแล้วเล็งไปที่หัวใจคนผู้นั้น

 

 

คนผู้นั้นเพ่งมองอยู่เพียงครู่ก็ขยับเข้าใกล้อีกก้าวหนึ่ง

 

 

เจินเมี่ยวหวาดกลัวขึ้นมา มือที่จับธนูสั่นน้อยๆ

 

 

นางเห็นคนผู้นั้นยกดาบวงพระจันทร์เล่มยาวขึ้นเตรียมฟันลงไป

 

 

เจินเมี่ยวจึงปล่อยมือ ลูกธนูพุ่งเข้าไปหาคนผู้นั้นทันที

 

 

เสียงปั๊กดังขึ้นคราหนึ่ง ลูกธนูปักลงไปบนบั้นท้ายของคนผู้นั้น

 

 

เมื่อธนูพุ่งเข้าปักที่บั้นท้ายอย่างกะทันหันเช่นนี้ คนผู้นั้นก็ร้องโหยหวนขึ้นแล้วหมุนตัวกลับหลังทันที และเห็นเจินเมี่ยวที่ยกคันธนูค้างไว้เข้าพอดี ความเย็นเยือกสายหนึ่งพาดผ่านดวงตาเขาไป เขายกดาบขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาทันที

 

 

เจินเมี่ยวยังมิทันได้ยิงธนูดอกที่สองด้วยซ้ำ เพราะอยากจะยิงให้แม่น เจินเมี่ยวจึงขยับเข้าไปใกล้ยิ่ง ทำให้นางไม่มีเวลามากพอที่จะน้าวสายธนูอีกครา

 

 

เจินเมี่ยวทิ้งคันธนูลงแล้วหมุนตัววิ่งหนีทันที

 

 

คนผู้นั้นวิ่งตามไป เจินเมี่ยวคล้ายสัมผัสได้ถึงไอเย็นของดาบเล่มยาวที่ตามติดอยู่ด้านหลัง

 

 

นางค่อยๆ ล้วงเอากริชในแขนเสื้ออกมา แต่กลับได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นที่ด้านหลัง ตามติดด้วยเสียงวัตถุหนักๆ ร่วงลงพื้น

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นทันทีจึงเห็นคนผู้นั้นล้มคะมำลงไปบนพื้น ด้านหลังมีกริชปักลึกอยู่ตรงหัวใจ

 

 

“จิ่นหมิง” เจินเมี่ยวร้องขึ้นด้วยความดีใจ แล้ววิ่งเข้าไปทันที

 

 

คล้ายเขาได้ใช้แรงที่มีไปกับการโจมตีศัตรูเมื่อครู่หมดแล้ว ยามนี้จึงใช้มือยันพื้นไว้ทั้งหอบหายใจโดยแรง

 

 

“จิ่นหมิง ท่านฟื้นแล้ว?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเงยหน้าขึ้น ท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่ฟื้นแล้วจะทำฉันใด จะให้มองเจ้ายิงธนูปักบั้นท้ายผู้อื่นอีกหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น คนผู้นี้ พูดจาดีๆ จะตายหรือไร

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เจ้าควรต้องรู้ว่า การบาดเจ็บที่บั้นท้ายมิทำให้คนตายได้ และไม่แน่ว่าจะทำให้เขาดุร้ายยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

 

 

“ข้ารู้ แต่ข้าเล็งไปที่หัวใจเขา!” เจินเมี่ยวกลั้นอาการหน้าแดงนั้นไว้ สุดท้ายจึงกลายเป็นโทสะ

 

 

“หึๆๆ” เสียงหัวเราะอันสดใสดังขึ้นแผ่วเบา แล้วตามติดด้วยเสียงไอที่รุนแรง

 

 

เจินเมี่ยวรีบเข้าไปประคองเขาแล้วตบหลังให้ “เป็นถึงเพียงนี้แล้วยังจะมาหัวเราะอีก จิ่นหมิง ท่านฟื้นตั้งแต่เมื่อใดหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงชะงักไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ตอนที่เจ้าวางข้างลงพื้น”

 

 

เขารู้สึกว่าตนได้เข้าไปอยู่ในห้วงแห่งฝันอันยาวไกลเหลือเกิน ในฝันเขานอนอยู่บนเตียงอันนุ่มสบาย อย่างไรก็ไม่ยอมตื่น แต่เมื่อเตียงนุ่มๆ เปลี่ยนเป็นพื้นอันเย็นแข็ง เขาก็ตื่นขึ้นมาทันที

 

 

เขามองนางค่อยๆ เดินห่างออกไปอยู่เงียบๆ และมองคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้อย่างสงบนิ่ง

 

 

แค่มองเพียงครู่เดียวเขาก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้ต้องไม่ใช่หน่วยองครักษ์จิ่นหลินอย่างแน่นอน!

