ตำนานเทพยุทธ์ 87

ตอนที่ 87

หลังจากที่เป่าฮู่ได้ลงมือดูดซับพลังจากก้อนหยกสวรรค์ จนร่างกายได้รับผลกระทบจากพลังที่มากมายเหล่านั้น เส้นเลือดที่ปูดบวม เนื่องจากการขยายตัวมากกว่าเดิมหลายเท่า และพลังที่หมุนเวียนในร่างกายถูกชักนำเข้าไปในตันถียน

เป่าฮู่ได้รับคำแนะนำของเต้าอักขระโดยการชักนำพลังลมปราณเหล่านั้น เพื่อกระแทกผนังของตันเถียนให้กว้างใหญ่ขึ้น จนตอนนี้ทะเลลมปราณของเป่าฮู่มีใน มุกเยือกแข็งและมุกพิษลอยเด่นอยู่ดั่งทั้งสองคือ ดวงดาวที่สวยงามในโลกแห่งตันเถียน

ขณะที่เป่าฮู่หลับตาทำสมาธิในการชักนำพลังเหล่านั้น ประตูโบราณขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล หญิงสาวนางหนึ่งที่งดงามดั่งเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ ได้ก้าวออกมาด้วยผิวพรรณที่ผุดผ่อง ความงามดั่งเทพีแห่งเปลวเพลิงที่ร้อนแรง

หย่วยซิวหยูได้มีความภาคภูมิใจที่นางได้พบโชคชะตาที่เหนือล้ำด้านในประตูบานนั้นและที่นางตั้งใจมากกว่าสิ่งอื่นใดก็คือหากรอดออกมานาจะเล่าให้เป่าฮู่นายท่านของนางได้ฟัง

วันเวลาที่ไหลผ่าน ระยะเวลาก็กระชั้นชิดมาจดเหลืออีก 10 วันก็จะถึงวันประลองยุทธ์ เป่าฮู่จมลงไปในสมาธิที่เงียบสงบใช้ความรู้สึกชักนำลมปราณเหล่านั้น และโคจรมันตามเคล็ดลมปราณเทพเต่าดำ จนความรู้ความเข้าใจในเคล็ดลมปราณเทพเต่าดำกระจ่างแก่ใจจนถึงที่สุดของขอเขตลมปราณเทพนี้จะมีได้

ภายใต้การทำความเข้าใจทักษะลมปราณเทพเต่าดำนั้น ลมปราณที่มีส่วนประกอบของทักษะมากว่า 1 ส่วน ไม่ว่าจะเป็นรากฐานลมปราณในตำราเล่มแรกและส่วนที่สองคือเคล็ดเก้าหยินโคจร ทั้งสองมารวมกันทำให้ผู้ฝึกสามารถยกระดับของลมปราณในร่างได้อย่างน่ากลัว

แต่สำหรับเป่าฮู่นั้นต่างออกไป ในตัวเป่าฮู่มีมุกพิษและมุกเยือกแข็งหนุนนำทำให้ลมปราณนั้นมีพลังธาตุแสดงออกมาอย่างชัดเจน ลมปราณที่หนาวเหน็บไอเย็นรอบตัวที่แผ่กลิ่นอายแห่งพิษร้ายคละคลุ้งแดนลอยฟ้า

เมื่อหงส์เพลิงเทวะได้เห็นมนุษย์คนอื่นนอกบานประตูบานยักษ์ มันเองคิดสังหารให้สิ้นซาก แต่กลับถูกผู้เป็นนายกล่าวห้ามไว้ เพราะนางนั้นรักใคร่ชื่นชมในตัวของชายหนุ่มผู้นี้

แต่ขณะที่เป่าฮู่จองจมลงไปในห้วงสามัญสำนึกของลมปราณเทพ ก็ได้พบกับบางเหตุการณ์ที่หนึ่งในตัวตนที่ยิ่งใหญ่เทพตัวดำได้ฝากเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณในเคล็ดวิชาลมปราณนี้

แสงที่สว่างเจิดจ้าในโลกตันเถียนคือ เศษเสี้ยวดวงวิญญาณของเทพเต่าดำที่พลันปราฏตัวขึ้นมา ทำให้เต่าอักขระที่กำลังดูดซับพลังจากโลกตันเถียนของเป่าฮู่ต้องหยุดชะงักและนำพาจิตวิญญาณของเป่าฮู่เข้ามาพบกับตัวตนที่ยิ่งใหญ่แห่งแดนเหนือ

