ยามนี้อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้เข้าใจว่ามันหมายความเช่นไร
เหตุผลที่แม่คนหนึ่งใจดำอำมหิตวางยาพิษลูกแท้ๆ ของตัวเองจะมีเท่าใดกันเชียว เสือร้ายไม่กินลูกตัวเอง ในครอบครัวปกติธรรมดาล้วนมีความโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้น้อยนัก ในวังหลวงมีน้อยเสียยิ่งกว่า สตรีในวังหลังคนใดบ้างไม่หวังกับลูกชายจนวิปลาส ล้วนอาศัยลูกชายมาทำให้ความโปรดปรานที่ตนได้รับมั่นคง ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนคลอดสิบเดือนนี้ ตัวสั่นงันงก กลัวว่าจะตกหลุมพลางที่คนอื่นวางไว้ หลังจากคลอดออกมาแล้วก็เฝ้าเลี้ยงดูจับตาดูไว้ กลัวว่าลูกจะได้รับอันตราย
องค์ชายไม่เพียงแต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ เท่านั้น ยังเป็นหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตของพวกนางอีกด้วย โดยเฉพาะพระสนมเอกเฮ่อเหลียนที่แต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับต้าเซวียน พระสนมเอกผู้ไร้ญาติขาดมิตรให้พึ่งพิง
แต่นางยอมไม่มีหลักประกันความมั่นคงดีกว่าฆ่าลูกชายด้วยตัวเองอย่างนั้นรึ
ชิงฉานเห็นหน้าผากงามของนางมีเม็ดเหงื่อแวววาวผุดซึม จึงเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ “พระชายา เป็นอันใดหรือเพคะ ยานั่นมีปัญหาอันใดหรือ”
นอกจากหมอประจำพระองค์ขององค์ชายสามและตัวอวิ๋นหว่านชิ่นเองแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ชื่อพิษที่องค์ชายโดน ชิงฉานก็เช่นกัน อวิ๋นหว่านชิ่นสงบจิตสงบใจ มิได้ตอบคำใด ทำเพียงเอ่ยถามว่า “วันนั้นหลังจากพบเฮ่อเหลียนไท่จื่อ พระสนมเอกกลับตำหนักชุ่ยหมิงแล้ว หมู่นี้มีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง”
ชิงฉานกลืนน้ำลาย “พระสนมเอกสนิทกับหลานถิงที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร มีเรื่องส่วนตัวใดก็น้อยนักที่จะมาพูดคุยกับพวกเราสามคน แต่หลังจากวันนั้นมา พระสนมเอกก็แปลกไปจริงๆ เพคะ เหม่อลออยู่ทุกวัน มีวันหนึ่งบ่าวเข้าไปในห้องถวายชาให้ ได้ยินเพียงนางพึมพำกับหลานถิงประมาณว่า ‘มาแล้ว ที่ควรมาในที่สุดก็มาแล้ว’…พอเห็นบ่าวเข้ามาก็ไม่พูดอันใดต่อเลย…”
อวิ๋นหว่านชิ่นคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ ครู่ต่อมาก็ดึงมือชิงฉานมา “เฮ่อเหลียนอวิ่นเข้าวังพรุ่งนี้ ต้องถามเจ้าว่าจัดการเรื่องไปอย่างไรแล้วแน่”
ชิงฉานกัดฟันแน่น “บ่าวจะไม่ฟังเขาเสี้ยมสอนเด็ดขาด”
“ครานี้ไม่สำเร็จ เขาย่อมไม่ยอมแพ้ ไม่ใช้เจ้า เขาย่อมไปเลือกใช้คนอื่นให้ช่วยเขาอยู่ดี ยากที่จะป้องกัน” อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางนิ่ง