 

 

ชั่วขณะนั้น เขาไม่รู้ว่าเลยว่ากายหรือใจของเขากันแน่ที่เหน็บหนาวมากกว่ากัน

 

 

กระทั่งคนผู้นั้นร้องโหยหวนแล้วหมุนกายวิ่งไปด้านหลัง เมื่อเห็นธนูที่ปักอยู่ที่บั้นท้ายเขา 

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงฉวยโอกาสนี้ล้วงเอากริชที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าสะบัดใส่เขา คร่าชีวิตคนผู้นั้นให้ดับดิ้นไปในคราเดียว

 

 

เมื่อเห็นดวงตาแวววาวคู่นั้น หลัวเทียนเฉิงก็ได้แต่ยิ้มเยาะตนเอง

 

 

แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาขาดมาตลอดมิใช่โชคดี แต่เป็นความเชื่อใจต่างหาก!

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มจนหางตาหยักโค้งขึ้น “จิ่นหมิง เรามีอาหารกินแล้ว”

 

 

กล่าวจบก็ลุกขึ้นไปเก็บเนื้อกระต่ายอีกครึ่งหนึ่งไว้ แล้วไปลูบคลำตามตัวคนที่ตายแล้วผู้นั้น นางจึงได้กระดาษจุดไฟ เชือกปอและอื่นๆ ยังมีเงินเบี้ยอีกเล็กน้อย แม้แต่กระบอกน้ำที่เอวเขา นางก็เอามาด้วย

 

 

เจินเมี่ยวถอดเอาเสื้อตัวนอกของคนผู้นั้นออกมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วนำไปห่อของที่จำเป็นเหล่านั้น แม้แต่กองฟืนนางก็มิยอมปล่อยผ่าน ทั้งยังเก็บดาบเล่มยาวของเขามาด้วย แล้วค่อยกลับไปหาหลัวเทียนเฉิง

 

 

เจินเมี่ยวจะแบกเขาขึ้นหลังแต่เขากลับเอ่ยว่า “ไม่ต้อง เจ้าพยุงข้าเดินไปก็พอ”

 

 

เจินเมี่ยวมิสนใจเขา “ขาท่านบาดเจ็บอยู่ หากเป็นหนักกว่าเดิมจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้นไปอีก”

 

 

นางแบกเขาขึ้นหลังโดยไม่อธิบายอันใดอีก เพียงเอ่ยว่า “เราหาถ้ำสักแห่งพักกันก่อนเถิด ข้าจะได้ทำน้ำแกงกระต่ายให้ท่านกินด้วย”

 

 

เมื่อต้องอยู่บนหลังของเจินเมี่ยว หลัวเทียนเฉิงก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าใจเขารู้สึกเช่นไร เพียงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจอย่างรุนแรง

 

 

ผ่านไปนานจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เหตุใดถึงดูออกว่าคนผู้นั้นมีบางอย่างผิดปกติ”

 

 

“ใช้ความรู้สึก คราแรกก็บอกมิถูกเช่นกันว่าแปลกที่ตรงใด แต่เมื่อครู่ตอนที่ถอนเสื้อเขาออกจึงนึกได้ คนผู้นี้ผอมบางเกินไป ชุดที่ใส่จึงดูไม่เข้ารูป หน่วยองครักษ์จิ่นหลินมิใช่องครักษ์หน่วยพิเศษหรอกหรือ เช่นนั้นคงต้องใส่ใจกับเรื่องภาพลักษณ์อยู่บ้างกระมัง”

 

 

หลัวเทียนเฉิงตกใจขึ้นมา

 

 

หากทุกคนใช้ความรู้สึกเช่นนี้ได้ ผู้อื่นคงปลอมตัวปะปนเข้ามาไม่ได้แน่!

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว?”

 

 

“หืม?”

 

 

“ต่อไป เรามาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวเหนื่อยจนหอบหายใจ “ข้าก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาตลอดอยู่แล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น

 

 

นางพูดถูก คนที่ทุกข์ทรมานมาตลอดมีแค่เขา!

 

 

“จิ่นหมิง” เจินเมี่ยวหยุดไปครู่หนึ่ง “ข้าคิดว่า ต่อไปท่านกินให้น้อยลงหน่อยดีกว่า”

 

 

หลัวเทียนเฉิง “…”

 

 

เหลือเกินจริงๆ พวกเขาคงไม่มีทางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แน่ๆ

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset