(WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! 52

ตอนที่ 52

พิษคำสาปดวงดาว

 

ณ ห้องในสถาบันการศึกษา  

 

ที่นั่น ขุนนางจากตระกูลเบิร์กลีย์ กำลังยืนยันสิ่งที่เขาเห็นในกระเป๋าที่ลูกน้องของเขานำมา

 

“นี่คือพิษคำสาปดวงดาว?”

 

ภายในกระเป๋าเดินทางมีแคปซูลบรรจุของเหลวสีม่วง

 

สารที่อยู่ภายในนั้น มองจากอวกาศก็ยังรู้ว่าเป็นพิษ

 

“พยายามอย่าแตะต้องมันอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แทนที่จะเรียกมันว่าพิษ มันเป็นคำสาปมากกว่าครับ”

 

“ฉันสามารถใช้สิ่งนี้ในการสาปใครสักคนได้แน่ใช่ไหม?”

 

ลูกน้องคนนั้นเริ่มอธิบายว่าของเหลวทำงานอย่างไร

 

“ถ้าท่านใช้สิ่งนี้ ท่านจะสามารถฆ่าเลียมโดยไม่มีใครรู้ พลังแห่งคำสาปไม่ใช่เรื่องตลก มันเกิดจากการควบแน่นของความไม่พอใจ ความไม่ยินยอมของสิ่งมีชีวิตเมื่อดวงดาวถูกทำลาย”

 

เมื่อดาวเคราะห์ดวงหนึ่งถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนั้นก็ถูกฆ่าด้วยเช่นกัน สารนี้ควบรวมไปด้วยความรู้สึกด้านลบของพวกมัน  

 

หากใครกินเข้าไป คนคนนั้นจะต้องทนทุกข์ทรมานจากคำสาปอันทรงพลังจนกว่าพวกเขาจะตาย

 

วิธีเดียวที่จะรักษาได้คือการใช้น้ำยาอีลิกเซอร์ และถ้าคุณไม่มีมัน นั่นคือจุดจบของคุณ

 

และต่อให้มีแต่ใช้มันไม่ทันเวลา แม้แต่น้ำยาอีลิกเซอร์ ก็ไม่สามารถช่วยคุณได้  

 

“–พ่อกับคนอื่นๆขี้ขลาดเกินไป ฉันนี่แหละจะเป็นคนฆ่าเลียมเอง แล้วฉันจะขึ้นเป็นหนึ่งในผู้บริหารครอบครัว!”

 

ลูกน้องก้มศีรษะลง

 

“เมื่อถึงตอนนี้ ได้โปรดให้รางวัลกับฉันด้วย”

 

“แน่นอน ว่าแต่…ไปเอาของอันตรายนี่มาจากไหนกันเนี่ย?”

 

ลูกน้องยิ้มและพูดชื่อที่เขาคาดไม่ถึง

 

“ท่านรู้จัก ‘กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อการฟื้นฟูดาวเคราะห์’ ไหมครับ”

 

“เหมือนว่าเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขามานิดหน่อย”

 

“ที่จริงแล้วกลุ่มคนพวกนั้นกำลังทำสิ่งนี้อยู่ลับๆ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นองค์กรการกุศล แต่นั่นก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น ความจริงพวกเขานั้นคือตัวตั้งตัวตีในการขโมยทรัพยากรจากโลกที่ถูกทำลายอย่างผิดกฎหมาย พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่อง ‘การฟื้นฟูดาวเคราะห์’ นั้นเลยสักนิดเดียว”

 

แม้ว่าพวกนั้นจะมีความสามารถในการฟื้นฟูดาวเคราะห์อยู่บ้าง แต่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงการทำเช่นนั้น

 

เพราะพวกเขาจะจัดการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเพื่อผลกำไรที่มากกว่าแทน

 

“ช่างเรื่องพวกนั้นเถอะ แต่ฉันต้องใส่มันลงไปในอาหารของเลียมใช่ไหม?”  

 

“หลังจากใส่มันลงไป ตัวแคปซูลเองจะละลายและจะตรวจไม่พบสารตกค้างใดๆ”

 

“…ฮิฮิฮิ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของผู้ชายคนนั้น”

 

◇ ◇ ◇

 

ในห้องสอบสวน

 

คนที่นั่งตรงข้ามกับผมคือนายพลจัตวาของจักรวรรดิ

 

ผมซึ่งถูกนำตัวมานั่งต่อหน้าบุคคลดังกล่าว ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร้ายในการเสียชีวิตอย่างน่าสงสัยที่เกิดขึ้นที่สถาบันการทหาร

 

“ท่านเคานต์ ฉันได้ยินมาว่าคุณทะเลาะกับครอบครัวเบิร์กลีย์”

 

นายพลจัตวาเลือกคำพูดของเขาอย่างระมัดระวังแม้ว่าผมจะยังเป็นนักเรียนนายร้อยเท่านั้น

 

เพราะผมมีอำนาจมาก

 

อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์นี้ผมเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ ดังนั้นผมล่ะหวังว่าพวกเขาจะเลิกทำกับผมเหมือนเป็นคนร้ายซะที

 

“ข้อกล่าวหาเหล่านี้มาจากไหน? หลักฐานที่แสดงว่าผมเป็นฆาตกรอยู่ไหนล่ะ?”

 

“นักเรียนนายร้อยที่เสียชีวิตเป็นสมาชิกของครอบครัวเบิร์กลีย์”

 

“แล้วไง? มีหลายคนที่มีนามสกุลเบิร์กลีย์ ผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณกำลังพูดถึงใคร หรือว่าคุณจะพยายามใส่ร้ายผมกันแน่?”

 

ในตอนแรก เรื่องที่นักเรียนนายร้อยเสียชีวิตไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมเลย

 

และนอกประตูห้องสอบสวน-

 

“ไอ้พวกเหี้ย! ถึงกับขังท่านเลียมแบบนี้! ไอ้พวกสวะ กูจะฆ่ามึงทุกตัว! นี่มึงคิดว่าจะรับผิดชอบการขังนายท่านไว้โดยไม่มีหลักฐานได้งั้นเหรอออ ห๊าาาาา?”

 

–มารีตะโกนด้วยภาษาหยาบคาย

 

ดูเหมือนว่าสารวัตรทหารจะมารวมตัวกันเพื่อจับเธอไว้

 

“กรุณาใจเย็นๆก่อน!”

 

“เราได้รับอนุญาตจากสถาบันการทหารสำหรับเรื่องนี้!”

 

“เรากำลังตรวจสอบข้อแก้ตัวของเขาแค่นั้นเอง!”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมจึงหันไปหานายพลจัตวาตรงหน้า

 

“นี่มันเป็นการตัดสินใจส่วนตัวของคุณที่คิดว่าผมเป็นผู้ต้องหาใช่ไหม?”

 

“ไม่หรอก…ก็นะ ถ้ามองจากมุมมองของคนนอกมันก็เป็นแบบนั้น”

 

เพียงเพราะผมประกาศตัวเองเป็นศัตรูกับครอบครัวเบิร์กลีย์ ผมจึงเป็นคนทำงั้นสิ?

 

ผมเกลียดการถูกกล่าวหาผิดๆ  

 

ผมจำได้ว่าตอนที่ผมหย่าร้างในชีวิตก่อนหน้า ผมถูกทำให้เป็นคนร้ายเพียงฝ่ายเดียวจากข้อกล่าวหาผิดๆนั่น

 

มีคนใหม่ปรากฎตัวที่นอกห้อง

 

นั่นคือเทีย ที่เพิ่งเป็นนักเรียนปีสี่ที่สถาบันการทหาร  

 

“ยัยฟอสซิลคร่ำครึ! ท่านเลียมอนุญาตให้คุณรับใช้เคียงข้างเขา แต่คุณยังปล่อยให้เขาถูกกักขังในที่แบบนี้?! อย่างที่ฉันคิดไว้ เราไม่ต้องการหินผุๆที่ไร้ประโยชน์อย่างคุณ!”

 

“ยัยก้อนเนื้อสับ!”

 

ผมคิดว่าเธอมาช่วย แต่ดูเหมือนว่าเธอมาที่นี่เพื่อต่อสู้กับมารี

 

จากเสียงที่ผมได้ยินจากนอกประตู ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาทะเลาะกัน  

 

“คุณทั้งสองคนหยุดได้แล้ว!”

 

“เรียกกำลังเสริมด่วน!”

 

“เรียกพวกครูฝึกมา!”

 

สารวัตรทหารอยู่ในความโกลาหล ในขณะที่นายพลจัตวากำลังกุมใบหน้าด้วยมือขวาพลางถอนหายใจ

 

ผมไม่สนหรอกว่าพวกเขาทะเลาะกันแค่ไหน แต่พวกเขาจะไม่มาช่วยผมจริงๆงั้นเรอะ?

 

ผลประเมินที่ผมให้กับทั้งสองลดลงอย่างรวดเร็ว

 

“กูจะทุบฟอสซิลเน่าๆอย่างมึงให้เป็นชิ้น ๆ!”

 

“กูจะสับมึงให้กลับไปเป็นชิ้นเนื้อสับเหมือนเดิมเลยคอยดู!”

 

ประตูถูกกระแทกอย่างแรงจนบิดเบี้ยวและผนังก็แตก

 

พวกเธอทำบ้าอะไรเนี่ย?

 

พวกเธอไม่รู้หน้าที่ในฐานะหัวหน้าและรองอัศวินของผมรึไง?

 

ผมเริ่มโกรธ

 

“ถ้าไม่มีหลักฐานจริงๆ ผมคงต้องขอตัว”

 

ขณะที่ผมยืนขึ้นและพูดอย่างนั้น นายพลจัตวาก็พยายามจะรั้งตัวผมไว้

 

“หยุดก่อน!”

 

“ไม่… ไว้ครั้งหน้าถ้าคุณมีหลักฐาน”

 

ขณะที่ทั้งภายในและภายนอกห้องสอบสวนเริ่มส่งเสียงดัง เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารก็บุกเข้ามาทางประตูในขณะที่หอบหายใจ

 

“ฯพณฯท่าน! เราพบหลักฐานแล้ว!”

 

“โอ้?! ทำได้ดีมาก! ท่านเคานต์ตอนนี้คุณไม่สามารถหลบหนีได้แล้ว!”

 

ขณะที่นายพลจัตวาพยายามจับกุมผม เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารก็ส่ายหัว

 

“ไม่ครับ ท่านเข้าใจผิดแล้ว หลักฐานมาจากห้องนักเรียนนายร้อยที่ตายแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะลักลอบนำเข้ายาพิษคำสาปดวงดาว”

 

“…อะ-อะไรนะ! ติดต่อสำนักงานใหญ่ และอพยพนักเรียนนายร้อยทั้งหมดออกจากอาคารเรียนทันที!”

 

เขาลืมการจับกุมผมโดยสิ้นเชิง และเริ่มตื่นตระหนก

 

ยาพิษคำสาปดวงดาว… เหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด มันเหมือนกับการสาปแช่งจากความขุ่นเคืองของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก

 

มันจะฆ่าคุณอย่างแน่นอนถ้าคุณกินเข้าไป

 

คนจากตระกูลเบิร์กลีย์ งี่เง่าแค่ไหนที่จะกินอะไรแบบนั้นลงไป?

 

◇ ◇ ◇

 

ห้องเก็บศพ

 

มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยความเจ็บปวด เขาเป็นคนที่พยายามจะลอบสังหารเลียม

 

ไกด์มาที่ห้องเก็บศพ มองไปที่ชายคนนั้นและทำหน้ารังเกียจ

 

“…ความคิดที่จะฆ่าเขาด้วยคำสาปก็ไม่เลวนักหรอก”

 

หากการลอบสังหารสำเร็จ ไกด์อาจจะผิดหวังนิดหน่อย แต่เขาก็ยินดีถ้าเป็นแบบนั้น

 

แต่ผลที่ได้คือความล้มเหลว

 

เมื่อตรวจพบอันตรายจากจิตสังหาร คุคุริจัดฉากกลับสถานการณ์และให้ผู้วางยาถูกยาพิษนั้นแทน

 

“อย่างน้อยคุณก็มีความเกี่ยวข้องกับเลียม ทุกสิ่งที่คุณรู้สึก ความทุกข์ทรมานและความสิ้นหวังทั้งหมดของคุณจะกลายเป็นพลังของฉัน”

 

หลังจากที่ไกด์เอามือออกจากใบหน้าของชายคนนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นท่าทางที่สงบ

 

ความผูกพันระหว่างไกด์กับเลียมนั้นแข็งแกร่งมากจนอารมณ์เชิงลบใดๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเลียมไม่สามารถซึมซับได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

ในทางกลับกันยังหมายถึงหากมีความเกี่ยวข้องกับเลียมเพียงเล็กน้อยก็เพิ่มการดูดซึมอารมณ์เชิงลบอย่างมาก

 

ไกด์เพลิดเพลินกับอารมณ์ของชายคนนั้นราวกับว่าเขากำลังดื่มไวน์คุณภาพสูง

 

“มันเยี่ยมมาก…ความรู้สึกของคุณผสมกับความแค้นของการถูกทำลายล้างดาวเคราะห์ทั้งดวงนั้นน่าพอใจ  

แม้คุณจะเป็นคนโง่และฉันไม่รู้จักชื่อของคุณ แต่ฉันสัญญาว่าจะใช้พลังที่คุณมอบให้ฉันมานี้อย่างเต็มที่”

 

หลังจากฟื้นกำลัง ปากของไกด์ก็ยกขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

 

“ฉันฟื้นพลังขึ้นมาได้ไม่น้อยด้วยสิ่งนี้ เพื่อลากเลียมลงนรกฉันอาจจะต้องเตรียมการไว้ ซักสองสามอย่าง”

 

เลียมเป็นคนแรกที่ได้ทรมานเขาอย่างเจ็บแสบขนาดนี้

 

ไกด์จึงตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแก้แค้น  

 

เพราะความประมาททำให้เขาทำพลาดหลายครั้งจนกระทั้งตอนนี้

 

ตัวเขาเองนั้นคิดว่าเลียมเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีนัยสำคัญ มันทำให้เขาได้รับผลกระทบจากความประมาทมาจนถึงวันนี้

 

“ฉันต้องรวบรวมศัตรูของเขา ฉันต้องวางแผนเรื่องนี้ให้ละเอียด แล้วเขาก็จะเสร็จฉัน—!”

 

ไกด์หายตัวไปจากห้องด้วยเสียงหัวเราะ

 

◇ ◇ ◇

 

ณ พระราชวังของจักรวรรดิ

 

นายกรัฐมนตรีรู้สึกโกรธจัดเมื่ออ่านรายงานจากสถาบันการทหาร

 

ลูกน้องที่อยู่รอบตัวเขาตัวสั่นด้วยความกลัว

 

“…การครอบครองยาพิษคำสาปดวงดาวโดยไม่ได้รับอนุญาต มันต้องได้รับโทษแบบไหน?”

 

เมื่อซักถามลูกน้อง นายกรัฐมนตรีสงสัยว่าการลงโทษแบบใดถึงจะเหมาะสม

 

ปัญหาของเรื่องนี้คือ ฝ่ายที่กระทำความผิดนั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเบิร์กลีย์

 

การลงโทษพวกเขาตามปกติจะไม่ได้แก้ปัญหา

 

เมื่อคำนึงถึงสถานะของพวกเขา

 

“โดยปกติ โทษประหารชีวิตทั้งบ้านของพวกเขาน่าจะเหมาะสม แต่บ้านหลังหนึ่งเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของตระกูลเบิร์กลีย์เท่านั้น”

 

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มของขุนนางยศบารอน แต่บ้านโดยรวมทั้งตระกูลของพวกเขานั้นมีอำนาจมากในหมู่ขุนนางไม่แพ้ดยุค

 

มันเป็นการรวมตัวกันของบ้านหลายหลัง แม้ว่าจะลงโทษหนึ่งในนั้น มันก็เหมือนกับการตัดหางของจิ้งจก  

 

การจัดการกับตระกูลเบิร์กลีย์ – ไม่สิ การจัดการแคชมิโร่นั้นแทบเป็นไปไม่ได้

 

พวกเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไรน่ะเหรอ?  

นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเป็นผู้จัดหาน้ำยาอีลิกเซอร์ที่มีความเสถียรสูงเพียงรายเดียวของจักรวรรดิ พวกเขายังได้รับความโปรดปรานมากมายจากอดีตจักรพรรดิ

 

พวกเขาเข้าเฝ้าอดีตจักรพรรดิและส่งมอบน้ำยาอีลิกเซอร์ เพื่อให้อดีตจักรพรรดิทรงปกปิดการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งหมดเป็นการตอบแทน  

 

ก่อนที่จะรู้ตัว พวกมันก็โตเกินกว่าที่จะจัดการได้ ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องปวดหัวอย่างหนัก

 

เขาต้องบดขยี้ตระกูลเบิร์กลีย์เพื่อความยุติธรรม แม้ว่านั่นจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของจักรวรรดิก็ตาม

 

พวกเขามี อิทธิพลมากขนาดนั้น

 

“หากมีเพียงแค่นี้ มันยังไม่เพียงพอจะเข้าไปลากคอของแคชมิโร่ลงมาได้”

 

“-ครับ…”

 

“นี่เป็นปัญหาจริงๆ”

 

นายกรัฐมนตรีคาดหวังกับเลียมไว้มากเพราะเขารู้ว่าเลียมมีอำนาจที่จะเอาชนะสถานการณ์นี้ได้  

 

หากทางจักรวรรดิเคลื่อนไหวเอง พวกเขาจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ต้องเป็นเรื่องใหญ่จริงๆและกว่าจะดำเนินการก็ช้ามาก

 

และเมื่อพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว ก็ยากที่จะทำให้พวกเขาหยุด

 

เพราะมันยากสำหรับพวกเขาที่จะลงมือ สถานการณ์ต้องนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิเท่านั้น

 

เหล่าลูกน้องพยายามรายงานเรื่องอื่น

 

“ท่านรัฐมนตรี เนื่องจากเราเพิ่งเติมสินแร่หายากของเราไปเมื่อเร็วๆนี้ กองทัพจึงขอกำลังเสริมไปยังชายแดน แทนที่กองกำลังที่เสียไป”

 

“…สิ่งที่พวกเขาขอมันเป็นไปไม่ได้”

 

จักรวรรดิไม่ใช่ประเทศเดียวในอวกาศ

 

มีประเทศเพื่อนบ้านอยู่ติดกับพวกเขา และแม้ว่าคุณจะบอกว่ามีระยะห่างระหว่างพวกเขาค่อนข้างมาก  

แต่พวกเขาก็ยังมีทั้งการค้าขายและข้อขัดแย้งระหว่างกัน

 

โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขามีกองทัพประจำการอยู่ที่ชายแดนเพื่อเสริมการป้องกันของตนเอง

 

บางครั้งพวกเขาก็รุกรานและพิชิตดินแดนของศัตรู

 

เพราะขนาดที่ใหญ่โตของจักรวรรดิ นั่นหมายความว่า พวกเขาจะมีพรมแดนที่ต้องป้องกันเป็นบริเวณกว้าง ทำให้ยังมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งอยู่เสมอ  

 

ทรัพยากรถูกใช้เร็วกว่าที่พวกเขาจะสามารถเติมเต็มได้

 

และจำเป็นต้องใช้โลหะหายากในส่วนสำคัญของยานรบ

 

ซึ่งมันก็สามารถใช้โลหะอื่นทดแทนได้ แต่เนื่องจากประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  

ทำให้มีการขอเบิกโลหะหายากจำนวนมากสำหรับยานรบในแนวหน้า

 

กองทัพได้รับรายงานมาว่าเลียม ได้ขายโลหะหายากจำนวนมากให้กับจักรวรรดิ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อขอกองหนุนเพิ่มเติม

 

นายกรัฐมนตรีมองผลลัพธ์จากสงครามครั้งล่าสุด

 

“เรากำลังถูกกดดันจากหลายฝ่าย”

 

ลูกน้องคนหนึ่งอธิบาย

 

“มีเหตุผลหลายอย่าง แต่ฉันเชื่อว่าเหตุผลหลักคือทรัพยากรไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ มีหลายกรณีที่กองยานลาดตระเวนถูกเพิ่มขนาดให้ใหญ่เกินความจำเป็น”

 

กองยานลาดตระเวน-

 

พวกเขาเป็นกองกำลังสำคัญที่ปกป้องอาณาเขตของจักรวรรดิ และในหมู่พวกเขามีกองยานที่เตรียมโดยขุนนางโดยตรง

 

กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อขุนนางไม่ต้องการอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อื่น กลายเป็นผู้บัญชาการกองยานที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นเองหลังจากสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการทหาร

 

บางครั้งในหมู่พวกเขาก็จัดเตรียมกองยานที่ไม่ได้มาตรฐานและติดตั้งอุปกรณ์ล้าสมัย เพื่อที่พวกเขาจะได้ย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่ปราศจากความขัดแย้ง ซึ่งพวกเขาสามารถเกียจคร้านได้

 

ในกรณีนั้น มีแต่จะสร้างความสิ้นเปลืองในการเลี้ยงดูคนเหล่านี้เพิ่มขึ้น

 

บางคนก็ถูกกองทัพทอดทิ้งจนกลายเป็นโจรสลัด กลายเป็นปัญหาที่ต้องจัดการอย่างรวดเร็ว – แต่พวกเขาไม่มีงบประมาณหรือกำลังพลพอในการทำเรื่องเช่นนั้น

 

“ปวดหัวอะไรแบบนี้นะ การจัดระเบียบกองทัพใหม่มันต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่เราไม่สามารถจ่ายได้”

 

การยุบหน่วยของพวกเขาไม่ได้แก้ไขทุกอย่าง มันยังมีค่าใช้จ่ายในการจัดการกับยุทโธปกรณ์ และการรับสมัครหรือโยกย้ายบุคลากรเพื่อมาแทนที่อีก

 

มีกองยานลาดตระเวนจำนวนมากที่ไม่ได้มาตรฐานกองทัพ และทหารที่ประจำการก็ไม่ได้ฝึกอบรมอย่างเหมาะสมอีกด้วย

 

กองยานที่ไม่ได้ฝึกซ้อมเป็นประจำจะสูญเสียทักษะไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

 

อำนาจของจักรวรรดินั้นมากมายมหาศาล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจัดการทุกอย่างได้

 

“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ”

 

นายกฯ เครียดกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด

 

————

 

ไบรอัน (´;ω;`) “เจ็บปวด เห็นอัศวินของเราเป็นแบบนั้น… มันเจ็บปวด”

 

———–

สนับสนุนผู้แปลได้ที่นี่นะครับ กสิกร 475-2-65694-8 เมือง บ.

(WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire!

(WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire!

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset