ดั่งรักบันดาล 290

ตอนที่ 290

ภายในหัวใจมีความลังเลเผยออกมาเล็กน้อย แต่ทว่าเมื่อหวนกลับไปนึกๆดูแล้ว ถ้าเทียบกันระหว่างเธอกับอวี้อี่มั่ว เธอน่าเวทนากว่าอยู่มากโข อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ได้โดนไล่ออกไปในตอนที่สถานการณ์มีบาดแผลเต็มตัวอยู่ในขณะนี้

หร่วนซือซือยกยิ้มมุมปากหัวเราะขบขันให้กับตนเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้สาวก้าวยาวมากขึ้นแล้วมุ่งตรงไปทางบันได เมื่อครู่ที่เดินมาถึงที่ประตูห้องคุณลุงอู๋ก็เดินตามหลังมาว่า "คุณหร่วนครับ คุณผู้หญิงเตรียมรถไว้ให้คุณแล้วครับ จะไปส่งคุณที่โรงพยาบาลโดยตรงเลย"

หร่วนซือซือฉีกยิ้มแข็งๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเอง"

พูดไป เธอก็พลางสาวเท้ายาวออกจากประตูใหญ่ไป จากไปโดยไม่หันกลับมามอง

เมื่อสบมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่จากไปแล้ว นัยนน์ตาของคุณลุงอู่หมองลงเล็กน้อย

เป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งจริงๆ คล้ายกับมารดาแท้ๆของอวี้อี่มั่วอย่างคุณผู้หญิงซูเลย แน่วแน่ชัดเจน เอาวัวสิบตัวมาลากก็ไม่กลับ

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทางด้านห้องนอนที่อยู่บนชั้นสองอีกห้อง อวี้กู้เป่ยนั่งอยู่ที่หน้าหน้าต่าง เมื่อสบมองเห็นเงาที่ประตูแล้ว นัยน์ตาก็ฉายเป็นประกายออกมาทันที

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกคำสั่งไปว่า "เชาโจว เข็นผมลงไปชั้นล่างหน่อยสิครับ"

เชาโจวเดินเข้ามาหา ก่อนจะเข็นวีลแชร์ แล้วลงไปชั้นล่าง

เมื่อถึงประตู แผ่นหลังของหร่วนซือซือก็มองไม่เห็นเสียแล้ว เชาโจวจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า "นายน้อยครับ ยังจะตามไปไหมครับ?"

"อืม ขับรถตามไป"

เชาโจวตอบรับคำสั่ง พึ่งจะนำวีลแชร์ขึ้นรถได้อยู่ครู่หนึ่ง เหอซูผิงก็ออกมาจากด้านในเรียบร้อยแล้ว

เธอเห็นท่าทีแบบนั้นแล้ว สีหน้าเข้มขึ้น ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้ามาสอบถามว่า "กู้เป่ย ลูกจะทำอะไรน่ะ?"

อวี้กู้เป่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน "คุณแม่ครับ ผมมีเรื่องนิดหน่อย จะออกไปข้างนอกครับ"

เหอซูผิงขมวดคิ้ว "เรื่องอะไรหรือจ๊ะ? ลูกคงจะไม่ได้จะตามผู้หญิงคนนั้นไปใช่ไหม?"

อวี้กู้เป่ยเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "คุณแม่ครับ เธอได้รับบาดเจ็บ ผมจะไปส่งเธอครับ"

เหอซูผิงสาวเท้าไปข้างหน้า ดึงวีลแชร์ของเขาเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อยมือ ก่อนจะกดเสียงต่ำแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า "ลูกไปไม่ได้นะ! พ่อของลูกเตรียมรถเอาไว้ให้เธอแล้ว เธอไม่ยอมนั่งไปเอง ทำให้พ่อของลูกโมโหจะตายอยู่แล้วเนี่ย ถ้าลูกตามไปอีกล่ะก็ มันหมายความว่าอย่างไร!"

อวี้กู้เป่ยเห็นเหอซูผิงไม่ยอมปล่อยมือ คิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันกลับไปสบมองเชาโจว "เอาล่ะ ย้ายลงไปเถอะ"

เชาโจวส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะรีบลงมือทำทันที

สีหน้าของเหอซูผิงจึงอ่อนลงไปอยู่มาโขในทันที ก่อนจะยกมือขึ้นมาตบเบาๆเข้าที่หัวไหล่ของอวี้กู้เป่ย "แบบนี้สิถึงจะถูกต้องแล้วล่ะ เชื่อฟังแม่นะ แม่ไม่ทำร้ายลูกแน่ๆ ถือโอกาสนี้พอดีเลย แม่จะไปพูดกับพ่อของลูก ให้ลูกได้เข้าไปฝึกงานที่บริษัท เขาจะต้องเห็นด้วยแน่!"

อวี้กู้เป่ยฉีกยิ้มมุมปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ภายในใจของเขาชัดเจน ในสายตาของเหอซูผิง สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือสมบัตินี้ของครอบครัว เธอคิดที่จะสู้เพื่อให้เขาได้รับสมบัติต่อ แต่ทว่าถ้าจะให้เขาเอ่ยแล้วล่ะก็ สมบัติของครอบครัวอะไรก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือ เขาจะต้องทำให้คนคนนั้นเจ็บปวดจนไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

หลังจากที่หร่วนซือซือออกมาจากตระกูลอวี้ เดินมาตั้งไกลด้วยตัวคนเดียว จึงจะถึงที่ถนนใหญ่ด้านนอก บาดแผลที่หลังได้รับการกระทบกระเทือนแต่ทว่ากลับกักเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ เธอพ่นลมหายใจออกมา ศีรษะเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเล็กน้อย

ความเจ็บปวดที่แผ่นหลังตีขึ้นมาเป็นระยะๆ ทำให้คนยากที่จะยอมรับได้ เธอเดินมาตามทางอยู่นาน มองไม่เห็นรถขนส่งเลยแม้แต่คันเดียว

ในช่วงเวลานั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเธอสั่นขึ้น เธอหยิบออกมาสบมอง เมื่อเห็นหน้าจอปรากฏคำว่า "อวี้อี่มั่ว" สามคำนั่นแล้ว ทันใดนั้นเองหัวใจของเธอก็บีบรัดขึ้นมาทันที

จู่ๆเขาก็โทรศัพท์หาเธอมาทำไมกันนะ หรือว่าเขารู้แล้วว่าเธอออกมาจากตระกูลอวี้เรียบร้อยแล้ว?

หัวใจของหร่วนซือซือบีบรัด ก่อนจะกดปิดหน้าจอไป ไม่ได้รับสาย

ในที่สุด มีรถขนแท็กซี่คันหนึ่งผ่านมา เธอเรียกรถเอาไว้ เมื่อขึ้นรถแล้ว จึงเอ่ยด้วยสีหน้าซีดเผือกขึ้นว่า "คุณคนขับคะ รบกวนช่วยไปส่งที่โรงพยาบาลทีค่ะ"

เมื่อในตอนที่หร่วนซือซือกำลังมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลอยู่นั้นเอง อวี้อี่มั่วโทรศัพท์หาเธอถึงสามสายแล้ว แต่ก็ไม่มีคนรับ

เกิออะไรขึ้นนะ?

อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว ก่อนที่หัวใจจะก่อเกิดความกังวลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่นานนัก เขาจึงเอ่ยปากเรียกคนรับใช้ที่อยู่ทางด้านนอก

ไม่นานนัก มีสาวรับใช้อายุอานามไม่มากนักเปิดประตูเข้ามา ก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า "คุณชายใหญ่คะ จะให้รับใช้อะไรหรือคะ?"

อวี้อี่มั่วเอ่ยเสียงเข้มขึ้นว่า "เลขาหร่วนคนนั้นที่อยู่กับฉันเมื่อวานนี้ ตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง?"

หญิงรับใช้คนนั้นพลันชะงักนิ่งไป ก่อนที่ใบหน้าจะมีสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักจึงเอ่ยปากตอบคำถามไปว่า "เธอ…เรียบร้อยดีค่ะ คุณชายใหญ่ไม่ต้องกังวลนะคะ"

หัวคิ้วของอวี้อี่มั่วกระตุก ก่อนที่สีหน้าจะเย็นยะเยือกขึ้นมากกว่าเดิม "เรียบร้อยดีอย่างนั้นหรือ?"

ถ้าหากว่าเธอบอกว่าเธอไม่ทราบ เขาก็ไม่สงสัยอะไรขึ้นมาหรอก แต่ทว่าเธอกลับพูดออกมาตรงๆเลยว่าเธอสบายดีมาก นี่เลยอดที่จะทำให้เขาคิดมากไม่ได้

หญิงรับใช้คนนั้นลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ศีรษะก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้น "ใช่ค่ะ ของที่ส่งไปเมื่อตอนเที่ยงก็ทานเรียบร้อยแล้ว……ตอนนี้ก็คงจะพักผ่อนแล้วล่ะมั้งคะ"

ฟังดูก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ทว่าอวี้อี่มั่วกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสบมองไปยังใบหน้าของหญิงรับใช้ แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบขึ้นว่า "ดี ถ้าอย่างนั้นเธอถือโทรศัพท์มือไปที่ห้องของเธอ แล้วไปถ่ายรูปมาให้ฉันดูหน่อยสิ"

พูดไป เขาก็นำโทรศัพท์มือถือส่งไปให้

หญิงรับใช้ตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว ตกตะลึงจนหน้าถอดสี

ตอนนี้มีคนรับใช้ในบ้านคนไหนไม่รู้บ้างล่ะว่า เลขาหร่วนคนนั้นที่ถูกเขาพากลับมาตอนนี้ถูกคุณท่านกับคุณหญิงไล่ออกไปเรียบร้อยแล้ว! จะให้เธอไปถ่ายรูป นี่ไม่ใช่การสร้างความยากลำบากให้เธอหรอกหรือไง?

ยิ่งไปกว่านั้น คุณหญิงก็กำชับมาเป็นพิเศษแล้วว่า ไม่ให้พวกเขาพูดอะไรมั่วๆออกไป แต่ทว่าตอนนี้……

หญิงรับใช้เสียงสั่นเล็กน้อย "คุณชายใหญ่คะ ดิฉันไม่กล้า……"

อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแข็งและเย็นชาขึ้นว่า "ไม่กล้า? ฉันให้เธอไป ไม่กล้าอะไรงั้นหรือ?"

หญิงรับใช้ตกใจตนตัวสั่น เกือนจะร้องไห้ออกมาอยู่ร่อมร่อ "เลขาหร่วนคนนั้น เธอ……เธอไปแล้วค่ะ"

"อะไรนะ?" อวี้อี่มั่วตัวแข็งค้าง "ไปแล้ว?"

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

บนร่างเธอยังมีบาดแผลอยู่เลย พึ่งจะครึ่งวัน บาดแผลยังไม่ทันจะสมานตัว หมอประจำตระกูลก็กำชับมาเป็นพิเศษแล้วว่าสองสามวันมานี้ห้ามขยับไปไหน ต้องนิ่งเข้าไว้เพื่อรักษาแผล ตอนนี้เธอไปแล้ว ต้องกระทบกระเทือนบาดแผลแน่ๆ ทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำสอง!

"ดิฉัน…ดิฉันก็ไม่แน่ใจนักค่ะ……เมื่อตอนเที่ยงคุณท่านกับคุณผู้หญิงไปที่ห้องนอนที่ใช้รับแขก ไม่รู้ว่าพูดคุยอะไรกัน เลขาหร่วนก็ไปเสียแล้วค่ะ ตอนไปก็ไม่ได้กลับกับรถที่คุณท่านเตรียมเอาไว้ให้ คุณชายใหญ่คะ ที่ดิฉันรู้มาก็มีเพียงเท่านี้……"

อวี้อี่มั่วไม่เอ่ยอะไรเลย นิ่งเงียบอยู่นาน แต่ทว่าร่างกายกลับส่งกลิ่นอายความเย็นยะเยือกออกมาอย่างชัดเจน หลังจากนั้น เขาสบมองไปที่หญิงรับใช้ครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยเสียงเบาลงมาเล็กน้อย "เธออกไปเถอะ ฉันจะไม่บอกหรอกว่าเธอพูด"

"ขอบพระคุณค่ะคุณชายใหญ่"

หญิงรับใช้กุลีกุจอเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะรีบถอยออกจากห้องไป

อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น ในสมองยังคงมีคำพูดพวกนั้นที่หญิงรับใช้เอ่ยอยู่เมื่อครู่นี้ลอยวนไปวนมา?

คุณพ่อกับเหอซูผิงไปคุยอะไรกับเธอกันแน่นะ เธอถึงกลับไปโดยไม่สนใจบาดแผลเลยแบบนั้น?

เขากำหมัดเข้าหากันแน่ ก่อนจะใช้สองแขนพยุงตัวขึ้น แล้วลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง

เขาสวมใส่เสื้อเชิ้ตด้วยความยากลำบาก กระทบกระเทือนเข้าที่บาดแผลโดยทันไม่ระวัง ก่อนที่ความเจ็บจะตีรวนเข้ามาทันที

อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่ ก่อนที่จะติดกระดุมเสื้อเชิ้ตด้วยความยากลำบาก เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็สาวเท้ายาวออกไปด้านนอก

ทุกย่างก้าวเดิน เขาก็รู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อบนกายขยับกระเทือนไปถึงแผ่นหลังและผิวหนัง ในช่วงเวลานั้นเองก็มีเสียงร้องเจ็บปวดดังแหลมออกมา

ยังคงเจ็บมาอยู่ดี

เขายังรู้สึกจนแทบจะทนไม่ได้ขนาดนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงหร่วนซือซือแล้ว

ภายในใจก่อเกิดโทสะขึ้นมาทันที เขาสาวเท้ายาวก้าวไปถึงประตู ก่อนจะเปิดและออกไป

หญิงรับใช้ที่คอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูก็นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆเขาจะออกมากระทันหันแบบนี้ ก่อนจะตกอกตกใจยกใหญ่ "คุณชายใหญ่คะ คุณต้องรักษาบาดแผลนะคะ……"

แต่ทว่าใบหูของอวี้อี่มั่วกลับไม่ได้ยิน ใส่สูทใส่โค้ทก่อนจะมุ่งตรงไปที่บันได

เหล่าคนรับใช้ทั้งตะลึงทั้งหวาดกลัว ก่อนที่จะรีบนำข่าวไปรายงานให้กับอวี้ชิงซานที่อยู่ในห้องหนังสือทันที

ในตอนที่อวี้ชิงซานกับเหอซูผิงรีบพุ่งมาถึงนั้น อวี้อี่มั่วก็เดินไปถึงประตูเรียบร้อยแล้ว และกำลังเปลี่ยนรองเท้า

อวี้ชิงซานเห็นดังนั้น พลันขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกขึ้นมาว่า "แกจะไปไหน?"

อวี้อี่มั่วมีสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา "ไปโรงพยาบาลครับ"

เดิมทีเขาคิดว่า หากบิดายังเข้มงวดขึ้นมาอีกครั้ง ก็ยังคงอนุญาตให้หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บสามารถพักรักษาตัวต่อที่บ้านได้สักสองสามวัน นึกไม่ถึงเลยว่า ยังไม่ทันจะถึงวัน เขาก็ไล่คนออกไปเสียแล้ว!

Options

not work with dark mode
Reset