ดั่งรักบันดาล 169

ตอนที่ 169

รถยนต์คันสีดำเคลื่อนตัวด้วยความเร็วท่ามกลางความมืด ในตัวรถ บรรยากาศกดดันจนรู้สึกน่ากลัวเล็กน้อย อวี้อี่มั่วนั่งอยู่บนรถ สีหน้าเคร่งขรึมดุดัน

ผ่านไปไม่นานนัก เขาหันศีรษะไปสบมองกับซูอวี้เฉิงที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำดุดันว่า "ครั้งนี้สามารถรับประกันได้ไหมว่าจะไม่เกิดความเสียหายผิดพลาดขึ้น?"

ซูอวี้เฉิงแปรเปลี่ยนสีหน้าขี้เล่นในทุกวันทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "วางใจเถอะ ฉันให้ลูกน้องสองสามคนจัดการดักทางเอาไว้แล้ว ไม่ว่าเขาจะหนีไปไหน ต้องจับได้แน่ๆ"

อวี้อี่มั่วได้ยินดังนั้นแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

เมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน เขาพึ่งจะได้รับข้อความ ว่ามีการพบเห็นสวี่เฟิงหมิงที่ย่านไฟแดงจราจรในเขตกรุงเทพ ก็รีบจัดการให้ส่งคนไปที่นั่นทันที

เรื่องลูกน้องถูกจัดการวางกำลังโดยซูอวี้เฉิง ส่วนเรื่องรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น เขาไม่ทราบแน่ชัดมากนัก แต่ทว่าเขารู้ อยู่ในพื้นที่จราจรแบบนั้น คนเยอะจนตาลาย วุ่นวายไปหมด ไม่สามารถตามตัวได้สะดวกมากนัก

ครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะจับได้หรือไม่ เขาก็ไม่อาจแน่ใจได้มากนัก

อีกด้านหนึ่ง หร่วนซือซือที่กำลังถูกจับมัดอยู่บนเก้าอี้ คิดแค่ว่าตนเองคล้ายราวกับลิงที่อยู่ในสวนสัตว์ก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะมีใครผ่านมา ก็จะสบมองมาที่เธอทั้งหมด

การสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนหมดเปลือกนั่น ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ร่างทั้งร่างเย็นวาบ

ไม่ไกลจากนั้นมากนัก ลูกพี่ K นั่งอยู่บนโซฟามักจะสบมองมาที่เธออยู่บ่อยๆ คอยสังเกตปฏิกิริยาของเธอ มีลูกน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ย่อตัวลงที่ข้างหูเขา ก่อนจะรายงานอะไรบางอย่างเสียงเบา

นัยน์ตาเย็นชาของลูกพี่ K หรี่เล็กลง แผ่นหลังเขาเกร็งแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหยิบแก้วเหล้าบนโต๊ะขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เมื่อวางแก้วลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง "ปัง" ขึ้น หลังจากนั้นก็ลุกยืนขึ้นทันที

"ได้เวลาแล้ว"

เขาคลับคล้ายคลับคลาราวกับว่าออกคำสั่งกับลูกน้อง อีกทั้งยังคลับคล้ายคลับคลาราวกับพูดกับตนเอง หลังจากที่ทิ้งประโยคไป ก็สาวเท้ายาวก้าวมาทางหร่วนซือซือ

เจ้าหัวล้านกับเจ้าผอมแห้งเห็นดังนั้นแล้ว ก็รีบตอบรับการมาเยือนด้วยความยินดีทันที "ลูกพี่ครับ…"

ลูกพี่ K สบมองไปที่ใบหน้าซีดเผือดของหร่วนซือซือครั้งหนึ่ง ก่อนที่นัยน์ตาทั้งสองข้างจะฉายแววเย็นชาออกมา "ได้เวลาแล้ว เล่นอะไรนิดอะไรหน่อยได้แล้วล่ะ"

เขาพูดไป ก่อนที่จะส่งสัญญาณไปทางคนที่อยู่ด้านข้างไปพลาง ลูกน้องสบมองสัญญาณนั่น ก่อนจะรีบเข้ามาใกล้ แล้วแก้เชือกที่มัดหร่วนซือซือออกให้เป็นอิสระ

หร่วนซือซือที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ภายในใจก่อเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าพวกเขาคิดที่จะทำอะไรกันแน่ แต่ทว่าหากให้เธอพูดล่ะก็ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ!