ณ โลกแห่งลมปราณ

เพียงม่านพลังที่ขวางกั้นจิตวิญญาณของเป่าฮู่สลายไป เป่าฮู่ได้เห็นเต่าอักขระที่งดงามได้ยืนรอเป่าฮู่อย่างมีความสุข

“มาแล้วหรือเจ้าหนุ่ม? ทิ้งให้ข้ารอตั้งนาน”

คำกล่าวของเต่าอักขระที่กล่าวต่อจิตวิญญาณของเป่าฮู่ก่อนที่ทั้งสองจะหันหน้าไปที่ก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ และเป่าฮู่ก็ถามเต่าอักขระออกไปถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ติดตามมาทำให้เป่าฮู่ไม่อาจเชื่อตนเองได้ลง

“มากันแล้วหรือ…ผู้มีชะตาร่วมกันกับเรา เทพเต่าดำตนนี้?”

คำกล่าวที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยพลังที่ยิงใหญ่อยู่หลังเส้นเสียงเหล่านั้น เป่าฮู่ได้หังก็หันไปมองหน้าเต่าอักขระที่กำลังยิ้มอย่างภูมิใจและมองไปยังก้อนหินพูดได้นั่นไม่วางตา

“ท่านมองสิ่งใด เทพเต่าบ้า?”

เพียงเต่าอักขระได้ฟัง มันหาได้สนใจสายตายังจับจ้องไปยังเทพเต่าดำผู้เป็นบรรพชนของมันด้านหน้าอย่างไม่วางตา

“มากันแล้วหรือ…ผู้มีชะตาร่วมกันกับเรา เทพเต่าดำ?”

เสียงเดิมถ้อยวาจาเดิมทำให้เป่าฮู่ชักไม่มั่นใจและพยายามมองไปยังสิ่งที่คิดว่าเป็นก้อนหินใหญ่สีดำเบื้องหน้า แต่แล้วสิ่งทีทำห้ให้หัวใจอยากจะหยุดเต้นกับเป็นภาพของเทพเต่าดำในตำนานเสวียนอู่

“เทพเสวียนอู่?”

เป่าฮู่กล่าวออกไปดวงตาสีแดงของเทพดต่าดำก็เปิดขึ้น และสิ่งที่ทำให้เทพเต่าดำได้เห็นในผู้มาเยือนในสถานที่แห่งนี้

“ไม่ใช่เจ้า….เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก ดวงชะตาของเจ้าไม่ใช่คนที่จะครอบครองพลังแห่งเรา”

คำกล่าวนั้นทำเอาใบหน้าของเป่าฮู่ที่เคยภาคภูมิใจ ในสิ่งที่ตนเองทุ่มเทฝึกฝนมานานปีต้องพังทลาย คำว่าไม่ใช่ คำนี้อีกแล้ว แล้วอะไรคือสิ่งที่ใช่ ตัวเป่าฮู่ไม่ได้เกิดมาใต้ดวงชะตาที่ใช่ แต่มันเป็นความผิดหรือที่ไม่ใช่ตน

แววตาเศร้าหมองที่ฉายออกมาแม้เพียงชั่วพริบตา แต่ก็เรียกได้ว่าชัดเจนนัก ขณะที่เทพเต่าดำเสวียนอู่ได้เห็นท่าทีเสร้าสลดของมนุษย์ที่มีวาสนาโผล่เข้ามาเป็นคนแรกในรอบ 10000 ปี และสิ่งที่ได้เห็นก็ไม่อาจทำให้เทพเต่าดำทนรออีกต่อไปแล้ว วันนี้สวรรค์ส่งเจ้ามนุษย์คนนี้ให้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้และพบกับตน สัตว์เทพผู้เฝ้าทวารประตูของดินแดนเทพ

“ข้าไม่อาจรอได้อีก มันนานมากพอแล้ว ทายาทของเจ้าสัตว์เทพตนอื่น ได้กำเนิดและเติบโตมานานแล้ว ข้าเองก็จำต้องสำแดงอานุภาพของข้าไว้ เพื่อนามของข้าจะสะท้อนไปไกลเกินกว่าที่จะดับหายไป เจ้าหนู!”

เสียงเรียกสุดท้ายที่เน้นย้ำถึงความตั้งใจมั่นของเป่าฮู่ที่มีต่อเส้นทางของผู้พิทักษ์ประตูแห่งแดนเทพนี้

“เจ้าพร้อมรับการทดสอบจากเราเทพเต่าดำหรือไม่?”

