(WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! 34

ตอนที่ 34

ลูกน้อง(เบ๊)

 

สามเดือนแล้ว ตั้งแต่เข้าเรียนชั้นประถมศึกษา

 

มันผ่านไปเพียงพริบตาจนผมพึ่งสังเกตว่า-

 

-นี่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?

 

ผมกำลังไตร่ตรองว่าสถานที่นี้แปลกแค่ไหนเมื่อผมพักผ่อนในหอพักของตัวเอง

 

“…ชั้นประถมศึกษามันง่ายเกินไป ผมไม่จำเป็นต้องส่งเงินบริจาคมาด้วยซ้ำ …ไม่สิมันแค่ช่วยให้ผมจะไม่ตกเป็นเป้าของศาสตราจารย์จอห์นแค่นั้นเหรอ?”

 

เขาเป็นครูที่เข้มงวด แต่เขาไม่เคยโกรธหรือดุผมเลย

 

นอกจากนั้น เขาก็แค่ปฏิบัติกับผมเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ

 

ตื่นเช้า ออกกำลังกายเบาๆ เรียน ฝึกศิลปะการป้องกันตัว แล้วกลับมานอนหอในตอนกลางคืน

 

คนอื่นๆ ยังคงบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว มันง่ายมากจนผมเริ่มรู้สึกว่ามันแปลก

 

อย่างแรกเลย การเรียนในชั้นเรียนเป็นเรื่องง่ายมาก ผมได้ศึกษาหัวข้อเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วในแคปซูลการศึกษา

 

ในขณะที่การฝึกทางกายภาพก็เหมือนกับการยืดเส้นยืดสาย ซึ่งร่างกายที่แข็งแกร่งของผมมันยังไม่ทันรู้สึกเหนื่อยหรืออะไรเลย

 

—ผมไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้

 

“นี้มันง่ายเกินไป…จนผมคิดว่านี่จะไม่เป็นไรจริงๆเรอะ?”

 

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมในฐานะลอร์ดที่ชั่วร้ายที่ร่างกายจะถูกฝึกฝนจนแข็งแกร่ง

 

‘ความรุนแรงนั้นไม่มีประโยชน์’

 

‘คุณแค่มีการศึกษาที่ดีเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในสังคม’

 

เรื่องราวดังกล่าวมันก็แค่เรื่องโกหก

 

แน่นอน ความรุนแรงอาจถือได้ว่าไร้ประโยชน์ในสังคมปกติ  

 

แต่ผมได้เรียนรู้ว่า ความรุงแรงมีความสำคัญเพียงใดในชีวิตก่อนหน้านี้

 

คนเลวใช้ความรุนแรง ในขณะที่คนดีทำได้เพียงแค่เกรงกลัวพวกเขา

 

ความรุนแรงเป็นอำนาจอีกรูปแบบหนึ่ง

 

เพราะผมฝึกฝนตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแบบนั้น ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มีหวังความสามารถของผมได้ขึ้นสนิมแน่ๆ

 

“ไม่ดี. นี้ไม่ดี ผมคิดว่าพวกเขาจะเริ่มการฝึกจริงๆจังๆหลังจากผ่านมาสามเดือน แต่ไม่มีวี่แววของการเปลี่ยนแปลงเลย”

 

ตอนแรกผมคิดว่าพวกเขากำลังรอให้เราคุ้นเคยกับการฝึก แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อหาของการฝึกดังกล่าวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

 

ปริมาณการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงระดับเส้นผมบางๆ

 

ผมควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี?

 

ทันใดนั้นผมก็ได้รับการติดต่อจากที่บ้าน

 

ผู้ที่โทรมาคือไบรอัน

 

…ทำไมถึงไม่ใช่อามากิกันนะ?

 

ขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียงและรับสาย สิ่งที่ปรากฏเป็นภาพของไบรอันที่กำลังร้องไห้เหมือนปกติ

 

“ท่านเลียม ท่านสัญญากับกระผมว่าจะโทรกลับมาที่บ้านเป็นประจำนี่นา!”

 

เขาไม่โอเวอร์แอคติ้งเกินไปหน่อยเหรอ?

 

“อย่าร้องไห้เพียงเพราะผมลืมติดต่อคุณตามกำหนด… หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?”

 

“ไม่ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีที่นี่ กระผมแค่เป็นห่วงคุณมากกว่า”

 

เขาไม่เชื่อใจผมเหรอ?  

 

“ผมก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”

 

“เป็นเรื่องที่ดีที่ได้ยินแบบนั้นครับ โอ้ และหัวหน้าสาวใช้ก็แสดงความกังวลมาครับ คุณช่วยบอกกระผมได้ไหมว่าความสัมพันธ์ของคุณกับเจ้าชายวอลเลซในตอนนี้เป็นอย่างไร?”

 

“วอลเลซ? อ่อ…ผู้ชายคนนั้น ผมคิดว่าเราเข้ากันได้ดี”

 

“…ฮะ?”

 

ไบรอันตกตะลึง

 

เจ้าชายวอลเลซมีภูมิหลังที่ค่อนข้างลำบาก

 

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้คนพยายามรักษาระยะห่างจากเขาเสมอ แต่เมื่อมองดูเขา ผู้คนก็ยังหลีกเลี่ยงเขาอยู่ดีเพราะปัญหาด้านบุคลิกภาพ

 

◇ ◇ ◇

 

วันรุ่งขึ้นในโรงอาหาร

 

ในที่สุดปีแรกก็เริ่มชินกับชีวิตในโรงเรียนประถม

 

ในโรงอาหาร ทุกคนเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม

 

โดยส่วนตัว ผมยังคงอยู่กับเคิร์ต สหายผู้ชั่วร้าย

 

“ไบรอันโทรหาผมตลอดเวลาและไม่หยุดถามซักทีว่าชีวิตในโรงเรียนเป็นอย่างไร”

 

“เขาเป็นพ่อบ้านของคุณไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติกับเขาที่คอยตรวจสอบคุณเป็นประจำ”

 

“ผมไม่มีอะไรจะพูดน่ะสิ ชีวิตที่นี่น่าเบื่อมาก สิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่สามารถพูดได้คือการที่ยังไม่พบวิธีที่จะแอบออกไปจากที่นี่”

 

ผมได้ตรวจสอบกำแพงสูงที่สร้างขึ้นรอบๆ บริเวณโรงเรียนโดยหวังว่าจะหาทางออกไปเล่นในเมืองได้

 

ถ้าผมต้องการออกไปเล่นข้างนอกในช่วงวันหยุด จำเป็นต้องมีเส้นทางหลบหนี

 

นี่เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้โดยเพียงแค่ติดสินบนคนเฝ้าประตู แต่ผมกำลังมองหาเส้นทางหลบหนีเพราะผมมีเวลาว่างมากเกินไป

 

“เลียม… ฉันมองไม่ออกจริงๆว่าคุณเป็นคนจริงจังหรือไม่จริงจังกันแน่”

 

“ถ้าคุณมองแต่ภายนอก ผมก็จริงจังพอๆ กับคุณนั่นแหละ”

 

“…งั้นเหรอ”

 

จากคำชมเพียงเล็กน้อย ลอร์ดผู้ชั่วร้ายที่จริงจังอย่างเคิร์ทก็ดูจะเขินอายนิดหน่อย

 

ผมหันกลับไปทานอาหาร

 

รายการเมนูส่วนใหญ่ที่เสิร์ฟในโรงอาหารเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

 

รสชาติก็ไม่เลว ผมค่อนข้างชอบมัน

 

แต่มันเจ็บปวดถ้าเทียบกับมื้ออาหารสุดหรูที่ผมเคยทานทุกวันที่บ้าน

 

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากโต๊ะอื่น

 

-มันคือวอลเลซ

 

“เฮ้ ท่านหญิง ทำไมเราไม่กินข้าวด้วยกันล่ะ”

 

เขายิ้มขณะวางถาดอาหารลงบนโต๊ะที่กลุ่มเด็กผู้หญิงนั่งอยู่และนั่งลงไป

 

“ มีบ้านใดที่กำลังมองหาลูกเขยเพื่อเป็นเจ้าบ้านหรือไม่? หรือมีใครในพวกคุณที่แยกตัวจากบ้านพ่อแม่เพื่อเป็นอิสระและมองหาเจ้าบ่าวบ้างไหม?”

 

สายตาของสาวๆ หรี่ตามองไปยังวอลเลซอย่างรังเกียจ

 

“ฉันเป็นลูกสาวคนที่สองของบ้าน”

 

“พี่ชายของฉันเป็นทายาทของบ้านฉัน”

 

“ฉันกำลังจะไปหาน้องชายคนเล็กเร็วๆ นี้”

 

ผู้หญิงคนที่สาม… ดูเหมือนเรื่องนั้นมันคนละเรื่องไม่ใช่เรอะ?

 

แต่ดูเหมือนวอลเลซจะยอมรับคำอธิบายของพวกเขา

 

“โอ้ น่าเสียดายจริงๆ ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย”

 

หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันทีแล้วก็ออกไปคุยกับผู้หญิงคนต่อไปที่เขาเห็น

 

“คุณที่อยู่ตรงนั้น! ครอบครัวของคุณคิดอย่างไรกับการมีลูกเขย”

 

เมื่อมองไปที่วอลเลซ ผมก็อดคิดไม่ได้-

 

“–เขาดูไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิด”

 

วอลเลซผู้ซึ่งทำลายภาพลักษณ์เจ้าชายของผมไปอย่างสิ้นเชิง ยังคงพยายามไปจีบเด็กผู้หญิงต่อไป

 

เขากำลังคุยกับเด็กผู้หญิงจากอาคารเรียนหลังแรก

 

“เจ้าชายวอลเลซก็มีเรื่องยุ่งยากของตัวเองเช่นกัน”

 

“เรื่องมันเป็นยังไง?”

 

เคิร์ทอธิบายให้ผมฟังเกี่ยวกับเส้นทางที่เหลืออยู่ของเจ้าชายที่เป็นส่วนเกิน

 

“พูดตามตรง เจ้าชายทั้งหมดหลังจากอันดับที่ร้อยดูเหมือนจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนั้น ตอนอายุยังน้อยพวกเขายังได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม แต่หลังจากนั้นฉันได้ยินมาว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายยิ่งกว่าขุนนางระดับต่ำซะอีก”

 

“พวกเจ้าชายก็ดูลำบากเหมือนกัน”

 

“พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแต่งงานในบ้านหลังอื่น ถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรเลย ในที่สุดพวกเขาก็จะถูกบังคับให้เป็นข้าราชการหรือทหาร บางคนมีงานทำในสาขาอื่น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายวอลเลซจะไม่ใช่คนแบบนั้น”

 

มีเจ้าชายมากมายที่ลดบทบาทตัวเองเป็นหลายอาชีพ เช่นศิลปิน

 

แต่วอลเลซเลือกความเป็นอิสระ

 

“ดูเหมือนเขาจะอยากเป็นนายของตัวเอง”

 

“การพึ่งพาตนเองเป็นเรื่องยากรึไง? เขาแค่ให้จักรวรรดิสนับสนุนเขาจนกว่าจะถึงตอนนั้นไม่ได้เหรอ?”

 

“ความเป็นอิสระไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มา ยิ่งกว่านั้นสำหรับคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเขา เขาทำด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ และเจ้าชายวอลเลซก็เข้าใจเรื่องนั้นดี”

 

– นี่เป็นเรื่องที่เจ้าชายจักรวรรดิต้องเจองั้นเหรอ?

 

เพื่อให้ได้อิสรภาพ เขาจึงจีบเด็กผู้หญิงไปทั่ว ผมทำได้แค่หัวเราะกับเรื่องนั้น

 

เมื่อผมมองไปที่วอลเลซ เขากำลังหยิบถาดออกมา ผมคิดว่าเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้เช่นกัน  

 

เห็นได้ชัดว่ามีเด็กผู้หญิงสองสามคนได้รับการทาบทามจากเขาสองถึงสามครั้ง และพวกเขาก็เริ่มมีปัญหามากขึ้นว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร

 

ผมจึงเรียกวอลเลซที่กำลังไหล่ตกอยู่

 

“เฮ้ วอลเลซ มานี่หน่อย”

 

วอลเลซหันมามองมาทางผมก่อนจะพูด

 

“คุณต้องการอะไร? ฉันไม่มีงานอดิเรกจีบผู้ชายหรอกนะ”

 

จากความคิดเห็นนั้น ใบหน้าของเคิร์ทดูแดงก่ำเล็กน้อย

 

เขาดูหงุดหงิด

 

“เลียม คุณเรียกเขามาทำไม?”

 

ผมหัวเราะเมื่อตอบเคิร์ตที่กำลังหมดความอดทน

 

“เพราะเขาดูน่าสนใจ… เฮ้ วอลเลซ ฟังนะ ผมไม่สนใจร่างกายของคุณหรอก”

 

วอลเลซที่ดูไม่เต็มใจ ก็เดินมาที่โต๊ะของเรา

 

“คุณค่อนข้างหยาบคาย ผมคิดว่าคุณเป็นนักเรียนตัวอย่าง แต่ปากคุณเสียนิดหน่อย”

 

ผู้ชายคนนี้เป็นคนงี่เง่า

 

เหมือนเขาจะคิดจริงๆว่าเราเป็นนักเรียนตัวอย่าง

 

เคิร์ทเป็นคนจริงจัง ดังนั้นบางทีเขาอาจจะใช่

 

“อย่างน้อยเราก็ดีกว่าคนที่ล้มเหลวในการไล่ตามกระโปรงสาวๆ”

 

“เอ่อ… ไอ้บ้าเอ้ย!”

 

วอลเลซขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไร แต่ก็คิดอะไรไม่ออกในตอนนี้

 

“หุบปากไปเลย… ฉันกำลังทำสิ่งนี้เพื่ออนาคตของฉัน นั่นคือเหตุผลที่ฉันทุ่มเทอย่างหนักแม้จะต้องอับอายก็ตาม”

 

“คุณดูพยายามมาก เหมือนกำลังสนุกเลยนี่?”

 

“…ย้อนกลับไปในวังชั้นใน มีโอกาสไม่มากนักที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิง อย่างมากที่สุดก็คงมีแม่และสาวใช้ หรือนางสนมของพ่อฉัน ที่เหลือเป็นพี่สาวที่เกี่ยวพันธ์ทางสายเลือด”

 

ดูเหมือนเขาจะผ่านอะไรมามากมาย

 

แต่เคิร์ทก็นึกขึ้นได้

 

“หืม… แต่ก็มีพวกสาวใช้นี่?”

 

เมื่อเขาพูดอย่างนั้น วอลเลซก็ตอบ

 

“…พวกเขารับใช้แม่ ไม่ใช่ฉัน แม่ของฉันก็ไม่อนุญาตให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา”

 

“อยากเป็นอิสระขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

เมื่อผมถาม วอลเลซตะโกนว่า “แน่นอน ฉันต้องได้รับอิสระ!”

 

แม้ว่าสายตารอบๆตัวจะเริ่มจับจ้องมาที่เรา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

 

ขณะเดียวกันโรเซตต้าก็เดินผ่านพวกเราไป

 

อย่างไรก็ตาม วอลเลซไม่ได้แม้แต่จะมองไปทางเธอ

 

“หืม? คุณจะไม่จีบโรเซตต้าดูหน่อยเหรอ?”

 

สำหรับคำถามของผม วอลเลซก็ทำหน้าจริงจัง

 

“- ผู้หญิงคนนั้น…ฉันไม่คิดว่าเธอสามารถเลี้ยงดูฉันได้”

 

…ผู้ชายคนนี้ สามารถพูดคำแบบนั้นอย่างมั่นใจได้อย่างไร?

 

“อย่างแรก เป้าหมายของฉันคือการเป็นอิสระ”

 

“ทำไมถึงเป็นอิสระ”

 

วอลเลซดูเหมือนจะต้องการเป็นคนที่พึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์

 

“อาจจะเป็นขุนนางในราชสำนักหรือระดับจังหวัดก็ได้ แต่ฉันอยากอยู่ด้วยกำลังของตัวเอง คุณอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่การมีสถานะเป็นเจ้าชายนั้นไม่สะดวกจริงๆ”

 

“คุณไม่สามารถเรียกตัวเองว่าอิสระได้หรอกนะ หากคุณพึ่งพาผู้อื่นเพื่อให้ได้สถานะนั้น”

 

“ฉันรู้น่า! แต่นั่นเป็นทางเลือกเดียวของฉันที่นี่ ถ้าฉันพยายามจะเป็นนายทหารหรือทหาร สิ่งที่รอฉันอยู่ก็คือชีวิตแห่งการเข่นฆ่า มันไม่ใช่แนวฉันเลย”

 

เคิร์ททำหน้างงๆ ว่าไม่รู้จะพูดอะไร

 

“ฉันเดาว่าฝ่าบาทมีปัญหาพอสมควร”

 

“ถูกต้อง…คุณอยากเป็นผู้อุปถัมภ์ฉันไหมล่ะ?”

 

“โว้ๆ นั่นมันมากเกินไป… ขอโทษนะ แต่ฉันจะต้องปฏิเสธ”

 

“ทำไมล่ะ?!”

 

เคิร์ทไม่ใช่คนดี ที่จะเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายที่ไร้ประโยชน์

 

อย่างไรก็ตามเขาเป็นเจ้าชายที่น่าสนใจจริงๆ

 

การต่อสู้ดิ้นรนของเขาในการพึ่งพาตนเองเป็นเรื่องที่น่าขบขันในการชม

 

ผมเรียกวอลเลซ

 

“ทำไมคุณไม่เข้าร่วมบ้านขุนนางเล็กๆหรือราชการล่ะ?”

 

เขาดูกังวลใจ  

 

“โดยส่วนตัวแล้ว ฉันก็โอเคกับเรื่องนั้น แต่ฉันยังเป็นเจ้าชายอยู่ พระราชวังไม่อนุญาตให้ฉันทำอย่างนั้นนี่สิ พวกเขาต้องการให้ฉันเข้าสู่บ้านที่อย่างน้อยก็มียศบารอนหรือสูงกว่า ไม่อย่างงั้นพระราชวังจะไม่อนุญาต”

 

ด้วยตัวเลือกแบบนั้น มันก็เข้าทางผมพอดี

 

นี่มันน่าสนใจไม่ใช่เหรอ?

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของคุณเอง”

 

“เลียม?!”

 

เคิร์ตพยายามจะหยุดผม แต่ผมไม่สนใจเขาและพูดกับวอลเลซ

 

“บ้านเคานต์เบนฟิลด์จะอุปถัมภ์คุณ คุณจะปกครองเหนือเขตแดนบางส่วน ผมจะให้อิสระแก่คุณเอง”

 

วอลเลซตะลึงงัน ยืนขึ้นและจัดเครื่องแบบของเขา

 

“ขอบคุณมาก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันเป็นหนี้คุณแล้ว!”

 

วอลเลซที่ชูแขนสองข้างและตะโกนเสียงดัง เขาดูงี่เง่าจริงๆ

 

คนตลกอย่างเขาดูแล้วน่าสนใจจริงๆ

 

“เลียม คุณต้องคิดให้รอบคอบ การเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายไม่ใช่เรื่องง่าย”

 

เคิร์ทพยายามเกลี้ยกล่อมผม แต่ผมไม่สามารถเอาคำพูดที่พูดไปแล้วกลับคืนมาได้

 

ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกเห็นใจหรือประทับใจในความพยายามของเขา

 

ผมแค่อยากช่วยเขาเพราะเขาน่าสนใจ

 

เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เจ้าชายของจักรวรรดิจะเป็นลูกน้องของผม

 

นั่นก็ดูน่าสนใจไม่ใช่เหรอ?

 

“ผมในฐานะเคานต์ คำพูดของผมคือการตัดสินใจของบ้านแบนฟิลด์ ดังนั้นมันไม่ใช่ปัญหา”

 

“ไม่ แต่-!”

 

ผมหันไปหาวอลเลซที่ดูกังวล

 

“ผมรักษาสัญญาเสมอ ผมจะสนับสนุนความเป็นอิสระของคุณ คุณโอเคกับการเป็นลูกน้องของผมไหมล่ะ?”

 

“น- แน่นอน! อะไรก็ดีกว่าชีวิตคับแคบที่ฉันเคยอยู่แบบในวังชั้นใน! ในฐานะขุนนาง จะเป็นขุนนางผู้น้อยก็ไม่เป็นไร! ฉันแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยกำลังของตัวเอง”

 

ง่ายดายเช่นนี้เอง

 

“ให้ผมจัดการเอง ผมจะเตรียมอาณาเขตให้คุณหลังจากการฝึกของเราสิ้นสุดลง”

 

เคิร์ทดูประหลาดใจขณะจับใบหน้าด้วยมือขวา

 

“เลียม ฉันไม่เข้าใจคุณจริงๆ”

 

ทั้งหมดที่ผมทำคือช่วยเจ้าชายคนเดียวให้พึ่งพาตนเองได้

 

เคิร์ท คุณกังวลเรื่องนี้มากเกินไปแล้ว

 

◇ ◇ ◇

 

เมืองหลวงของจักรวรรดิ

 

ข่าวลือเกี่ยวกับวอลเลซมาถึงนายกรัฐมนตรีที่ทำงานอยู่ในวัง

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้นำเสนอรายงานแก่เขา

 

“เคานท์ แบนฟิลด์ตั้งตนเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายวอลเลซ”

 

“..ว่าไงนะ?”

 

รัฐมนตรีหยุดมือไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาพูดได้

 

“ท่านเคานท์ได้ประกาศว่าเขาจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายวอลเลซ”

 

เขาละทิ้งสถานะของเขาในฐานะเจ้าชาย

 

ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการสละสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์

 

เลียมสาบานว่าจะสนับสนุนความเป็นอิสระของวอลเลซในอนาคต

 

การที่เลียมเป็นผู้อุปถัมภ์ของเขานั้นดูไม่มีประโยชน์อะไรเลย

 

มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่วอลเลซจะตอบแทนอะไรเลียมได้

 

เพราะแบบนั้นจึงไม่มีขุนนางคนไหนคิดจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของวอลเลซ

 

“ความตั้งใจของเคานต์คืออะไรกันแน่?”

 

“แต่อย่างน้อยที่สุด สิ่งนี้จะทำให้เจ้าชายองค์หนึ่งสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างปลอดภัย”

 

“การเป็นอิสระไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาควรจะทำได้ด้วยการสนับสนุนจากเคานต์ ดูแล้วคงไม่น่ามีปัญหาอะไรในอนาคต แต่ว่าเลียมทำไปเพื่ออะไรล่ะ?”

 

นายกรัฐมนตรีกำลังอ่านเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งเกินไป

 

นี่เป็นผลมาจากการประเมินเลียมไว้สูงในมุมมองของเขา

 

(ถ้าไม่นับตัวเคานท์เอง บ้านเบนฟิลด์ยังขึ้นชื่อว่าไม่น่าไว้วางใจ เขาทำอย่างนี้เพื่อแสดงว่าเขามีส่วนสนับสนุนจักรวรรดิรึเปล่านะ)

 

นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกสนับสนุนวอลเลซ บุคคลที่ไม่ใช่ทั้งยาพิษหรือยารักษาโรค?

 

หากเป็นแบบนั้น นายกรัฐมนตรีก็เห็นแล้วว่าเลียมจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้นี่เอง

 

(ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเขียนทับความอัปยศที่กินเวลาถึงสองชั่วอายุคน แต่นี่อาจเป็นขั้นตอนแรกในการได้รับความไว้วางใจจากสังคมชั้นสูง)

 

ถ้าวอลเลซสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างปลอดภัย เลียมจะทำให้บ้านเบนฟิลด์ถูกมองว่าน่าเชื่อถือมากขึ้นในหมู่ขุนนาง

 

นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่านั่นคือเหตุผล และตื่นเต้นรอผลที่ไม่คาดคิดนี้

 

———

 

ไบรอัน (´;ω;`) “มันเจ็บปวด ลอร์ดเลียมแอบกลายเป็นผู้อุปถัมภ์ของเจ้าชายโดยไม่ปรึกษาเรานั้น…มันเจ็บปวด ท่านเลียม! โปรดปรึกษาความคิดเห็นของเราก่อนที่จะทำสิ่งนี้ด้วย!”

(WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire!

(WN) I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire!

Score 10
Status: Completed

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset