[นิยายแปล] Ore no iinazuke ni natta jimiko, ie de wa kawaii shika nai 2 ผมกำลังจะต้องแต่งงาน และเธอก็ไม่ใช่สาว2Dด้วย

ตอนที่ 2 ผมกำลังจะต้องแต่งงาน และเธอก็ไม่ใช่สาว2Dด้วย

ผมได้นั่งลงไปบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าว

วาตานาเอะซังดูขยุกขยิกไปมาจากความประหม่า เพราะไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอะไรดี

ในอีกทางนึง นายุก็กล้าดีถึงขนาดที่หยิบเก้าอี้ใกล้ๆมานั่งลงแล้วก็ทำท่าทางอวดดี

นี่มันอะไรวะเนี่ย?

 

“เออะ-เอ่อ วาตานาเอะซัง ตอนนี้อยากได้ชามั้ย”

“ขะ-ขอบคุณค่ะ…”

“อ๊ะ พี่ ชั้นขอแบบเย็นๆด้วยที”

 

ตามที่ได้ถูกร้องขอมา ผมได้เริ่มเตรียมทำชาบาร์เล่ทั้งสามถ้วย

หลังจากนั้น ผมก็ได้นั่งลงที่ข้างหน้าของวาตานาเอะซังอีกรอบ

 

และในระหว่างที่ผมกำลังดื่มชาอยู่นั้นเอง ผมก็ได้เหลือบมองไปที่ใบหน้าของเธอ

พอได้มามองเธอในตอนนี้ ผมเห็นได้เลยว่าจมูกของเธอมีความโด่งและคม นอกจากนี้เธอก็ยังมีดวงตาที่ใหญ่และสดใส

หน้าตาของเธอก็ดูค่อนข้างที่จะสะสวยเลยเหมือนกันแฮะ

ที่ผมไม่รู้ก่อนหน้านี้ก็คงจะเป็นเพราะว่าเธอใส่แว่นอยู่

 

พอวาตานาเอะซังรู้ตัวว่าผมกำลังมองเธออยู่ เธอก็ก้มหน้าลงไปด้วยความเขินอายแล้วหน้าของเธอก็เริ่มที่จะแดงขึ้น

 

“อ๊ะ… ผะ-ผมขอโทษนะ…”

“มะ-ไม่หรอกค่ะ ชั้นควรจะเป็นคนที่ต้องขอโทษมากกว่า…”

“ชิ ขอบคุณที่แสดงให้ดูนะว่าพวกเธอสองคนมันช่างไร้เดียงสากันซะจริง ๆ”

“เงียบน่า! หยุดบ่นแล้วมาช่วยชั้นทีเถอะ!”

“ไม่อะ น่ารำคาญจะตาย”

 

แล้วยัยนี่จะมาที่นี่ทำไมกันล่ะเนี่ย?

เพราะยัยน้องสาวไม่ยอมที่จะพูดอะไรเลย ผมก็เลยจำเป็นที่จะต้องเริ่มพูดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“วาตานาเอะซังรู้เกี่ยวกับสถาณการณ์ต่างๆแล้วหรือยัง?”

“ระ-รู้แล้วค่ะ พ่อของชั้นสนิทกับคู่หูทางธุรกิจของเค้ามาก ทั้งสองคนก็เลยได้ตกลงกันว่าจะให้ลูกๆของพวกเค้าแต่งงานกัน”

 

ต่อให้ผมจะได้ยินเรื่องนี้อีกซักกี่รอบ มันก็ไม่ได้ฟังดูเมคเซ้นส์เลยจริงๆ

พวกเค้าไม่สนใจใครเอาซะเลย

 

“แล้ว ยูกะจัง เธอย้ายมาอยู่ที่โตเกียวตั้งแต่ม.ปลายปีที่1แล้วใช่มั้ย?”

นายุดูเฉื่อยๆ ระหว่างที่กำลังถามวาตานาเอะซัง

 

“อ่า ใช่แล้วค่ะ จริงๆแล้วชั้นไม่ได้มาจากเขตคันโต… ชั้นก็เลยอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เริ่มเรียนม.ปลาย”

“อ่อ จริงๆแล้วพี่ชายก็อยู่ตัวคนเดียวเหมือนกันนะ”

“ใช่แล้ว ตอนนี้พ่อของผมกำลังทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ น้องของผมก็เลยย้ายออกไปด้วย”

“ยังไงก็เถอะ จะโอเครึเปล่าถ้าเธอจะย้ายมาวันนี้เลย ยูกะจัง?”

“เดี๋ยว”

 

ทำไมอยู่ดีๆนายุถึงยกเรื่องย้ายบ้านมาพูดกันล่ะเนี่ย? ผมได้รีบพูดขัดเธอไป

 

“ทำไมอยู่ดีๆถึงตัดสินใจที่จะให้เธอย้ายเข้ามาที่นี่เลยล่ะ?”

“หา? ก็บ้านเราใหญ่กว่าไม่ใช่เหรอ? ถ้าพี่แต่งงานมันก็แน่อยู่แล้วว่าจะต้องเริ่มอยู่ด้วยกันกับคู่รักพี่น่ะ มีอะไรรึไง?”

“นี่ชั้นไม่ได้บอกเธอตอนคุยโทรศัพท์ไปแล้วเหรอ? เราทั้งคู่เป็นนักเรียนม.ปลายนะ พวกเราจะแต่งงานกันแบบถูกกฎหมายได้ยังไง”

“มันเรียกว่าการอยู่เป็นคู่แบบสมยอมน่ะ พ่อแม่จากทั้งสองฝั่งตกลงกันแล้ว”

 

“ถึงพ่อแม่พวกเราจะยินยอมแล้วก็เถอะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราทั้งคู่จะอยากแต่งงานกันนี่”

“นั่นมันก็แค่ที่พ่อบอกมา ชั้นไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ”

 

นายุได้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างชัดเจน

แต่มันก็คงจริงที่เธอไม่ได้ตัดสินใจเรื่องอะไรพวกนี้เลย เธอก็เป็นแค่คนส่งสาส์นเท่านั้น

ถึงผมจะรู้อย่างนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกรำคาญใจอยู่ดี

 

“รู้มั้ยนายุ… ชั้นตัดสินใจไปแล้วว่าชั้นจะไม่มีวันตกหลุมรักสาว3Dอีก เธอก็รู้ใช่มั้ย?

ตั้งแต่ที่พ่อหย่าไป ชั้นก็ไม่เคยคิดว่าจะแต่งงานกับใครได้เลย แล้วตั้งแต่ที่ชั้นโดนปฏิเสธเมื่อตอนนั้นไป ชั้นก็อยากที่จะสนใจแต่โลก2Dเท่านั้น จนถึงตอนนี้ชั้นก็บอกเธอไปหลายรอบแล้วนะ”

 

เมื่อตอนที่พ่อของผมเลิกกับแม่ ผมเห็นเค้าดูเศร้าซะจนผมคิดว่าเค้าอาจจะตายจากความอาลัยอาวรณ์หรือความเศร้าได้เลย มันทำให้ผมได้รู้ว่าเมื่อชีวิตแต่งงานจบลง มันจะต้องตามมาด้วยความทรมานอย่างมากอยู่เสมอ

และหลังจากเหตุการณ์ในช่วงม.ต้น มันก็ทำให้ผมตัดสินใจว่าจะรักแค่สาว2Dเท่านั้น เพราะพวกเธอจะไม่สามารถทำให้ผมเจ็บปวดได้ และผมก็ไม่สามารถที่จะทำให้พวกเธอเจ็บปวดได้

 

ผมเป็นคนแบบนั้นนั่นแหละ

 

“ฮ่า… ถึงนายจะบอกว่าอยากจะ ‘แต่งงาน’ กับตัวละครนั่นแล้ว ‘ทำให้เธอมีความสุข’ เนี่ยนะ”

“นายุ อย่าเรียกเธอว่า ‘ตัวละครนั่น’ นะ เธอคนนั้นมีชื่อจริงๆที่เรียกว่า ‘ยูนะจัง’ อยู่ เธอควรจะพูดถึงเธอด้วยชื่อที่ถูกต้องสิ”

“โอ้โห… นั่นมันเป็นสิ่งที่นายค้างคาใจเหรอ?”

 

เธอมองมาที่ผมด้วยหน้าตาที่ดูงุนงนแล้วก็ถอนหายใจออกมา

 

“แต่ถ้านายรวมของ2Dหลายๆอย่างเข้าด้วยกันมันก็จะกลายเป็นของ3Dนะ ถ้านายลองคิดแบบนั้นดู บางทีนายอาจจะรู้สึกดีขึ้นเกี่ยวกับการแต่งงาน ล่ะมั้ง? ไม่รู้สิ”

“นั่นมันทฤฎีอะไรกัน? เธอดูไม่เข้าใจสิ่งที่ชั้นคิดแม้แต่น้อยเลยนะน่ะ”

“ก็สิ่งที่พี่พูดมามันก็ไม่ค่อยจะเมคเซ้นส์อยู่แล้วนี่ ยังไงก็เถอะ นายควรที่จะมีความสุขกับการมีภรรยาในระหว่างที่ทำได้นะ ชิ”

“เอาอีกแล้ว ทำไมเธอถึงต้องไม่พอใจขนาดนั้นกันด้วย?!”

 

นายุไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

แต่เธอกลับเมินผมแทน

 

“โอเค หมดเรื่องแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวชั้นจะให้ทั้งสองคนพักผ่อนกันตามสบายแล้ว ไว้เจอกันนะพี่… หวังว่าจะตายอย่างมีความสุขนะ”

“อะไรนะ?! ตาย?! ทำไมถึงร้ายขึ้นกว่าเดิมล่ะฟระ?!”

 

และก็ตามนั้นแหละ ยัยนั่นได้หยุดผมจากการถามคำถามนอกเหนือจากนั้น

นายุได้ออกจากบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่แม้แต่จะฟังผมที่กำลังพยายามจะห้ามเธอ

 

****

 

ท่านนายุครับ ตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่นะ?

ห้องนี้มันเงียบสนิทเลยตั้งแต่ที่เธอออกไป แล้วมันก็ผ่านมาตั้ง1ชั่วโมงแล้ว

 

“…..”

“….”

 

พวกเราอายเกินไปที่จะมองตากัน และพวกเราก็ลุกขึ้นจากที่นั่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ผมประหม่าชะมัด

 

แต่…

พวกเราจะอยู่อย่างงี้กันไปตลอดไม่ได้

ผมจึงกระแอมขึ้นมาแล้วหันหน้าไปทางวาตานาเอะซัง

เอาล่ะ นายทำได้ ยูอิจิ

 

“คือว่านะ วาตานาเอะซัง ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะต่อต้านสังคมแล้วก็มืดมน ผมอยากให้เธอรู้ไว้น่ะ”

“…คะ?”

 

มันอาจจะเจ็บปวด แต่ผมจำเป็นที่จะต้องเอาอดีตของผมมาเล่า เพื่อตัวของพวกเราเองทั้งคู่

วาตานาเอะซังก็ได้แต่เอียงหัวของเธอด้วยความมึนงง แต่ผมก็ยังเล่าต่อไปอยู่ดี

 

“นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่สนใจผู้หญิง ผมไม่รู้เกี่ยวกับร้านดีๆที่ไหนเลย ผมบอกความแตกต่างระหว่างไข่มุกกับเส้นเยลลี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ นอกจากนั้นผมก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับเพลงที่กำลังดังด้วย หัวข้อที่ผมจะคุยได้ก็มีแต่มังงะ อนิเมะ แล้วก็เกม ผม…ไม่รู้เกี่ยวกับหัวข้ออะไรเลยที่ผู้หญิงน่าจะสนใจน่ะ”

 

ผมเริ่มที่จะพูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เลยจำเป็นที่จะต้องสงบสติอารมณ์ลงหน่อย

แต่นั่นมันก็ไม่เป็นไร เอาเลย ล้อผมเลย เยาะเย้ยผมเลย หรือจะยังไงก็ได้

 

พวกเราคงจะเลิกกันหลังจากนี้ การแต่งงานก็คงจะถูกยกเลิกด้วย

นี่มันคงดีแล้วล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะไม่มีใครต้องเจ็บปวด

 

ฮ่า… เอาจริงๆนะ ผมอยากที่จะตามหลอกหลอนพ่อเลย สำหรับการที่พยายามจัดงานแต่งงานบ้าๆแบบนี้ขึ้น

เฮ้อ… แต่บางทีนั่นมันอาจจะกลับมาเล่นงานผมในอนาคตก็ได้

ผมก็ได้คิดอะไรที่ไร้ประโยชน์อยู่ในหัวของผม

 

“…คะ-ใครเป็นheroineที่นายชอบอยู่ตอนนี้เหรอคะ?”

“…เห๊?”

 

ไหล่ของวาตานาเอะซังกำลังสั่นระริก และดวงตาของเธอก็ปิดลงอย่างเต็มที่

เพราะเธอได้พูดอะไรที่ผมไม่ทันคาดคิดออกมา ผมก็เลยเผลอส่งเสียงแปลกๆออกไป

จากนั้น ผมจึงใช้เซลล์สมองทุกเซลล์ที่มีอยู่ เพื่อที่จะพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของเธอให้ถูกต้อง

 

“ผมบอกความแตกต่างระหว่าง AKB48 กับ Sakamichi Series ไม่ได้เลย เธอรู้มั้ย?”

“ชั้นก็จำหน้าของไอดอลเกือบ 40 คนไม่ได้เหมือนกัน”

 

อะไรนะ?

ตอนที่เธอพูดขึ้นมาว่า’heroine’ ผมนึกว่าเธอจะพูดเกี่ยวกับไอดอล 3D ซะอีก

ในระหว่างที่ผมกำลังรู้สึกสับสน เธอก็ได้มองมาที่ผมด้วยดวงตาที่ดูขัดใจ แล้วก็ทำหน้ามุ่ยออกมา

 

“ชั้นบอกว่า ใครเป็นheroineที่นายชอบอยู่ตอนนี้เหรอ เมื่อกี้ไม่ได้พูดเหรอว่านายคุยได้เกี่ยวกับแค่อนิเมะ มังงะ แล้วก็เกมเท่านั้นน่ะ?”

“แล้วเธอกำลังจะพยายามทำอะไรเหรอ ถึงถามผมแบบนั้น?”

“…แล้วนายคิดว่าชั้นกำลังพยายามที่จะทำอะไรล่ะ?”

“ผมนึกว่าจะหลอกให้ซื้อแจกัน รูปวาด หรืออาหารเสริมอะไรทำนองนั้น”

“ทำไมนายต้องคิดว่าชั้นกำลังพยายามที่จะหลอกนายด้วย ชั้นสนใจงานอดิเรกของนายจริงๆนะคะ!”

“เธอจะไม่หลอกผมหรืออะไรใช่มั้ย? หรือเธออาจจะไปลงบนโซเชียลแล้วก็ล้อผมบนนั้นกัน? ทำให้มันกลายเป็นไวรัลหรืออะไรทำนองนั้น?”

“อ้าาา โม่ว ทำไมถึงคิดในแง่ลบขนาดนั้นกันเนี่ย?!”

 

ในตอนแรกเสียงของเธอดูเขินๆ แต่ในระหว่างที่พวกเราเถียงกัน เสียงของเธอก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆและชัดขึ้นเรื่อยๆ

จนในที่สุด เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“…แต่ว่านะ ชั้นชอบน้องสาวคนที่สี่ล่ะ เธอดูสดใสในภายนอกมากเลย แต่เธอก็มีด้านที่มืดมนซ่อนอยู่ข้างใน นั่นมันทำให้เธอดูโมเอะขึ้น นายว่ามั้ย?”

“…!? น้องสาว…คนที่สี่เหรอ..?”

พอได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมาแล้ว ผมไม่คิดว่าจะมีโอตาคุคนไหนไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดเกี่ยวกับอะไร

 

“อะ-เอ่อ วาตานาเอะซัง… เธอกำลังพูดเกี่ยวกับ [คู่หมั้นของผมเป็นแฝด5] รึเปล่า?!”

TL note: คนแต่งหมายถึงเจ้าสาวผมเป็นแฝดห้านั่นแหละ แต่ใส่มาว่าคู่หมั้นแทน

 

“นั่นแหละค่ะ….”

“ผมชอบน้องสาวคนที่ 3 น่ะ! หูฟังของเธอมันโมเอะมากเลย!”

ในระหว่างที่วาตานาเอะซังกำลังทำหน้ามุ่ย ผมก็ได้ตะโกนเกี่ยวกับheroineคนโปรดของผมแทรกออกไป

“หุหุ… ทำไมนายถึงชอบอะไรที่มันเฉพาะตัวแบบนั้นกันเนี่ย”

“ก็ ไม่ใช่ว่าสาวๆที่ใส่หูฟังมันโมเอะมากๆเลยเหรอ? การที่ปกปิดหูแม้ว่าเวลาปกติมันจะเปิดโล่งอยู่ตลอดเวลา มันไม่ได้ทำให้รู้สึกใ จ เ ก เ ร บ้างเหรอ?”

“งั้นนน นายชอบให้เปิดน้อยๆสินะ?”

“เอ่อ… มันก็แล้วแต่สถานการณ์น่ะ บางทีผมก็ชอบตัวละครที่โชว์เยอะๆเหมือนกัน…”

“เอ๋… ไม่ใช่ว่านั่นมันต่างกับที่นายพูดไว้ก่อนหน้านี้เหรอ?”

“ละ-แล้ว วาตานาเอะซัง เธอมีอะไรที่ชอบแบบเฉพาะตัวบ้างมั้ย?”

“เอ๊ะ? จริงๆแล้วชั้นก็ไม่ได้…”

“อ่า นั่นมันเป็นสิ่งที่คนมักจะพูดเวลาที่พวกเค้ามีเลยนะ ถึงหน้าตาเธอจะดูบริสุทธิ์ก็เถอะ วาตานาเอะซัง บางทีเธออาจจะมีรสนิยมอะไรทีผมคาดไม่ถึงรึเปล่า..?”

“นะ-นายกำลังจินตนาการอะไรอยู่กัน?! รสนิยมชั้นมันบริสุทธิ์ดีต่อใจมากเลยนะคะ!”

“งั้นทำไมเธอถึงไม่บอกผมล่ะ?”

“อือ… มันออกจะอธิบายยากน่ะ ปกติแล้วเวลาใส่เสื้อ นายจะต้องเหลือกระดุมเม็ดบนสุดไว้ใช่มั้ยล่ะ? ไม่งั้นมันจะรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ”

“ก็จริง นอกจากซะว่าผมจะใส่ไท ปกติผมก็จะปล่อยมันไว้ตลอด”

“ใช่มั้ยล่ะ! แล้วถ้ากระดุมทุกเม็ดโดนติดถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใส่ไทล่ะ? นายคิดว่าไง?”

“…ผมคิดว่ายังไงเหรอ…?”

“คือ ไม่ใช่ว่ามันโมเอะหรอกเหรอ? การที่ซ่อนไหปลาร้ากับคอถึงแม้ว่าเวลาปกติมันจะเปิดโล่งอยู่ตลอดเวลาน่ะ มันไม่ได้ทำให้รู้สึกใ จ เ ก เ ร บ้างหรอ?!”

“ โห เธอนี่ชอบอะไรที่มันเฉพาะตัวมากเลย”

“เอ๋?! ไม่ใช่ว่ารสนิยมชอบหูฟังมันแปลกกว่าเหรอ?”

“ไม่ล่ะ ชอบติดกระดุมมันแปลกกว่าเยอะ”

“โม่ว….”

 

***

 

พวกเราได้พูดคุยกันต่ออีกเป็นเวลาเกือบชั่วโมง

ผมรู้สึกว่าคอของผมเริ่มที่จะแห้ง ผมจึงได้ทำชาเพิ่มแล้วก็ดื่มมันหมดไปภายในอึกเดียว

 

“โอ้โห วิธีที่นายกินชานี่มันสุดยอดไปเลยนะ”

“ไม่หรอก มันก็แค่เพราะว่าผมไม่ได้พูดเยอะๆแบบนี้มานานแล้ว”

 

ตามปกติแล้ว ผมมักจะพูดกับตัวเองที่บ้าน ส่วนที่โรงเรียน ผมมักจะพยายามทำให้การสนทนามันสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

ยกเว้นกับมาสะล่ะนะ ที่โรงเรียนเจ้านั่นพูดกับผมไม่หยุดเลย

 

“นี่มันอาจจะเป็นครั้งแรกเลยที่ผมสามารถคุยกับใครได้อย่างง่ายๆน่ะ”

วาตานาเอะซังก็ได้ยิ้มออกมาอย่างเขินๆในระหว่างที่เธอกำลังรวบผมทรงโพนี่เทลของเธอ

ท่าทีที่ดูไร้การระวังตัวของเธอมันทำให้หัวใจของผมหยุดเต้นเลยล่ะ

 

“อ้อจริงด้วย ชั้นอยากจะเห็นว่าห้องของนายเป็นยังไงจังค่ะซาคาตะคุง ชั้นอยากจะเห็นว่านายมีมังงะประเภทไหนน่ะ”

“ไม่มีทาง”

 

ผมรีบเอามือขึ้นมาทำเป็นรูปตัว X ทันที

การไปที่ห้องของผมมันจะต้องเป็นความคิดที่แย่แน่ๆ

ถึงแม้ว่าผมจะสนุกที่ได้พูดคุยกับเธอเกี่ยวกับงานอดิเรกของพวกเราก็เถอะ… แต่ไม่มีทางเลยที่ผมจะพาเธอไปที่ห้องผมได้

 

“เอ๋?! ทำไมล่ะคะ”

“มันไม่ใช่อะไรที่ผมจะให้คนอื่นดูได้น่ะสิครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชั้นก็เป็นโอตาคุเหมือนกัน ชั้นเข้าใจว่าเด็กผู้ชายสนใจเกี่ยวกับ…อะไรแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ชั้นจะพยายามไม่มองมันมากเกินไปแล้วกันนะ พวกเราทั้งคู่จะได้ไม่รู้สึกอึดอัด”

“เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?! ผมจะขอบอกแบบนี้เผื่อเธอเข้าใจผิดเลยแล้วกัน แต่ผมไม่ได้พูดเกี่ยวกับของ R-18 นะครับ!”

“เอ๊ะ จริงเหรอ?”

 

เธอคิดว่าผมมีห้องแบบไหนกันละเนี่ย?

 

“มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นหรอกครับ… คือ จริงๆมันเป็นเพราะว่าวาตานาเอะซังคือยูนะจังน่ะ”

“ชั้นคือยูกะต่างหาก”

“รู้แล้วน่า! ผมก็แค่จะบอกว่าจริงๆแล้วเธอคืออิซูมิ ยูนะจังไง”

 

ผมพยายามทำใจร่มๆแล้วก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน

ใช่แล้ว วาตานาเอะ ยูกะซัง คืออิซูมิ ยูนะจัง

แล้วอิซูมิ ยูนะจัง ก็เป็นนักพากย์ให้กับยูนะจังจาก Alice Stage

 

“คือ มันก็จริงที่ชั้นคืออิซูมิ ยูนะ นักพากย์ของยูนะจังแหละ ชั้นมั่นใจดีว่าชั้นรู้เกี่ยวกับยูนะจังมากกว่าใครในโลกนี้เลย แต่มันเกี่ยวอะไรกับการที่จะไม่ให้ชั้นดูห้องนายเหรอ..?”

“…มากกว่า…ใครในโลกนี้เลยเหรอ..?”

 

ไม่รู้ทำไม แต่คำพูดของวาตานาเอะซังมันทำให้ผมรู้สึกขัดใจจริงๆ

 

“แต่ผมว่าผมรู้เกี่ยวกับยูนะจังมากกว่าเธอนะ”

“เอ๊ะ นายแน่ใจเหรอ? คือนายก็รู้ใช่มั้ยว่าชั้นคือยูนะจังอะ? ชั้นรู้จักยูนะจังมากกว่าใคร แล้วก็รักยูนะจังมากกว่าใครในโลกนี้เลย”

“อย่ามาประเมินความรักที่ผมมีให้กับยูนะจังต่ำไปนะ”

ผมรู้ตัวว่าอยู่ดีๆผมก็ทำตัวดื้อดึงแปลกๆกับอะไรแบบนี้

 

แต่นี่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมจะไม่มีวันยอมแพ้

 

คุณทำร้ายพวกเค้าไม่ได้ แล้วพวกเค้าก็ทำร้ายคุณไม่ได้

มันเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจที่จะรักแต่สาว 2d เท่านั้น และจากในบรรดาสาว 2dทั้งหมด ยูนะจังก็เป็นคนที่สำคัญกับผมมากๆ

“ถ้าจะพูดแบบนั้นงั้นก็ได้ เดี๋ยวผมจะให้เธอดูห้องของผมเลย ผมจะยอมอุทิศทุกอย่างเพื่อยูนะจัง!”

 

***

 

ไม่กี่นาทีถัดมา

ผมได้เตรียมใจแล้วก็เปิดประตูไปที่ห้อง

 

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า นั่นจึงทำให้แสงแดดสีแสดที่อบอุ่นของมันถูกส่องผ่านมาทางผ้าม่านของผม

ผมสามารถได้ยินเสียงของเหล่าอีกาที่อยู่ในระยะที่ห่างออกไปได้

ในท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบยามเย็นนั้น วาตานาเอะซังก็ได้ก้าวเข้ามาในห้องของผม

 

ห้องของผมแน่นไปด้วยสินค้าของยูนะจังเต็มไปหมด

 

ผมสามารถบอกได้เลยว่าวาตานาเอะซังที่อยู่ข้างๆผม รู้สึกตกใจกับการที่ได้เห็นห้องของผมมาก

 

“น่าเหลือเชื่อเลย… ทั้งเข็มกลัด ทั้งพวงกุญแจ..แล้วก็ยังมีฟิกเกอร์ด้วย?”

“โอ๊ะ! อันนี้มันมาจากวิทยุออนไลน์นี่คะ”

“ใช่แล้ว ผ้าเช็ดมือจาก Alice stage น่ะครับ! ผมซื้อมา5อันเลย”

 

“หืม? โปสเตอร์นี่มัน…”

“…ชะ-ใช่แล้ว”

“นี่เป็นโปสเตอร์ที่ถูกขายสำหรับตัวละครที่ได้ผลโหวตอยู่ในอันดับ Top 11สินะคะ!”

“เป็นโปสเตอร์ที่ดีเลยใช่มั้ยล่ะ?”

 

“อือ… แต่ว่ายูนะยังดังไม่พอ ก็เลยยังไม่มีโปสเตอร์แบบนี้เลยน่ะสิ”

“ผมรู้ แต่ผมก็ชอบเธอที่เป็นแบบนั้นนะ!”

“แต่… ทำไมยูนะถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?”

“…กะ-ก็จริง”

สิ่งที่เธอพูดมามันจริง ผมจึงทำได้แค่ผงกหัวกลับไป

 

“สำหรับผม ยูนะจังคือคนเดียวที่ผมชอบเท่านั้น ผมก็เลยปริ๊นรูปที่ผมเจอในเน็ตออกมา แล้วพยายามทำให้มันออกมาดูดีมากเท่าที่จะทำได้น่ะ….”