เมื่อชายที่เคยท้อแท้กับโชคชะตาได้เงยหน้าขึ้นมา และขานรับการทดสอบจากเทพเต่าดำ ภาพตรงหน้าของเป่าฮู่พลันเลือนหายไปเป็นสีขาวโพลน ใต้กาพที่เคลื่อนไหวช่างเป็นบททดสอบที่ไม่เหมือนกับบททดสอบ

ด้วยภาพที่เห็นคือชายชราผู้หนึ่งกำลังมอบหน้าที่หนึ่งอย่างให้เป่าฮู่ คือการเฝ้าประตูบานใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังหากประตูบานนี้เปิดคนนับแสนนับล้านชีวิตจะตกตายไป เป่าฮู่ได้เห็นชายชรากำลังกล่าวบางอย่างเป่าฮู่ก็ขานรับเพราะสิ่งที่ได้เห็นไม่ได้หนักหนาอะไร

“พ่อหนุ่มจากนี้จงดูแลประตูบานนี้ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด ก็ห้ามออกจากเขตแดนนี้ไป มิเช่นนั้นผู้คนจากโลกเบื้องล่างจะล้มตายไปนับแสนนับล้านชีวิต”

เพียงกล่าวเสร็จ ภาพของโลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่เต็มไปหมด  หากเจ้าทำหน้าที่ของเจ้าได้สำเร็จก็เท่ากับเจ้าช่วยคนไว้ได้มาก

แต่ในขณะที่ชายชราขอตัวไปทำธุระก็ได้บอกชายหนุ่มว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดให้รอจนกว่าชายชราจะกลับมา เพียงไม่นานที่ชายชราหายตัวไป ภาพที่เป่าฮู่ได้เห็นคือเหตุการณ์ของตระกูลเป่าถูกเข่นฆ่า การตกตายของคนจำนวนมาก รวมถึงภาพที่เป่าฮู่ไม่เคยลืมครอบครัวของเป่าฮู่ที่กำลังตำที่นั่งลำบาก

ด้วยการถูกชายผู้หนึ่งลงมือปลิดชีวิตอย่างเลือดเย็น ” ท่านแม่!!!” เมื่อความตั้งใจของเป่าฮู่ที่มีเสมอมาคือหากตนมีพลังมากพอตนจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ในตอนนั้น

เป่าฮู่ได้เห็นภาพที่ทำให้เจ็บช้ำและจู่ๆก็มีเสียงที่ลึกลับกล่าวออกมา ถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น หากตนเลือกที่จะเดินจากไปที่ประตูบานนั้นก็สามาถย้อนกลับไปแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างได้ นั่นทำให้เป่าฮู่ถึงกับชะงัก และก้าวเดินไปยังหน้าประตูบานนั้น จนเมื่อใจหนึ่งของเป่าฮู่ได้กล่าวบอกตนเองว่า นั่นเพียงเรื่องราวในอดีต ปัจจุบันคือหน้าที่ที่ได้รับแม้จะมีโอกาสย้อนกลับไปได้แต่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะทำหน้าที่เฝ้าประตูต่อไป และหลั่น้ำตาแห่งความเศร้าหมองออกมาทดแทน สายตามองจนภาพเหล่านั้นหายลับตาไป

จนในที่สุดภาพทุกอย่างได้เลือนหาย ทิ้งไว้เพียงเต่ายักษ์สีดำที่ยืนชื่นชมเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่นั่นเอง ด้วยความเด็ดเดี่ยวและมีจิตใจที่มั่นคงไม่สนใจสิ่งอื่นใดมายั่วเย้า ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะนำพาตัวตนของชายหนุ่มก้าวไปจัดการทุกสิ่งที่เลวร้ายได้

“นับเป็นคนหนุ่มที่มีจิตใจที่มั่นคงหนักแน่น จากนี้จงรับพลังของข้าเทพเต่าดำไปครอบครองและเจ้าคือคนที่ข้า เทพเต่าดำเลือกแล้ว แม้ไม่ได้เกิดบนชะตาขอผู้พิทักษ์ก็ตาม”

เส้นแสงสีดำเข้มพุ่งเข้าไปที่กลางหน้าผากของเป่าฮู่ ก่อนที่เต่าอักขระที่บัดนี้ได้กระโดดไปกลืนกินโลหิตของเทพเต่าดำ เพื่อหลอมรวมกับดวงจิตในตัวของผู้เป็นนาย

การที่เต่าอักขระได้กระทำเช่นนั้น เพราะครั้งหนึ่งเต่าอักขระได้ไปเยือนยังสุสานเทพเต่าดำใต้ทะเลลึกมาแล้วและรู้ว่าหากตนได้ดูดซับพลังจากโลหิตบริสุทธิ์ เต่าอักขระก็สามารถยกระดับของตนเองขึ้นมาแทนที่เทพเต่าดำที่เป็นบรรพชนของตนได้

เพียงวงแหวนสีส้มระดับจักรพรรดิกลับกลายเปลี่ยนเป็นสีดำตัว ตัวของเต่าอักขระที่ได้ดูดซับโลหิตสัตว์เทพจนพลังที่พรั่งพรูจากหยดเลือดเพียงหยดเดียวนั้นทำให้เต่าอักขระพัฒนาตนเองอย่างน่าอัศจรรย์

เมื่อผู้เป็นนายได้รับดวงจิตของสัตว์เทพมาครองและส่งผ่านไปแก่อสูรในพันธะสัญญาที่เป็นทายาทสายตรงนั้นจะทำให้การพัฒนาการของสัตว์ในพันธะสัญญาก้าวหน้าไปมากที่สุด

แต่ในขณะเดียวกันการเผาผลาญพลังลมปราณที่สั่งสมมา เพื่อทดแทนในการเร่งเร้านั้น ทำให้การยกระดับผู้เป็นนายต้องแบกรับภาระไปมากมายนัก

“เจ้าหนูระวัง ร่างกายข้ากำลังวิวัฒนาการอีกครั้ง พลังลมปราณ เจ้าต้องรีบแล้วรีบโคจรพลังลมปราณไว้ ไม่เช่นนั้นเจ้า เจ้าจะสูญเสียลมปราณไปทั้งหมด จนกว่าข้าจะวิวัฒนาการจนเสร็จ”

การกระทำดังกล่าวทำเอาใบหน้าของเป่าฮู่ชาด้านไปเลยทีเดียว ขณะที่ด้านนอกหย่วนซิวหยูรอเป่าฮู่มา สองวันแล้วทำให้นางนั่งปรับสภาพลมปราณของตัวจนคงที่ นายท่านของนางก็ยังไม่ตื่นตัว

แต่เพียงไม่นาน นางก็ได้เห็นท่าทีของวิหคอมตะ หงส์เพลิงเทวะของนางชูขนที่แผงหลังขึ้นมาอย่างน่ากลัว

“จูเชวี่ย…เจ้า! เจ้า! เป็นอะไร มีอะไรกำลังมาหรือ?”

นางถามอสูรในพันธะของนางที่มีชื่อว่าจูเชวี่ย พร้อมสายตาที่จับจ้องไปยังร่างของนายท่านของนาง ไม่นานสิ่งที่นางได้เห็นก็ทำให้เองต้องหวาดกลัว เพราะด้านหลังของเป่าฮู่ปรากฏวงแหวนสีดำมันคือวงแหวนที่ไม่มีในบันทึกตำราใดๆมาก่อน แต่วงแหวนสีทอง คือระดับลมปราณเทพนั่นเอง

ร่างกายเป่าฮู่ที่ถูกดึงเอาพลังลมปราณจากมุกทั้งสองเม็ดออกไปจนหมด และลมปราณในตันเถียน

อีกมาก กว่า 7 ส่วน ทำให้สีหน้าของเป่าฮู่ได้แสดงออกมาถึงความอ่อนล้า เหงื่อที่หลั่งออกมาอาบท่วมร่างกาย แต่หลังจากที่ได้ฟื้นคืนลมปราณมาก็ทำให้ชายหนุ่มมองแปลกใจว่าระดับยุทธ์ของตนก้าวผ่านประตูบานใหญ่ที่เรียกจักรพรรดิลมปราณมาแล้ว หากแต่ ต้องมาตกอยู่ในระดับใดกันอีก เพราะในบันทึกของนิกายเสวียนอู่บอกไว้ไม่ชัดเจนนัก

เพียงวิหคอมตะที่เป็นอสูรบรรพกาลระดับจักรพรรดิ ขั้นกลางยังต้องชูขนรอบตัวจนตั้งชัน เพียงได้เห็นเด็กน้อยผู้หนึ่งเดินย่ำออกมาจากวงแหวนเบื้องหลังของชายหนุ่มผู้นั้น

เด็กน้อยที่มีดวงตาดำขลำและเส้นผมสีดำผิวพรรณนาที่ขาวผ่องสว่างไสวนั้น ทำให้หย่วนซิวหยูตกใจ

“เจ้าเป็นใคร เด็กน้อย?” กลิ่นอายที่แผ่ออกมาคือระดับ ที่เหนือกว่าตัวมันมากนัก

เต่าบ้ายอที่ตอนนี้ได้บรรลุระดับเทพลมปราณ จนร่างกายของตนเองนั้นมีพลังมากพอที่จะปรากฎกลายในร่างจำแลงได้ ส่วนเป่าฮู่ที่อ่อนแรงได้ลืมตาขึ้นมาก็กล่าวต่อหย่วนซิวหยูไปว่า

“ซิวหยู! เป็นเจ้าเอง จากนี้คงต้องฝากเจ้าแล้ว พาข้าไปงานประลองที่แดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย”

เพียงเท่านั้นจากความอ่อนล้า ทำให้ซิวหยูพุ่งเข้ามาหาร่างของเป่าฮู่ที่นอนหมดสติไป ซิวหยูนางไม่ได้สนใจเด็กน้อยที่กำลงยืนยิ้มต่อหน้า วิหคอมตะและใช้มือลูบขนที่งดงามของวิหคอมตะเล่นไปมา

ส่วนสัตว์อสูรทั้งสองตัวอันก็คือ เต่าอักขระและหงส์เพลิงจูเชวี่ย ก็ได้มองและสัมผัสถึงตัวตนของแต่ละคนทให้หงส์เพลิงต้องหวาดหวั่นในใจด้วยพลังที่แผ่ออกมาจากร่างเด็กน้อยคนนั้น

“แม่สาวน้อย….จากนี้พี่ชายคนนี้จะดูแลเจ้าและชี้นำเจ้าให้บรรลุถึงงระดับที่ข้าเทพเต่าอักขระผู้นี้ทำได้”

แต่ขณะที่เกรงกลัวด้วยอำนาจลมปราณที่เหนือล้ำกว่า ว่าวิหคอมตะคือตัวตนระดับเดียวกับเทพเต่าดำ แต่เจ้าเด็กคนนี้คือเต่าอักขระที่เป็นลูกหลานที่มีสายเลือดต่างชั้น แม้ได้พบเจอวาสนาที่ดีจนยกระดับตนเองจนกล้าแกร่งถึงระดับสร้างร่างจำแลงได้ ก็ยังไม่อาจทำให้วิหคอมตะยอมรับได้นั่นเอง

“คิดข่มขวัญข้าด้วย รับพลัง ข้าวิหคอมตะจูเชวี่ย ไม่ได้เกรงกลัวเจ้า เจ้าเต่าบ้าหากคิดทำอะไรข้า ข้าจะเผาเจ้าซะ”

เพียงสัตว์อสูรทั้งสองได้พูดจากัน ผู้เป็นนายก็ดูแลกันจนเวลาผ่านไปบนเกาะลอยฟ้าท้องฟ้ายามค่ำคืนทำให้ร่างกายของเป่าฮู่ฟื้นฟูได้ดีมากยิ่งขึ้น และเต่าอักขระในร่างเด็กก็ยิ้มออกมาและไม่ยอมลดละที่จะตามง้องอนวิหคอมตะผู้งดงามตนนั้น

“ซิวหยู!…”

เสียงจากเป่าฮู่หลังจากที่หมดสติไปนานกว่า 2 ชั่วยาม แม้พลังลมปราณจะฟื้นฟูได้ไม่มาก แต่ก็พอที่จะทำให้มีสติพูดคุยกับคนรอบข้างได้

“นายท่านในที่สุดท่านก็ตื่นจนได้”

เพียงเท่านั้นสองนายบ่าวก็พูดคุยกันไปท่ามกลางแสงจากดวงจันทร์เบื้องหน้า และทั้งสองก็ได้รู้ว่าแต่ละคนได้สิ่งใดมา นั่นทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวที่จะก้าวไปเขย่างานประลองในอีก 8 วันข้างหน้าให้ทั่วทั้งยุทธภพต้องกล่าวขานนามของทั้งคู่

Options

not work with dark mode
Reset