เมื่อคนสองคนเดินเข้ามา แยกกันจับเข้าที่หัวไหล่ของเธอคนละข้าง ก่อนจะลากและดึงแขนของเธอให้กางออก

หร่วนซือซือหันศีรษะไปสบมองอย่างหวาดหวั่น สบมองไปที่มุมปากที่กระตุกยิ้มร้ายออกมาของลูกพี่ K ก่อนจะส่งเสียงเอ่ยถามไปว่า "พวกคุณ…พวกคุณคิดจะทำอะไร?"

นัยน์ตาคมดุเหยี่ยวคู่นั้นของลูกพี่ K ขยับไปมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า "ทำอะไรงั้นหรือ? อีกประเดี๋ยวเธอก็จะรู้แล้ว"

สิบกว่านาทีให้หลัง จู่ๆโทรศัพท์มือถือของอวี้อี่มั่วก็ดังขึ้น เขาขมวดคิ้วเบาๆ ไม่รู้ว่าทำไม ภายในใจกลับรู้สึกไม่สงบแบบนี้

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปัดให้เปิดหน้าจอออก เมื่อสบมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่อยู่ๆก็ปรากฏรูปถ่ายขึ้น ก็พลันชะงักนิ่งไปทันที

สองวินาทีหลังจากนั้น ความเย็นยะเยือกและโทสะของเขาก็ปะทุขึ้นในทันที

ซูอวี้เฉิงที่อยู่ด้านข้างจับสังเกตได้ว่าเขามีบางอย่างไม่ปกติ ก่อนจะรีบชะโงกหน้าเข้ามาไถ่ถามว่า "เป็นอะไรไปน่ะ?"

หรือว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปงั้นหรือ?

เมื่อเขาชะโงกหน้าไป ก็เห็นรูปถ่ายทันที ใบรูปถ่ายนั่นเป็นหร่วนซือซือที่ถูกมัดไว้กับล้อหมุนอันใหญ่ แขนขาถูกมัดติดไว้จนคล้ายกับตัวอักษรจีนที่แปลว่า ใหญ่ (大) ใบหน้าปูดบวมแดงก่ำ มุมปากมีรอยเลือดไหลออกมา บนกระโปรงยาวสีขาวมีรอยเลือดไหลเป็นวง

ซูอวี้เฉิงตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า "ตายล่ะ เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!"

อวี้อี่มั่วที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าดุดันจนถึงขีดสุด มือที่กำโทรศัพท์มือถืออยู่แอบออกแรงบีบเข้าหากัน ปลายนิ้วทั้งหลายแปรเปลี่ยนเป็นสีซีด

ร่างทั้งร่างของชายหนุ่มหดเกร็ง แผ่กระจายกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมากดดันคนรอบข้างในทันที "เป็นไอ้ K ต้องเป็นมันแน่"

การกระทำโหดร้ายทารุณมากขนาดนี้ อีกทั้งยังกระทำการในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายแบบนี้ คนที่ทำแบบนี้ได้ ก็มีเพียงแค่ไอ้ K เท่านั้น

อวี้อี่มั่วไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะรีบโยนโทรศัพท์มือถือส่งไปให้ซูอวี้เฉิง "ส่งรูปถ่ายนั่นให้หลัวยู่ตรวจสอบทีว่าส่งมาจากที่ไหน เร็วเข้า!"

ซูอวี้เฉิงชะงักนิ่งไป "ถ้าอย่างนั้นแล้วทางฝั่งของสวี่เฟิงหมิงพวกนั้นล่ะ?"

"ก็แยกกันจัดการ!" อวี้อี่มั่วไม่มีท่าทางลังเลมากนัก ก่อนจะตัดสินใจลงไปทันที

เขารู้ดี คนแบบพวกไอ้ K นั่น เป็นพวกที่เดินทางผิดคิดแต่จะฆ่าคนกันทั้งหมด เดิมทีก็ไม่เคยมีความคิดที่จะกลัวการฆ่าคนเลยแม้แต่น้อย หร่วนซือซืออยู่ในกำมือมันแล้วแบบนี้ ต้องมีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะเกิดอันตรายขึ้นได้แน่ๆ!

เขาจำเป็นต้องไป ถึงแม้ว่าอาจจะจับสวี่เฟิงหมิงไม่ได้ ก็ต้องไปช่วยเธอ!

ซูอวี้เฉิงขมวดคิ้ว ลังเลอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่าอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างขึ้น แต่ทว่าเมื่อสบมองสีหน้าบนใบหน้าของอวี้อี่มั่วแล้ว สุดท้ายแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ก่อนจะรีบสั่งให้ลูกน้อยหยุดรถทันที

รถถูกจอดลงที่ข้างถนน ไม่นานนัก รถสองคันที่ตามหลังมาก็หยุดจอดลงตามกันมาติดๆ ทางฝั่งของซูอวี้เฉิงเปิดประตูรถแล้วลงไปพลาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นไปพลางว่า "ติดต่อผ่านทางหูฟัง มีเรื่องอะไรก็ให้รีบรายงานทันที"

พูดจบ เขาก็สาวเท้ายาว แล้วเดินมุ่งตรงไปทางรถที่อยู่ทางด้านหลังทันที

หลังจากนั้น ชายที่สวมใส่กรอบแว่นสีทองเดินตรงเข้ามาหา หลังจากที่ขึ้นรถแล้ว ก็หยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมากดพิมพ์ไม่หยุด

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เขากดสเปซบาร์อีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วดันเข้าที่กรอบแว่นไปมา "พบแล้วครับ อยู่ที่บ่อนนอกเมืองของกรุงเทพ"

อวี้อี่มั่วที่ได้ยินดังนั้นแล้ว คิ้วขมวดกันแน่นเป็นปมอยู่พักหนึ่ง นัยน์ตาฉายประกายที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเข้มขึ้นว่า "รีบย้อนกลับไปเร็ว! ไปที่บ่อน!"

ลูกน้องไม่พูดอะไรมากนัก ก่อนจะรีบเลี้ยวหัวรถกลับไป รถยนต์สองคันที่หยุดอยู่ทางด้านหลังเห็นท่าทีดังนั้นแล้ว ก็รีบออกตัวไปเฉกเช่นเดียวกัน มุ่งหน้าต่อไปทางด้านหน้า

ซูอวี้เฉิงนำคนไปจับสวี่เฟิงหมิงที่เขตจราจร เขาต้องรีบไปช่วยหร่วนซือซือที่บ่อน เมื่อแยกกันไปจัดการแบบนี้ ถึงจะสามารถทำให้ได้รับผลกระทบให้ได้น้อยที่สุด

คันเร่งถูกเหยียบจนมิด รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตู้เยี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับมีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะหันศีรษะกลับมา สบมองไปทางอวี้อี่มั่วแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า "ท่านประธานอวี้ครับ มีแค่พวกเราเท่านี้ จะพอหรือครับ?"

ถึงแม้ว่าไอ้ K จะจงใจส่งรูปถ่ายมาให้พวกเขา เดิมทีก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะไปหาหรือไม่ พวกเขาทั้งคันรถ มีกันแค่สี่คน คงสู้กับเหล่าสมุนจำนวนมากของไอ้ K ไม่ได้แน่ๆ หากหุนหันพลันแล่นพุ่งเข้าไป ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จมีไม่มาก คงจะหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ได้แน่

นัยน์ตาของอวี้อี่มั่วเข้มขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นว่า "แค่กลัวว่าพวกมันจะไม่ให้เราเข้าไปทั้งหมดต่างหาก"

สถานการณ์แบบนี้ ในมือของไอ้ K มีไพ่ของหร่วนซือซือใบนี้อยู่ คงไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปกันทั้งหมดแน่ อวี้อี่มั่วรู้ดี เขาก็จะพุ่งเข้าไปหามันเอง

เมื่อประโยคถูกเอ่ยออกไปแล้ว ภายใจตัวรถก็เงียบลงทันที

นี่คือสถานการณ์ที่ถูกกระทำ คนอยู่ในกำมือพวกมันแบบนี้ จะยื่นข้อเสนอหรือจะก่อวิวาท ก็สุดแล้วแต่พวกมันจะตัดสิน

ในระหว่างทางมีสายฟ้าฟาดลงมา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงที่หมายแล้ว

ด้านนอกของบ่อนพนัน มีรถจอดอยู่คันหนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นรถยนต์หรูหราราคาแพง ที่ประตูใหญ่ มีคนผิวคล้ำคนหนึ่ง เป็นชายไทยที่มีริมฝีปากหนายืนอยู่ตรงนั้น เมื่อมองเห็นอวี้อี่มั่วแล้ว ก็รีบเข้ามาตอนรับทันที

เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประกบกัน ก่อนจะโค้งคำนับพลางเอ่ยสวัสดีทักทายเป็นภาษาไทยไปพลาง หลังจากนั้นจึงแปรเปลี่ยนไปพูดภาษาจีนว่า "คุณอวี้ ตามมาสิครับ"

ตู้เยี่ยกับหลัวยู่ต้องการที่จะเดินตามหลังอวี้อี่มั่วเข้าไปด้วย แต่ใครจะรู้ล่ะว่าจู่ๆคนคนนั้นก็หมุนตัวกลับมา ก่อนจะยกมือขึ้นมากันเอาไว้ด้วยสีหน้าดุดัน

เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า พวกเขาอนุญาตให้อวี้อี่มั่วเข้าไปด้านในได้แค่คนเดียวเท่านั้น

ตู้เยี่ยมีสีหน้าเข้มขึ้น กำหมัดแน่น เตรียมพร้อมรับการปะทะ

อวี้อี่มั่วเห็นดังนั้นแล้ว ใช้สายตาส่งสัญญาณสบมองไปที่เขาครั้งหนึ่ง บอกเป็นนัยว่าให้เขาถอยกลับไป

ตู้เยี่ยวางใจไม่ได้ ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "ท่านประธานครับ"

นัยน์ตาดำคลับของอวี้อี่มั่วฉายประกายเย็นยะเยือกขึ้นเป็นสัญญาณ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "พวกคุณรออยู่ที่นี่ ไม่มีคำสั่งจากผม ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อนุญาตให้ก้าวเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว"

ตู้เยี่ยกับหลัวยู่ได้ยินดังนั้น ทำได้เพียงไม่พูดอะไรออกมา ก่อนจะถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว

คนไทยคนนั้นเห็นท่าทีดังนั้นแล้ว พยักหน้าขึ้นลงเบาๆ แล้วเดินมุ่งตรงนำทางเขาเข้าไปด้านใน

เมื่อเข้าไปด้านใน โถงทางเดินผุพัง หลังจากผ่านพวกข้าวของที่สานจากแผ่นไม้ไผ่แล้ว เป็นบาร์ดื่ม ก่อนจะเดินตรงเข้าไปอีกหน่อย ก็คือห้องโถงสำหรับบ่อนพนัน

ควันบุหรี่ด้านในลอยฟุ้งกระจายตัวเต็มไปหมด เสียงเพลงดังสนั่น โต๊ะพนันทุกโต๊ะเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนล้อมรอบ บนโต๊ะมีชิปกองใหญ่พร้อมกับเงินก้อนเป็นปึก ภาษามากหมายหลากหลาย ใบหน้าและสีผิวต่างๆ ร้องเรียกตะโกนเสียงดังไม่หยุด ดูวุ่นวายไปหมด

อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วแน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายเย็นยะเยือก คนไทยคนนั้น ก็ยังคงเดินนำต่อเข้าไปด้านใน

เมื่อเดินผ่านทางเดินเข้ามาอีกครั้ง เสียงดังจากด้านนอกแทบจะถูกตัดลงไปมากโข ใบหูรู้สึกสงบขึ้นมาหน่อย ประตูไม้อยู่ด้านหน้า ก่อนที่คนไทยคนนั้นจะเปิดประตูออก เสียงรบกวนที่อยู่ภายในห้องก็ดังขึ้นให้ได้ยินทันที

อวี้อี่มั่วสบมองครั้งหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล หลังจากนั้น ก็เห็นสิ่งที่อยู่กลางห้องทันที เป็นหญิงสาวที่มีท่าทางอ่อนล้าถูกมัดเอาไว้ติดกับล้อหมุน

Options

not work with dark mode
Reset