“มันถูกทำออกมาได้ดีจริงๆ เธอดูกลมกลืนมากซะจนชั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นการตัดต่อเลย… ทำเอาตกใจเลยล่ะ”

 

ใช่ ผมรู้ดีว่าคนปกติคงจะไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก

แต่ผมก็ไม่เสียใจนะ เพราะผมทำมันไปเพื่อยูนะ

 

หลังจากที่มองมาทางผม วาตานาเอะซังก็ได้ถอนหายใจออกมา

จากนั้น…

 

“ยูนะจังจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอเองน้า~ เพราะงั้นทำไมเราไม่มายิ้มไปด้วยกันล่ะ~”

“…เอ๋?!”

 

ผมได้มองไปที่วาตานาเอะซังในขณะที่ร่างกายของผมกำลังสั่นระรัว

 

“มะ-เมื่อกี้นี้มัน! ผมเพิ่งได้ยินเสียงของยูนะจังไปใช่มั้ย?!”

“ไม่ใช่ว่าชั้นบอกนายไปแล้วเหรอว่าชั้นเป็นนักพากย์ของเธอน่ะ”

 

วาตานาเอะซังได้ขยับแว่นของเธอขึ้นพร้อมกับดูภูมิใจเล็กน้อยในระหว่างที่เธอพูดออกมา

 

“มันเป็นบทที่ดีเลยใช่มั้ยล่ะ? มันเป็นบทพูดแรกของยูนะ และมันก็เป็นบทพูดที่ชั้นชอบที่สุดเลยค่ะ”

“…ผมก็เหมือนกัน ผมชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับยูนะจัง แล้วผมก็ชอบบทพูดนั่นมากๆด้วย ไม่ว่าสถานการณ์จะแย่แค่ไหนหรือผมจะรู้สึกเศร้าขนาดไหน… เธอก็จะคอยให้ความกล้ากับผมเพื่อสู้ต่อไปอยู่ตลอดเลย”

 

ในวันนั้น ตอนที่ผมเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ผมรู้สึกเศร้ามากๆ

แต่คำพูดของเธอมันทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมา สำหรับผมแล้ว คำพูดของเธอมันเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ

พอเห็นผมเป็นแบบนั้น วาตานาเอะซังก็ได้หัวเราะคิกคักออกมา

 

“เพราะว่านายบอกว่านายเป็นแฟนคลับ ชั้นก็เลยให้แฟนเซอร์วิสนิดหน่อยน่ะค่ะ แต่ชั้นจะต้องกลับบ้านแล้วล่ะ งั้น….”

สีหน้าของวาตานาเอะซังก็เริ่มที่จะดูมืดมนลงทีละน้อยทีละน้อย

พอผมเห็นหน้าของเธอแล้ว ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเธอน่าจะกำลังรู้สึกอะไรอยู่

 

“เธอคิดถูกแล้วแหละ ลองคิดดูสิ… แต่งงานแบบคลุมถุงชนในศตวรรษที่ 21 เนี่ยนะ”

“ใช่ แต่ว่าชั้นสนุกที่ได้คุยกับนายนะ ซาคาตะคุง”

“ผมก็สนุกที่ได้คุยกับเธอเหมือนกัน… แต่เรื่องแต่งงานมันออกจะ…”

 

แน่นอนว่าเธอเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับยูนะจังมากที่สุด แต่ว่า…

สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ใช่ยูนะจัง แต่เธอคือวาตานาเอะ ยูกะ

 

นักพากย์ไม่ใช่ตัวละคร 2D…. พวกเธอเป็นคน 3D

 

เพราะว่าพ่อแม่ของผมหย่าร้างกัน ผมก็เลยไม่สามารถที่จะจินนาการได้เลยว่าผมจะแต่งงานกับใครได้

และเพราะเหตุการณ์ที่น่าเจ็บปวดในอดีตของผม มันก็ทำให้ผมกลัวที่จะต้องตกหลุมรักกับคน 3D ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่มีแนวทางหรือคู่มือคอยช่วย

มันเป็นไปไม่ได้สำหรับผมเลยที่จะแต่งงานกับเธอ

 

วาตานาเอะซังเป็นคนที่ดีมากๆ ผมรับรู้ได้จากการที่พวกเราได้คุยกัน

มันก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงอยากให้เธอหาคนที่ดีกว่านี้ เธอจะได้มีความสุข…

 

“ก่อนที่เธอจะไป ขอขอบคุณที่ให้กำเนิดยูนะจังมานะ เธอช่วยชีวิตผมเอาไว้จริงๆ”

“นายไม่พูดเกินไปหน่อยเหรอ…?”

“มันไม่ได้เกินความจริงหรอก ผมน่ะรักยูนะจังไปทั้งหัวใจเลย ผมดูรูปของเธอหลายรอบมากๆเพื่อเป็นกำลังใจในทุกๆวัน แล้วผมก็ส่งจดหมายแฟนไปไม่รู้กี่ฉบับแล้วด้วย”

 

ในระหว่างที่ผมกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ผมก็ได้ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัด

เพราะยังไงซะ การที่เธอเป็นนักพากย์ เธอก็คงจะรู้สึกขยะแขยงแล้วก็รู้สึกกลัวแน่ๆ

 

นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมกลัวที่จะต้องคุยกับผู้หญิง เพราะผมอาจจะเผลอพูดอะไรที่อาจจะทำร้ายจิตใจพวกเธอออกไปก็ได้

 

“…จดหมายแฟนพวกนั้นมันทำให้ชั้นมีความสุขมากเลยนะ นายรู้มั้ย?”

 

แต่กลับกันกับสิ่งที่ผมกลัว สายตาของวาตานาเอะซังดูกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง เธอได้ยื่นมือไปในกระเป๋า แล้วก็หยิบซองจดหมายสีชมพูที่ผมได้ช่วยเธอเก็บไว้ออกมา

จากนั้นเธอก็ได้มองลงไปที่ซองจดหมาย แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดูเขินอาย

 

“จดหมายนี้ที่นายช่วยชั้นเก็บไว้ก่อนหน้าน่ะ… มันมาจากแฟนตัวยงที่สุดของยูนะเลย มันเป็นจดหมายที่สำคัญสำหรับชั้นมาก คนๆนี้ส่งจดหมายมาหาชั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องขอขอบคุณเลย เพราะมันมักจะทำให้ชั้นยิ้มออกมาได้ตลอด”

“งั้นเหรอ… นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เธอพยายามอย่างมากมาตลอดสินะ…”

 

ในตอนนี้ อินเตอร์เน็ตเป็นที่นิยมอย่างมาก

ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลยส่งกันแค่ทางอีเมล และคนที่ยังเขียนจดหมายอยู่ก็คงจะเป็นพวกชอบอะไรเก่าๆ

 

ผมไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นใครหรอก แต่ผมรู้สึกว่าผมคงจะเข้ากับเค้าได้ดีเลย

 

“แล้ว ซาคาตะคุง นายใช้นามปากกาอะไรเหรอ?”

วาตานาเอะซังได้ถามผมด้วยดวงตาที่ดูเป็นประกาย

“ถ้านายส่งแฟนเมลมา นายก็คงจะใช้อีเมลใช่มั้ย? ถึงคนจะส่งแฟนเมลมาเยอะ แต่ชั้นก็จำชื่อของทุกคนได้นะคะ เพราะว่าแฟนๆทุกคนของชั้นสำคัญแล้วก็มีค่ามากเลย!”

“อะ…มะ-ไม่หรอก ผมไม่ได้ใช้อีเมล…”

 

พอเจอความตื่นเต้นของวาตานาเอะซังมากๆเข้า ผมก็ได้บอกนามปากกาของผมไปด้วยความประหม่า

 

“นามปากกาของผมคือ [ยมทูตคลั่งรัก] น่ะ ผมรู้สึกว่าอีเมลมันส่งความรู้สึกของผมไปไม่ได้ ผมก็เลยส่งจดหมายไปตลอดเลย…”

“[ยมทูตคลั่งรัก] เหรอ?!”

 

ดวงตากลมๆของวาตานาเอะซังก็ได้แผ่ขยายขึ้นมากกว่าเดิม

ในตอนนั้นเอง ซองจดหมายที่อยู่ในมือของเธอก็ได้ปลิวหล่นตกไปที่พื้น

และบนซองจดหมายนั้น ผมก็สามารถที่จะเห็นชื่อของผู้ส่งได้อย่างชัดเจน

 

[ยมทูตคลั่งรัก]

 

นั่นมัน…. ชื่อผมชัดๆ

 

แปลผิดหรือยังไงก็ขอโทษด้วยนะครัช ถ้าชอบก็ฝากกดไลก์เพจเป็นกำลังใจด้วยเด้อ เพจจะอัพทีละครึ่งพาร์ทเลยจะเร็วกว่าในnekopostนิดนึง เป็นเพจพูดคุย ln manga anime ครับ

facebook.com/Onlyhiratrans

[นิยายแปล] Ore no iinazuke ni natta jimiko, ie de wa kawaii shika nai

[นิยายแปล] Ore no iinazuke ni natta jimiko, ie de wa kawaii shika nai

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset