(WN แปล) Otome Game no Heroine de Saikyou Survival 4

ตอนที่ 4

ตอนที่ 4 พลังเวท

 

“ใครน่ะ !? ออกมานะ !”

 

 ถูกเจอตัวแล้ว !? ชายคนนั้นหันหน้ามาทางนี้ หยิบดาบใหญ่ข้างตัวขึ้น จากนั้นก็พุ่งมาโดยไร้สุ้มเสียง

 

 เพราะย้อนแสงก็เลยเห็นหน้าของชายคนนั้นไม่ชัดเท่าไหร่ แต่จากดวงตาแหลมคมคู่นั้นแล้วบอกได้เลยว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่ 

 

 “สัตว์อสูรเหรอ…  ในเมื่อไม่ยอมออกมาหา งั้นฉันจะไปลากตัวมาเอง”

 

 ชายคนนั้นกล่าวเสียงต่ำแล้วชักดาบใหญ่ ‘บางอย่าง’ ที่แผ่ออกมาจากร่างคน ๆ นั้นทำให้ร่างของฉันหนาวเยือก มือเท้าค่อย ๆ สั่นขึ้นทีละนิด

 

 หรือว่านี่จะเป็นจิตสังหารกันนะ แย่จริง น่าจะถอยตัวออกมาตั้งแต่ตอนโดนถามแล้วแท้ ๆ  ถึงจะมีความรู้ แต่พอได้สัมผัสกับกลิ่นอายอันแข็งแกร่งเป็นครั้งแรกแล้ว หัวใจก็พลันหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง

 

 

 “……”

 

 ใช้กำปั้นทุบขาที่กำลังสั่น จากนั้นก็พลิกหันตัวกลับแล้ววิ่งออกทันที

 

 ยังมีโอกาสหนีพ้นอยู่ อีกฝ่ายมาจากทางที่มีกองไฟ ดังนั้นสายตาจึงน่าจะยังไม่ชินกับความมืด ต่างจากฉันที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด 

 

 ไขว้แขวนป้องกันลูกตาไม่ให้ไปโดนกับพุ่มไม้ ก้มตัวลงต่ำพร้อมวิ่งเข้าป่าในตอนค่ำมืด

 

 “ -! ”

 

 ด้านหลังมีเสียงกิ่งไม้แตกหักจากการเตะพุ่มไม้ ชายคนนั้นกำลังไล่ตามมา เสียงฝีเท้าที่เงียบเชียบช่างขัดกับกลิ่นอายอันแสนทรงพลัง

 

 ผ่อนลมหายใจเพื่อสงบอารมณ์และความตระหนก เหมือนกับตอนที่ปลิดชีพแม่เฒ่า

 

 ตีกระตุ้นขาที่กำลังกรีดร้องแล้วหักเหเส้นทางเป็นมุมฉาก เสียงจากพุ่มไม้ที่ดังขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกถึงความสับสนของชายคนนั้น

 

 จังหวะนั้นก็ถือโอกาสเปลี่ยนเส้นทางอีกรอบ อำพรางเสียงฝีเท้าวิ่งเข้าไปในป่าพร้อม ๆ ไปกับซ่อนตัวที่ใต้ร่มไม้

 

 ถ้าทำถึงขนาดนี้แล้วยังไล่ตามมาอีก แสดงว่าคิดจะฆ่าฉันจริง ๆ

 

 กลิ่นอายที่ชวนให้ใจสะท้านของชายคนนั้นเริ่มทิ้งห่างออกไป ฉันระงับเสียงของตัวเองก่อนจะออกวิ่ง ตอนที่ลดความเร็วลงแล้วอำพรางลมหายใจนั้น พลันได้ยินเสียงแหวกอากาศ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงขวานปักลำต้นไม้ต้นที่ฉันกำลังซ่อนตัวอยู่

 

 “ !? ”

 

 ไม่ได้อยู่ห่างออกไป ชายคนนั้นปิดบังกลิ่นอายของตัวเองเพื่อเข้าใกล้ตำแหน่งที่ฉันอยู่

 

 หลังจากที่ชายคนนี้รู้ตัวว่าพลาดฆ่าฉันไม่สำเร็จก็วิ่งเข้าป่ามาอย่างดุร้าย เร็วมาก !  มิหนำซ้ำร่างกายที่ยังเป็นเด็กของฉันไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือแล้ว

 

 หลังสรุปว่าตัวเองหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ก็เล็งจังหวะที่ชายคนนั้นกำลังเงื้อดาบใหญ่ขึ้นสูง พุ่งเข้าไปใกล้ แล้วเล็งตรงขาที่ดูเหมือนท่อนซุงของชายคนนั้น

 

 “แค่ก !”

 

 แต่ชายคนนั้นก็ใช้ปลายด้ามของดาบใหญ่กระแทกใส่ได้ก่อน

 

 เกิดเสียงของแข็งแตกหัก แล้วก็เสียงตกใจของผู้ชายคนนั้น อากาศจากปอดถูกคายเนื่องเพราะแรงกระแทกที่ได้รับ พร้อมกับที่กระเด็นกลิ้งเข้าไปในป่า ศีรษะเริ่มรู้สึกมัว ๆ ได้ยินเสียงเท้าของชายคนนั้นที่รีบเข้ามาใกล้ และสติของฉันก็ค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่ความมืดมิด

 

   ***

 

 

 “แหม โทษทีนะเจ้าหนู เห็นวิ่งไว ๆ ก็เลยนึกว่าเป็นโคโบลต์จนเผลอไล่ตามไปซะได้”

 

 “…………”

 

 ตอนนี้ฉันกำลังนั่งข้าง ๆ กองไฟกับผู้ชายคนนั้น

 

 โคโบลต์คือสัตว์อสูรระดับต่ำชนิดหนึ่ง มีรูปลักษณ์เหมือนกับสุนัขที่ยืนสองขา ไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตัวอะไรแบบนั้น

 

 เหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นนักผจญภัย และคิดว่าถ้ามีสัตว์อสูรอยู่ที่ทางหลักในเขตแล้วนักเดินทางจะเป็นอันตรายได้ก็เลยไล่ตามมา จากนั้นดูเหมือนเพราะฉันเอาแต่วิ่งไปทั่วก็เลยรู้สึกอยากเอาชนะจึงโจมตีเข้าใส่

 

 “เอานี่ไปกินซะสิ ถึงจะไม่ใช่ของแทนคำขอโทษก็เถอะ”

 

 ชายคนนั้นยื่นเนื้องูมาให้ เป็นเนื้องูที่ลอกหนังตัดเป็นชิ้นแล้วนำไปย่างไฟไว้ตั้งแต่เมื่อครู่

 

 ฉันไม่เคยกินงูมาก่อน แต่เหมือนจะเคยฟังใครซักคนเล่าไว้ว่า พวกเด็กปีสูงที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นทนกับอาหารแย่ๆ ไม่ได้ ก็เลยไปจับงูในป่ามากิน

 

 แถว ๆ นี้มีงูเขียวอยู่เยอะ ซึ่งงูเขียวพวกนี้มีเพียงแค่พิษอัมพาตอ่อน ๆ ไม่ถึงตาย และจะไม่โจมตีสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่าหนูนา เว้นเสียแต่จะเป็นการป้องกันตัว

 

 ตัวฉันในตอนนี้ไม่เกลียดกลัวงูเหมือนกับพวกเด็กผู้หญิงกำพร้าพวกนั้นแล้ว ฉันหยิบไม้ที่เสียบเนื้อมาราวกับถูกเชิญชวนจากกลิ่นของเนื้อย่าง จากนั้นก็เอาเข้าปาก รสชาติจืดชืดและความชุ่มฉ่ำแผ่กระจายไปทั่วปาก

 

 บอกตามตรงว่าค่อนข้างจืดชืดไร้ซึ่งความอร่อย แต่ว่าด้วยความหิว อีกทั้งยังไม่ได้กินอาหารดี ๆ มานาน จึงสวามปามเข้าไปอย่างมูมมาม หลังรับน้ำจากชายคนนั้นมาดื่มแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด

 

 “เอาล่ะ เจ้าหนู เป็นเด็กเป็นเล็กมาทำอะไรที่แบบนี้รึ พ่อแม่อยู่ไหนล่ะ”

 

 “…………”

 

 เพราะฉันตัดผมแล้วเอาหัวคลุกขี้เถ้าไว้ ผู้ชายคนนี้ก็เลยเข้าใจผิดไปว่าฉันเป็นเด็กผู้ชาย 

 

 ผู้ชายคนนี้ แม้จะหน้าดุ แต่ลึก ๆ แล้วก็เป็นคนที่ดี…ไม่สิ น่าจะเรียกว่าใจอ่อนมากกว่า พอเห็นฉันเงียบให้กับถ้อยคำแสดงความเป็นห่วงปกติแล้ว ไม่รู้เพราะคิดว่าฉันเป็นเด็กจรจัดไร้พ่อแม่หรืออย่างไรถึงได้ทอดถอนใจเบา ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

 

 “…ยังเจ็บอยู่เหรอ”

 

 ฉันส่ายหัวเล็กน้อยเป็นการตอบคำถาม

 

 ชายคนนี้มี [ศาสตร์เวทแสง] อยู่ที่เลเวลหนึ่ง และรักษาให้ฉันด้วยการใช้ศาสตร์เวทฟื้นฟู [ฮีล]

 

 ที่บริเวณระหว่างหน้าอกกับไหล่ซ้ายยังเหลือรอยช้ำจาง ๆ อยู่ ลองสัมผัสแล้วยังไม่หายเจ็บ แต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้เลยเสียทีเดียว

 

 

 ศาสตร์เวทแสงเลเวล 1 จะมี ฟื้นฟู [ฮีล] กับ เยียวยา [เคียวร์] โดยการ [ฮีล] จะเป็นการฟื้นฟูพลังกายและปิดบาดบาดแผล ไม่ถึงกับทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้โดยสมบูรณ์

 

 ส่วนการเยียวยาด้วย [เคียวร์] จะเป็นการรักษาบาดแผลให้หายกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่มีประสิทธิภาพต่ำ กว่าจะรักษาจนเสร็จนั้นค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร แถมยังทำให้พลังกายลดลงอีกด้วย

 

 การฟื้นฟูด้วย [ฮีล] นั้น ต่อให้จะอยู่แค่ในระดับเริ่มต้นก็สามารถจัดการกับแผลระดับมีดบาดได้โดยไม่หลงเหลือแผลเป็นเอาไว้ ทั้งฟื้นฟูได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ดังนั้นหากพูดถึงเวทรักษาโดยทั่วไปแล้วก็จะเป็นการฟื้นฟูด้วย [ฮีล] นั่นเอง

 

 

 สำหรับการเยียวยาด้วย [เคียวร์] แล้ว ส่วนใหญ่จะใช้ในกรณีประมาณ เด็กชนชั้นสูงที่ทนความเจ็บปวดไม่ได้ หรือไม่ก็หญิงสาวก่อนออกเรือนที่ไม่อยากเหลือรอยแผลเป็นไว้ ดูเหมือนจะมีกระแสความคิดอยู่ว่า ต่อให้เป็นคนที่ความเข้ากันได้กับ [ศาสตร์เวทแสง] ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนเรียนรู้ เพราะว่าโครงสร้างของศาสตร์เวทชนิดนี้ยุ่งยากมาก

 

 ถ้าใช้ [เคียวร์] ก็คงทำให้รอยฟกช้ำของฉันหายไปได้ในทันที แต่เหมือนชายคนนี้จะใช้ไม่เป็น

 

 มีเรื่องที่อยากจะถามอยู่มาก แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เปิดใจให้ชายคนนี้ จึงได้แต่นั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตอนที่ก้มลงก็ไปเห็นมีดที่ปะทะกับด้ามดาบใหญ่จนหักเมื่อตอนนั้น

 

 “อ๋า… โทษที ดันพลั้งทำมีดนายพังไปซะแล้ว แต่มีดเล่มนั้นไม่เหมาะเอาไว้ใช้สู้หรอกนะ เป็นมีดสั้นที่คุณหนูชนชั้นสูงพกติดตัวเพื่อเอาไว้ใช้ปลิดชีพตัวเองน่ะ ก็คมอยู่หรอกแต่ใบมีดนั้นบาง ถึงขนาดที่ถ้าแทงกระต่ายแล้วไปโดนกระดูกก็บิ่นได้เลยแหละ”

 

 ชายคนนี้พูดลิ้นระรัวราวกับกำลังแก้ตัวเรื่องที่ตนทำมีดพังไป

 

 แต่ก็ไม่ได้คิดจะกล่าวโทษหรืออะไรหรอก ถึงจะลำบากหน่อยถ้าไม่มีมีดก็เถอะนะ เรื่องนี้ฉันเองก็ก็มีส่วนผิดที่พยายามหนีอย่างไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ถ้าไม่ได้มีดนี่ช่วยไว้ฉันก็คงกระดูกหัก และมีโอกาสที่จะฟื้นฟูด้วย [ฮีล] ไม่หายด้วย

 

 คิดดังนั้นแล้วก็ส่ายหัวน้อย ๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่ได้คิดจะโทษอะไร แต่ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะยังติดใจอยู่ จึงหยิบมีดพร้อมปลอกจากที่เอวมาให้

 

 “ใช้นี่แทนซะสิ ถึงจะไม่ใช่ของที่ดีเลิศมาก แต่ฉันเอาไว้ใช้ชำแหละซากสัตว์อสูรน่ะ น่าจะทนพอสมควรเลย”

 

 “………..”

 

 ดึงมีดที่ถูกยัดเยียดให้รับมาออกจากฝัก ถึงจะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็เป็นมีดเหล็กกล้าที่ถูกลับคมมาอย่างดี เป็นมีดคมเดียวที่มีใบมีดยาวราว 20 เซนติเมตร ถึงจะไม่บางเท่ากับมีดอันเก่าเลยทำให้แทงให้เข้าไปลึกยาก แต่ก็คงจะไม่หักบิ่นเมื่อแทงโดนกระดูก

 

 มีดเหล็กกล้าที่ใช้เหล็กซึ่งผ่านการถลุงมาหล่อแล้วลับคมนั้นราคาคงสูงน่าดู ถึงจะเพราะรู้สึกติดค้างอยู่ก็เถอะ แต่ถึงกับยื่นของแบบนี้ให้เด็กจรจัดง่าย ๆ นี่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ไปเลยที่ดันระแวงคนจิตใจดีอย่างนี้

 “…ขอบคุณนะคุณลุง”

 

 “ฉันเพิ่งจะยี่สิบเองนา”

 

 ยังหนุ่มกว่าที่คิดแฮะ คิดว่าจะอายุประมาณสามสิบซะอีก พอลองมองดูอีกทีแล้ว มีเพียงใบหน้าที่ดูดุดัน ส่วนผิวกลับดูอ่อนเยาว์ เพราะไม่โกนหนวดหนา ๆ นั่นก็เลยไม่รู้เลยนะเนี่ย หน้าตาก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ฉันรู้สึกว่าใบหน้าที่ดูขัดกับอายุนั้นดูมีเสน่ห์จนเผลอยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว

 

 “นั่นแหละ ยิ้มได้ซักทีนะ เด็ก ๆ น่ะเหมาะกับรอยยิ้มที่สุดแล้ว”

 

 สะบัดมือหยาบกร้านข้างนั้นที่มาลูบหัวฉันป้อย ๆ ออกไป จากนั้นก็กลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมแล้วจ้องเขม็งไปที่ผู้ชายคนนั้น

 

 “นี่ สอนวิธีใช้พลังเวทให้หน่อยสิ”

 

 “จะ จู่ ๆ ก็อะไรน่ะ….”