“เช่นนั้นจะทำเช่นไรดีเพคะ…จะขวางเขาอย่างไร” ชิงฉานเบิกตาโต เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นสั่งว่า “วันนี้หลังเจ้ากลับตำหนักชุ่ยหมิงแล้ว ทูลเรื่องที่เฮ่อเหลียนอวิ่นให้เจ้าวางยาพิษปลงพระชนม์ไท่จื่อแก่พระสนมเอกเสีย บอกไปว่าเพื่อไม่ถูกคนอื่นรู้เข้า ได้โยนยานั่นทิ้งลงแม่น้ำไปแล้ว ยามนี้คนที่จะห้ามเฮ่อเหลียนอวิ่นได้ มีเพียงพระสนมเอกเท่านั้น”
วสันตฤดูที่มีปีละครั้งพอได้โหมโรงลงมาแล้วก็หยุดไม่อยู่อีกต่อไป
พอเข้าสู่ราตรีกาล ฟ้าแลบดั่งสัตว์ร้ายที่หิวโซฉีกแหวกขอบฟ้า ติดตามมาด้วยฟ้าคะนองติดต่อกัน ฝนเทกระหน่ำ เม็ดฝนใหญ่เท่าเม็ดถั่วตกลงสู่พื้นแตกสลายกลายเป็นกลีบมากมาย รวมตัวเป็นแอ่งน้ำบนพื้นที่เว้าแหว่งลงไป
ฝนปีนี้หนักกว่าปีที่ผ่านๆ มา ฝนก่อนเข้าฤดูร้อนในปีก่อนๆ แม้จะมากเช่นกันแต่ก็ไม่โปรยปรายติดต่อกันไม่ขาดสายเช่นนี้ ทุกคราที่ฝนตกในปีนี้ มีพลังพลิกฟ้าตลบแผ่นดิน เหมือนจะแหวกฟากฟ้าทั้งสี่ทิศ ราวกับลางก่อนการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ตำหนักฉงเหวินตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของวัง เป็นที่พำนักและทำงานของซย่าโหวซื่อถิงที่ยามปกติมาสำเร็จราชการแทนในวัง
ยามนี้ บุรุษในชุดคลุมลายมังกรเมฆาแหวกว่ายสมุทรยืนอยู่บนระเบียงยาวของประตูตำหนัก คลุมเสื้อกันฝนที่ทำด้วยหญ้าหมวกมังกรและหมวกสานกันฝน มือใต้แขนกำเข้าหากันแน่น แหวนหยกปรากฏประกายเย็นเยียบอยู่ระหว่างนิ้ว
ซือเหยาอันยืนอยู่หลังผู้เป็นนาย ฉีไหวเอินเพิ่งจะออกไปไม่นาน
พระชายาให้ฉีไหวเอินทูลเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ของวังหลวงให้แก่องค์ชายสามฟังทั้งหมด
หลังจากฉีไหวเอินออกไป องค์ชายสามก็ยืนอยู่บนระเบียงไม่ไปไหน เนิ่นนานไม่เอ่ยคำใด
ซือเหยาอันเห็นสีหน้าเขาราวกับเหล็ก คล้ายฟากฟ้าที่กดดันเบื้องหน้าในยามนี้ และทราบดีว่าความรู้สึกมากมายหลากหลายผสมปนเปกันอยู่ในใจเขา
ขุยเหล่ยซั่น พิษที่องค์ชายสามได้รับ ที่แท้ก็เป็นพิษที่ชาวเหมิงหนูมีนี่เอง ตอนที่พระชายาให้ฉีไหวเอินมาบอกแม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ต่อให้ไม่พูดก็ทราบดี
คนที่วางยาพิษในปีนั้น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพระสนมเอก
“ท่านอ๋อง อาจจะเป็นฆาตรกรคนนั้นที่ทำร้ายท่านในปีนั้นได้ขุยเหล่ยซั่นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ…ก็ไม่แน่นะขอรับ” ซือเหยาอันเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่
ประโยคนี้แม้ว่าจะเป็นการปลอบใจ แต่ซือเหยาอันเองกลับมีความมั่นใจไม่พอ ขุยเหล่ยซั่นเดิมทีก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย กระทั่งเหยาย่วนพั่นยังตรวจสอบอยู่นานจึงตรวจพบว่าเป็นพิษใด คนธรรมดาในวังหลวงจะมีมันได้ง่ายเพียงนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเฮ่อเหลียนอวิ่นมี พระสนมเอกเฮ่อเหลียนที่เป็นชาวเหมิงหนูเหมือนกันจะเอายาพิษนั่นมาจากแดนเหนือก็มิใช่เรื่องยาก
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร พระสนมเอก…จะวางแผนทำร้ายโอรสตัวเองได้อย่างไรกัน ซือเหยาอันเหมือนกับอวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ห่างไกลกันไปหลายต่อหลายตำหนักที่ยามนี้ต่างกำลังคิดจนหัวจะแตก ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
หรือว่าเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน จงใจฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วใส่ร้ายสนมคนอื่นอย่างนั้นรึ อย่างไรเสียแม้วิธีวางยาพิษเช่นนี้จะมีอยู่น้อยนัก แต่ก็ยังเคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของราชสำนักเช่นกัน
ทว่าหากไตร่ตรองให้ละเอียดยิ่งขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ สูญเสียองค์ชายไปพระองค์หนึ่ง…เพื่อใส่ร้ายป้ายสีสตรีคนอื่นน่ะหรือ การค้าขายนี้ ได้ไม่คุ้มเสีย! สำหรับพระสนมเอกที่ไร้ที่ให้พึ่งพิงแล้วไม่คุ้มค่านัก สำหรับพระสนมเอกที่ได้รับความโปรดปรานในเวลานั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
ท่ามกลางฝนเทกระหน่ำ ฟ้าร้องคำรามมาเป็นระยะ แสงมันวาวในแววตาของซย่าโหวซื่อถิงสั่นไหวเล็กน้อย สมองค่อยๆ ปลอดโปร่งขึ้น
ปีนั้น พิษทั่วร่าง กระทั่งชื่อของมันก็ตรวจไม่พบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาถอนพิษที่เหมาะสมกับอาการเลย
ต่อมาในที่สุดเหยากวงเหย้าก็เปิดไปเห็นตำราโบราณในคลังตำราแพทย์หลวงของสำนักแพทย์หลวงโดยบังเอิญจึงได้ยืนยันได้ว่าเป็นพิษอะไร
ทว่า…นั่นเป็นเรื่องบังเอิญจริงหรือ หนึ่งปีหลังจากรู้ความ ในตอนที่เหยากวงเหย้ามาสอบถามอาการและรักษาให้เขาเป็นการส่วนตัว เขาเคยถามเหยากวงเหย้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจว่า คลังตำราแพทย์หลวงในวังหนังสือตำรามากมายดังมหาสมุทร เหตุใดจึงหาบันทึกเล่มหนึ่งที่จดเกี่ยวกับขุยเหลยซั่นเจอได้
เหยากวงเหย้าเคยเอ่ยถึงว่าบังเอิญ วันนั้นเหล่านั้น เพื่อหาว่าฉินอ๋องถูกพิษใดกันแน่ เขาที่คลั่งไคล้ด้านการแพทย์หอบตำรามาอ่านในคลังตำราแพทย์หลวงตลอดทั้งวันทั้งคืน
วันนั้นพระสนมเอกพานางกำนัลมาที่คลังตำราแพทย์หลวง ถามเขาเป็นการส่วนตัวว่าอาการบาดเจ็บขององค์ชายเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนจะกลับนางกำนัลของพระสนมเอกไม่ทันระวังชนเข้ากับกองตำราโบราณที่มีฝุ่นเกาะไม่ถูกคนเปิดอ่านมานานกองหนึ่ง เหยากวงเหย้าหายาพิษที่มีอาการตรงกับเขาพบในกองตำราโบราณนั้น จึงสามารถหายาที่เหมาะกับอาการได้ และค่อยๆ ศึกษาค้นคว้ายาถอนพิษ
ตอนนั้นพอได้ฟัง เขากลับไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ยามนี้นึกขึ้นมาได้กลับคล้ายว่าเสด็จแม่ได้วางแผนจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว จงใจให้เหยากวงเหย้าพบมัน
นั่นก็แสดงว่า เสด็จแม่ทราบว่าเขาโดนพิษใดมาโดยตลอด แต่จงใจให้ข้อมูลออกไปให้เหยากวงเหย้าได้รู้
ในเมื่อนางจะทำร้ายตน เหตุใดสุดท้ายจึงช่วยตนด้วย!
เสียงสายฟ้ารุนแรง คำรามครืนๆ เข้าสู่โสต ซย่าโหวซื่อถิงก้มหน้าลง นิ้วมือหยาบกร้านเล็กน้อยถูแหวนแวววาวบนนิ้ว
ออกจากวังหลวงตั้งแต่ยังเล็กเกินไป ความทรงจำจึงไม่แจ่มชัด ทว่าฉากเหตุการณ์ที่แยกจากเสด็จแม่ฉากนั้น ภาพจำกลับปรากฏสู่สายตาอย่างชัดเจน
สตรีออกเรือนเยาว์วัยผู้งดงามสีหน้าโศกเศร้ามีนางกำนัลอยู่เป็นเพื่อน ยืนอยู่ตรงประตูข้างของวังหลวง มองบรรดานางกำนัลอุ้มองค์ชายขึ้นเสลี่ยงส่งไปยังวัดเซียงกั๋ว
‘ท่านแม่ ท่านแม่ เหตุใดไม่ไปด้วยกันกับข้า ข้าปวดเหลือเกิน ปวดท้อง เหมือนกระดูกถูกแมลงกัด…’ เด็กชายวัยสามสี่ขวบผิวพรรณอ่อนนุ่มนั่งอยู่บนเสลี่ยง ร้องไห้อย่างอ่อนแอ ทว่ากระทั่งเรี่ยวแรงจะร้องยังไม่มี เหมือนสัตว์เล็กที่ได้รับบาดเจ็บ น้ำตาไหลพรากอยู่บนเสลี่ยง รอยช้ำทั่วทั้งร่างจากการถูกพิษยังไม่หายไป ความทรมานแสนเข็ญก่อนวัยอันควรทำให้เขาเติบโตในชั่วข้ามคืน เข้าใจกระจ่างแจ้งว่าตนไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงได้เหมือนองค์ชายคนอื่นๆ ที่มีมารดาคอยอยู่ด้วยอีกแล้ว
เด็กน้อยวัยสามขวบออกจากวังไปตัวคนเดียว หนทางข้างหน้าไร้ผลลัพธ์ ไม่อาจทราบได้ว่าจะเป็นตายอย่างไร แต่นี้ไป หนทางของชีวิตมีเพียงคนผู้เดียวที่อยู่เป็นเพื่อนก็คือตัวเขาเอง
สตรีออกเรือนวัยเยาว์น้ำตาคลอหน่วยไม่ปล่อยให้รินไหลลงมา นางข่มระงับไว้อย่างสุดกำลัง ในที่สุดก็ผลักนางกำนัลออก วิ่งเข้าไปหาสองสามก้าวแล้วคุกเข่าลง ควักเอาแหวนหยกวงหนึ่งมาจากอก ใช้เชือกแดงผูกไว้กับลำคอของเด็กน้อย ‘ซื่อจื่อ แม่ขอโทษ…เจ้าต้องออกจากวังไปจึงจะมีทางรอด หากเจ้าคิดถึงแม่ก็ให้ดูแหวงวงนี้ต่างหน้า สวมมันไว้ติดตัวตลอดเวลา เหมือนกับมีแม่อยู่ด้วย…’