ดั่งรักบันดาล 289

ตอนที่ 289

ไม่รู้ว่าทำไม หร่วนซือซือกลับรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ดูอบอุ่นเล็กน้อย เธอกระแอมไออย่างไม่เป็นธรรมชาติสองครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "ค่อยพูดเถอะค่ะ วางแล้วนะคะ"

พูดไป เธอก็รีบวางสายอย่างลุกลี้ลุกลน หัวใจเต้นตึกตัก

นอนแผ่ทั้งคืน เธอรู้สึกเพียงแค่ว่าเจ็บหน้าอกตนเอง อีกทั้งยังพลิกตัวไม่ได้อีก ทำได้เพียงแค่ขยับตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้หน้าอกของตนเองถูกกดทับน้อยลง

ไม่นานนัก มีคนมาเคาะประตู เป็นคุณย่าที่นำคนรับใช้เข้ามา เพื่อส่งอาหารเช้า

คุณย่าสาวเท้าเข้ามา ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกังวลว่า "ซือซือ หนูพักผ่อนเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?"

หร่วนซือซือฝืนยิ้มขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "คุณย่าคะ หนูรู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ"

ต่อให้แผลที่หลังจะเจ็บจนทนไม่ไหวอย่างไร เธอก็ต้องฝืนยิ้มต่อหน้าคุณย่าอยู่ดี

คุณย่าที่เห็นอยู่ในสายตา ก็เจ็บไปทั้งหัวใจ หยิบถ้วยโจ๊กมาจากมือคนรับใช้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า "ซือซือ หนูไม่ต้องขยับแล้ว ย่าป้อนหนูนะ โจ๊กข้าวนี้ย่อยง่าย……"

หร่วนซือซือได้ยินดังนั้น หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที มองเห็นผู้สูงอายุหลายสิบปีกำลังใช้ช้อนป้อนโจ๊กมาที่ริมฝีปากด้านข้างของเธอ ดวงตาทั้งสองข้างจึงเปียกชื้นขึ้น

ตอนนี้เธอก็ไม่นับว่าเป็นคนของตระกูลอวี้แล้ว แต่ทว่าคุณย่ากลับยังคงทำแบบนี้ต่อเธอ เธอประทับใจมากจริงๆ

คุณย่าหยิบชิทชู่ขึ้นมาเช็ดไปมาที่หางตาของเธอ "เด็กโง่ ร้องไห้ทำไมจ๊ะ?"

หร่วนซือซือสูดจมูกไปมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "ขอบคุณค่ะคุณย่า ที่ไม่ได้มองว่าหนูเป็นคนนอกมาโดยตลอด"

คุณย่ายกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "หนูอยู่ในใจของย่า ไม่เคยเป็นคนนอกเลยจ้ะ"

เดิมทีเธอก็ชอบหร่วนซือซืออยู่แล้ว บวกกับเมื่อคืนวานที่เธอกล้าที่จะเข้าไปปกป้องอวี้อี่มั่ว ภายในใจของคุณย่าก็เลือกเธอเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

"เร็วเข้า ทานเสียดีๆ ทานข้าวเสร็จแล้วจะได้ทานยาต่อ แบบนี้ถึงจะสามารถหายได้ไวขึ้นนะ"

ถูกคนแก่ล่อลวงให้ทานข้าวจนเสร็จ หัวใจของหร่วนซือซืออบอุ่นขึ้นมา ราวกับว่าความเจ็บที่แผ่นหลังก็ถูกลดทอนไปอยู่มากโข

เมื่อรอให้เธอทานข้าวเสร็จ หร่วนซือซือลุกขึ้นยืน ก่อนจะประคองเธอให้อยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า "ซือซือ หนูพักผ่อนเยอะๆนะ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกันจ้ะ ถ้าต้องการอะไรก็ให้บอกกับย่าได้เลยนะจ๊ะ"

หร่วนซือซือยิ้มหวานให้คุณย่าครั้งหนึ่ง "ทราบแล้วค่ะคุณย่า"

ไม่นานนัก คุณย่าก็จากไป หร่วนซือซือเอนหลังอยู่บนเตียง กลับนอนไม่หลับแล้ว ก่อนจะหาเพลงแล้วเปิดเบาๆฟังในโทรศัพท์ ปิดเปลือกตาลงเพื่อพักสายตา

แสงอบอุ่นจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างจนถึงเตียงนอน ผ่านไปไม่นานนัก เธอก็หลับปุ๋ยไปเสียแล้ว

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากแค่ไหน เมื่อตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่หน้าประตูดังลอยขึ้นมาให้ได้ยิน

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทันที ยกมือขึ้นไปกดปิดเพลงที่เปิดอยู่เบาๆ

ก่อนที่น้ำเสียงเย็นชาห่างเหินของผู้หญิงจะดังลอยขึ้นมาว่า "คุณหร่วน คุณตื่นหรือยังคะ?"

หร่วนซือซือไม่ได้หันศีรษะกลับไป ก็สามารถคาดเดาได้แล้ว ว่านั้นคือเสียงของเหอซูผิง

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "ตื่นแล้วค่ะ"

หลังจากนั้น จึงตามมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมดุดันของอวี้ชิงซานที่ดังขึ้นว่า "ซูผิง บอกกับเธอไปตรงๆเลยสิ"

เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว หร่วนซือซือพลันชะงักไป ทันใดนั้นเองก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นกว่าเดิมอยู่มากโข ก่อนจะกุลีกุจอฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง

เธอเอ่ยทักทายพวกเขาอย่างมีมารยาทว่า "คุณอวี้ คุณนายอวี้"

เหอซูผิงเห็นสถานการณ์ดังนั้นแล้ว ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า "ไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอกจ้ะ แค่มาพูดคุยกับคุณสองสามประโยคเท่านั้นเอง"

เมื่อสบมองสีหน้าดุดันเล็กน้อยของอวี้ชิงซานแล้ว หร่วนซือซือสูดอากาศเข้าปอดลึก ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาว่า "ไม่เป็นไรค่ะ คุณนายอวี้คะ มีเรื่องอะไร คุณพูดมาได้เลยค่ะ"

เหอซูผิงนิ่งไปครู่หนึ่ง มองไปยังอวี้ชิงซาน จึงจะหันศีรษะกลับมามองหร่วนซือซือแล้วเอ่ยขึ้นว่า "เรื่องที่คุณพูดพวกนั้นเมื่อคืนวานน่ะจ้ะ พวกเราไปตรวจสอบดูแล้ว ในเมื่อคุณเคยจดทะเบียนสมรสกับอี่มั่วจริงๆ พวกเราก็จะไม่พูดอะไรแล้วล่ะจ้ะ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นพวกเธอหย่าขาดจากกันแล้ว อีกอย่างคุณยังเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเองด้วย ใช่ไหมจ๊ะ? "

หร่วนซือซือพยักหน้าหงึกหงัก "ฉันเป็นคนเอ่ยปากเองค่ะ"

เหอซูผิงพูดอย่างอ่อนโยนขึ้นว่า "ในเมื่อคุณเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอหย่าเอง อีกทั้งยังคงอยู่เคียงข้างกับอี่มั่วของพวกเราอยู่ แบบนี้มันไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่ไหมจ๊ะ?"

ทำไมหร่วนซือซือจะฟังไม่ออกว่าในคำพูดของเธอมีความหมายว่าอะไร เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า "ฉันก็เคยคิดค่ะ เพียงแต่ว่าสัญญาทำงานของฉันยังไม่ครบกำหนด ก่อนหน้านี้ ฉันก็เลยไม่สามารถลาออกได้ค่ะ"

อวี้ชิงซานได้ยินดังนั้น ก่อนที่จะมีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า "หึ! ทำไมจะลาออกไม่ได้ล่ะ ฉันว่าเธอไม่อยากเสียมากกว่า!"

"เป็นคนย่อมต้องรู้จักประมาณตนเอง ตระกูลอวี้ของเราไม่ใช่ว่าใครอยากที่จะเข้าก็สามารถเข้าได้ เธอบอกมาตามตรงเถอะ เธออยากได้อะไร ฉันจะให้เอง"

หร่วนซือซือช้อนสายตาขึ้น สบมองนัยน์ตาฉายประกายเย็นชาออกมาของอวี้ชิงซาน หัวใจก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นในทันที

นึกไม่ถึงเลยว่า ในสายตาของอวี้ชิงซาน เธออยู่ข้างกายของอวี้อี่มั่วก็เพื่อหวังผลประโยชน์

เธอกัดฟันแน่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจขึ้นว่า "ขอประทานโทษค่ะคุณอวี้ ที่ฉันอยู่ที่อยู่กรุ๊ปนั่นก็เพื่อทำงานเท่านั้น ต้องการแค่เงินเดือนเท่านั้น ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลยค่ะ"

อวี้ชิงซานไม่เชื่อ "ผู้หญิงแบบเธอฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ที่นี้เพื่อให้ฉันเห็นใจหรือไงกัน? พูดมาเถอะ เธออยากได้เท่าไหร่"

หัวใจของหร่วนซือซือบีบรัด รู้สึกเสียใจเล็กน้อย

เธอขบกรามแน่น สบมองไปยังอวี้ชิงซาน พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว

เดิมทีเธอคิดว่าคนในตระกูลอวี้ทุกๆคนจะเหมือนกับคุณย่าที่มีเหตุมีผล ทำดีเพื่อผู้คน แต่ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าผู้นำตระกูลอวี้จะจิตใจคับแคบแบบนี้

เหอซูผิงที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์ดังนั้นแล้ว ฉีกยิ้มอย่างน่าอึกอัดเล็กน้อย ก่อนจะสบมองไปที่หร่วนซือซือแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "คุณหร่วน คุณอย่าไปคิดมากเลย พวกเราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะจ๊ะ เมื่อก่อนมีผู้หญิงเจ้าเล่ห์เพทุบายมากมาย หมายที่จะจับอวี้อี่มั่ว พวกเราก็เลยกังวล……"

"คุณนายอวี้คะ คุณพูดแบบนี้ มีความหมายว่าที่ฉันอยู่ข้างกายท่านประธานอวี้ก็เพราะคิดจะจับเขาใช่ไหมคะ?"

เหอซูผิงยกยิ้ม "พวกเราไม่มีเจตนาแบบนั้นนะจ๊ะ"

อวี้ชิงซานได้ยินดังนั้น สบมองไปที่หร่วนซือซือด้วยสายตาเย็นยะเยือกมากขึ้นเป็นเท่าตัว คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ ต่อหน้าเขายังกล้าที่จะต่อปากต่อคำ ไม่ลดราวาศอก!

เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นๆว่า "ซูผิง ไม่ต้องไปพูดอะไรกับเธอมากแล้ว เข้าตรงประเด็นเลย"

เหอซูผิงพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะสบมองไปที่หร่วนซือซือ "คุณหร่วน เอาแบบนี้ไหม ถึงแม้ว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บ แต่ทว่าอยู่ที่นี่ตลอดก็คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ พวกเราหาโรงพยาบาลให้คุณแล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหมดพวกเรารับผิดชอบเองจ้ะ อีกประเดี๋ยวพวกเราจะให้คนไปส่งคุณ"

พูดไป เธอก็หยิบบัตรเครดิตออกมาหนึ่งใบ "ในบัตรนี้มีอยู่สองล้าน รหัสคือเลขศูนย์หกตัว เป็นค่าชดเชยทางจิตใจและค่าชดเชยที่เชิญออกจากงานจ้ะ คุณนำเงินนี้ไป แล้วรักษาตัวให้ดี รับรองได้ว่าสามารถหางานดีๆอีกงานได้แน่ๆ ถ้าหากมีเรื่องต้องการอะไรตรงไหนล่ะก็ ก็สามารถติดต่อฉัน……"

หร่วนซือซือหลุบตาลงต่ำสบมองบัตรเครดิตที่ถูกยื่นส่งเข้ามาพร้อมกับนามบัตรของเหอซูผิง สมองของเธอมีเสียงดังตึงขึ้นมาครั้งหนึ่ง ใบหน้าและแก้มแสบร้อนไปหมด คล้ายกับว่าถูกคนฟาดฝ่ามือลงมาก็ไม่ปาน

นี่คือการทำให้อับขายขายหน้าอย่างแท้จริง ล้มศักดิ์ศรีของเธอให้ระเนระนาดกับพื้นไปหมด

เธอกัดฟันแน่ กดโทสะที่ปะทุขึ้นในหัวใจเอาไว้อย่างสุดกำลัง ช้อนสายตาสบมองอวี้ชิงซายกับเหอซูผิง "คุณอวี้ คุณนายอวี้คะ เมื่อคืนวานฉันเต็มใจที่จะรับโทษ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณเลยค่ะ ฉันไม่ต้องการเงินค่ารักษาของพวกคุณ หรือแม้กระทั่งบัตรเครดิตใบนี้ ฉันจะไม่รับค่ะ ฉันยังเป็นลูกจ้างของท่านประธานอวี้ อยู่หรือจะไปเขาเป็นคนตัดสิน ฉันจะฟังการวางแผนจากเขาค่ะ"

พูดไป เธอก็ลุกขึ้นลงจากเตียง สะกดกลั้นความเจ็บปวดที่แผ่นหลัง ก่อนจะโค้งตัวเบาๆให้กับพวกเขา "รบกวนแล้วค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ"

พูดไปแล้ว เธอหมุนตัวไปหยิบกระเป๋าและโทรศัพพ์มือถือที่โต๊ะหัวเตียง อยู่ในสายตาเย็นยะเยือกของอวี้ชิงซาน ก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวออกไปจากห้องนอนที่ใช้รับแขก

เมื่อวานตอนกลางคืนเธอก็ลางสังหรณ์ใจอยู่แล้ว คนตระกูลอวี้ไม่เก็บเธอเอาไว้รักษาตัวที่นี่หรอก นึกไม่ถึงเลยว่าอวี้ชิงซานจะกระทำมากเกินไปกว่าที่เธอคิดเอาไว้เสียอีก!

เธอกัดฟันไปมา สาวเท้าจากไป เมื่อเดินถึงที่หน้าประตูห้องของอวี้อี่มั่ว กลับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงโดยไม่รู้ตัว

ก็ไม่รู้ว่า ตอนนี้สถานการณ์ของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

Options

not work with dark mode
Reset