 

 “พอใช้เวทดำรงชีพไม่ได้แล้วไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น่ะ”

 

 “ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก… แต่เดิมทีแล้วฉันน่ะไม่ได้ใช้ได้เพราะให้ใครสอนหรอกนะ”

 

 

 จากที่คุณลุงบอกมานั้น เหมือนว่าตอนที่ใช้เวทดำรงชีพนั้นจะสัมผัสได้ถึง ‘กระแส’ ซึ่งผิดแผกไปจากปกติในร่างกาย และทำให้เข้าใจว่านั่นก็คือพลังเวท

 

 

 สรุปก็คือ วิธีการเรียนรู้ของฉันมันสลับลำดับ แล้วก็ต่อให้ใช้เวทดำรงชีพเป็นก็ใช่ว่าจะรับรู้พลังเวทได้ ว่ากันว่าหากเรียนรู้เวทดำรงชีพตอนที่อายุยังน้อยละก็ลำดับขั้นตอนดังกล่าวนั้นเป็นจะเป็นวิธีตามปกติ แต่ในทางตรงกันข้าม ก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงสัมผัสแปลก ๆ ที่เป็นการไหลเวียนพลังเวทได้

 

 

 “…………”

 สำหรับกรณีของฉันซึ่งใช้ ความรู้ ที่ได้รับแบบครึ่ง ๆ กลางมาฝึกสัมผัสพลังเวทนั้น ผลลัพธ์ก็คือ น่าจะใกล้คุ้นชินกับการไหลของพลังเวทแล้วละมั้ง

 

 ขืนเป็นแบบนี้คงเป็นการยากหากจะเรียนรู้ศาสตร์เวทแบบเต็มที่ อย่างที่เคยคิดไว้เลย ถ้าสัมผัสจากพลังเวทอันทรงพลังของคนอื่นก็น่าจะจับจุดได้ไวขึ้น

 

 “นี่ ใช้เวทแกร่ง ๆ ได้รึเปล่า”

 

 “นั่นน่ะน้า ศาสตร์เวทของฉันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมาก เอาเป็น [เสริมกำลังกาย] ไหม เวทนี้ใช้พลังเวทพอสมควรเลยทีเดียว”

 

 “ใช้ตอนนี้เลยได้ไหม”

 

 “ก็ได้อยู่หรอก แต่ว่า…. เอาเถอะ เดี๋ยวใช้ให้ดูก็ได้ แต่ถอยไปหน่อยล่ะ เพราะว่ามันอันตราย”

 

 

 อันตรายเหรอ ถ้าจำไม่ผิด เสริมกำลังกายน่าจะเป็นสกิลที่ทำให้พลังเวทไหลเวียนทั่วร่างแล้วเพื่อเพิ่มศักยภาพของร่างกาย แล้วทำไมถึงเป็นอันตรายได้กันนะ ระหว่างนั้นก็ถอยออกมาสองสามเก้าทั้งที่ไม่เข้าใจ ตอนนั้นเองก็รู้สึกได้ว่าทั่วร่างของคุณลุงเอ่อล้นไปด้วยพลังก่อนจะระเบิดออกมา พัดเปลวเพลิงบนกองไฟจนสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

 

 “…สุดยอด”

 

 นี่น่ะเหรอ [เสริมกำลังกาย]  แค่มองอย่างเดียวก็รู้สึกถึงจิตคุกคามได้ ฉันเดินเข้าสัมผัสแขนของชายคนนั้นแบบไม่คิดอะไรราวกับถูกดึงดูด แล้วคุณลุงก็เบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ

 

 “เฮ้ย !?”

 

 จังหวะนั้นเอง มือที่ฉันใช้สัมผัสก็รู้สึกเปรี๊ยะก่อนจะกระเด็นออก ร่างกายล้มกลิ้งไปข้างหลัง

 

 “เจ้าหนู !”

 คุณลุงรีบรุดเข้ามาด้วยความตระหนก ไม่มีบาดแผลอะไรแต่ที่มือยังรู้สึกเจ็บ ๆ ชา ๆ อยู่ คุณลุงกล่าวเทศนาฉันที่กำลังมึนงงอยู่

 

 “บอกให้อยู่ห่าง ๆ ไม่ใช่รึไง !  ถ้าใช้พลังเวทเป็นก็ยังพอว่า แต่นี่ยังเป็นเด็กเล็กที่ไม่คุ้นเคยกับพลังเวท ก็ต้องโดนแรงสะท้อนเข้าน่ะสิ”

 

 “อืม… ตกใจหมดเลย”

 

 ถึงจะตกใจแถมยังเจ็บอีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับขยับตัวไม่ได้เลย ฉันลุกขึ้นยืนพลางนิ่วหน้า ขยับนิ้วเพื่อทำให้หายชา เห็นคุณลุงมองมาด้วยสีหน้าเอือมระอา

 

 นั่น… ไม่สิ นี่ ก็คือพลังเวทอย่างนั้นเหรอ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็สัมผัสถึงพลังเวทในกระแสเลือดได้ อย่างที่คิดไว้เลย สมมุติฐานที่ว่าในเลือดจะมีพลังเวทอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง

 

 จากความรู้ของผู้หญิงคนนั้น เมื่อตระหนักถึงเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดฝอยที่กระจายอยู่ทั่วร่างแล้ว พลังเวทที่กระจายตัวอยู่เบาบางก็จะมาควบแน่นในกระแสเลือดจนค่อย ๆ รู้สึกได้ชัดเจนขึ้น

 

 เมื่อพลังเวทเข้าไปรวมที่หัวใจพร้อมกับเลือดจากทั่วร่างแล้ว พลังเวทก็จะค่อย ๆ ทรงพลังขึ้นตามจังหวะการเต้นของหัวใจ แล้วพอโคจรพลังเวทไปทั่วร่างแล้วก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนขึ้นมานิดหน่อย

 

 “เจ้าหนู !  นั่นมันการเสริมพลังกายเหรอน่ะ !? ไม่สิ ยังดูไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างนัก……”

 

 ดูเหมือนว่าการโคจรพลังเวทไปตามกระแสเลือดนั้น จะทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพเลียนแบบการใช้ 
[เสริมกำลังกาย]

 

 หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงจะเรียนรู้เวทดำรงชีพได้ หรือแม้แต่ศาสตร์เวทธาตุเองก็น่าจะเรียนรู้ได้เหมือนกัน 

 

 “นี่ พอได้แล้ว การใช้ [เสริมพลังกาย] นั้นแม้จะน้อยนิดแต่ก็กินพลังเวท จะทรุดเอาได้นา”

 

 “อืม……”

 

 แม้ผู้หญิงคนนั้นจะมี [สกิลดาบสั้น] แต่ก็แทบจะไม่ได้ใช้ [เสริมพลังกาย] เลย เป็นเหตุทำให้ฉันมีความรู้ในด้านนี้อยู่น้อยนิด ดังนั้นจึงผงกหัวให้คุณลุงอย่างว่าง่าย

 

 แต่คุณลุงที่เห็นได้ท่าทางของฉันกลับทอดถอนออกมาอย่างเอือมระอา

 

 “คุณลุง ?”

 

 “ไม่ใช่ลุงเฟ้ย เรียกฉันว่าเฟลด์ …เอาเถอะ ถึงจะกลับช้าไปซักหนึ่งวันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”

 

 คุณลุง หรือก็คือเฟลด์ลุกขึ้นยืน มองลงมาที่ฉัน จากนั้นก็ฉีกยิ้มโหด ๆ ให้

 

 “พรุ่งนี้ทั้งวัน ฉันคนนี้จะฝึกพื้นฐานให้แบบจัดหนักจัดเต็มเลย เตรียมใจไว้ให้ดีล่ะเจ้าหนู”

 

 ว่าไงนะ ?

(WN แปล) Otome Game no Heroine de Saikyou Survival

(WN แปล) Otome Game no Heroine de Saikyou Survival

Score 10

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset