(WN แปล) Otome Game no Heroine de Saikyou Survival 3

ตอนที่ 3

ตอนที่ 3 พบพาน

 

สุดท้ายแล้วแม้จะเดินทางอย่างยากลำบากก็ยังไปไม่ถึงค่ายพักแรมในวันนั้น แต่มาถึงอีกทีในช่วงบ่ายของวันถัดมา

 

 อาหารที่กินไปคือขนมปังขาวกับเนื้อเค็มตากแห้งหนึ่งชิ้นที่เหลืออยู่ นอกจากนั้นแล้วก็ประทังความหิวด้วยเบอร์รี่ดำที่หาได้จากตามรายทาง

 

 คำนวณดูแล้วต่อให้ประหยัดก็อยู่ได้อีกสามวันเท่านั้น กว่าจะไปถึงเมืองข้างเคียงก็อีกสองวัน ต้องหาวิธีอะไรสักอย่างเพื่อรับมือ

 

 หลังเที่ยงไปก็ไม่มีใครมาใช้ค่ายพักแรมแล้ว ดังนั้นนอกจากฉันก็ไม่เห็นเงาร่างของใครอีก

 

 เข้าไปใกล้กองไฟที่มอดแล้วพร้อมระแวดระวังรอบ ๆ ด้าน จากนั้นก็ใช้มือแตะขี้เถ้าในนั้น ขี้เถ้ายังใหม่อยู่ แต่ว่าไม่มีความร้อนแล้ว บางทีนักเดินทางที่คลาดกันเมื่อเช้านี้อาจเป็นคนใช้ก็ได้ แต่ก็ไม่มีร่องรอยการใช้น้ำดับเลย ตอนเช้าไม่ใช้ไฟหรือไงนะ

 

 ฉันใช้ทางสัตว์สัญจรซึ่งอยู่ในป่าข้างทางหลัก จึงไม่เห็นนักเดินทางคนนั้น หรือทางสัตว์สัญจรที่ฉันใช้เป็นทางที่หมาป่าใช้เพื่อจู่โจมกันนะ แต่ไม่เห็นมีขนหรือของเสียอยู่เลย คิดว่าไม่น่าจะมีหมาป่าโผล่มาหรอก

 

 ไม่มีของไว้สำหรับจุดไฟเลย ถ้าเหลือถ่านที่ยังไม่มอดไว้ให้ก็คงจะดี แต่ถึงจะบ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

 

 ฉันกำขี้เถ้ามาหนึ่งกำมือแล้วเอามายีหัว

 

 ถึงจะตัดผมจนสั้นแล้ว แต่เส้นผมสีบลอนด์ชมพูก็ยังดูสะดุดตาอยู่ดี เพียงเท่านี้ก็เด่นน้อยลงแล้ว คราวหลังเวลาจะทำอะไรก็ค่อยสะดวกขึ้นกว่าเดิมหน่อย

 

 ซ่อนสัมภาระไว้ใต้ร่มของต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ  พกแค่มีดกับถุงน้ำติดตัวไว้ แล้วจึงไปค้นหาแหล่งน้ำเป็นอันดับแรก

 

 คาดเอาไว้ว่าน่าจะมีแหล่งน้ำจึงลองหาดู พอลองค้นหาดูก็พบว่ามีลำธารเล็ก ๆ ไหลตัดผ่านเส้นทางหลักอยู่ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะน้ำสายนั้นไหลลอดใต้ทางหลัก แล้วพุ่งออกทางป่าที่อยู่ด้านล่าง

 พอมองขึ้นไปก็จะเห็นรอยแยกที่มีน้ำสายเล็ก ๆ ไหลออกมา ตรงรอยแยกนั้นจะว่าเป็นรอยปริของโขดหินก็ดี มีน้ำไหลออกมาแล้วลอดไปใต้ถนน จากนั้นก็พุ่งทะลักออกมา

 

 คิดตามหลักแล้วน้ำจากต้นน้ำนั้นสะอาด แต่ถึงอย่างนั้นหากดื่มไปโดยไม่ต้มแล้วคิดว่าคงไม่ปลอดภัยนัก

 

 ก่อนอื่นก็ล้างมือด้วยน้ำจากลำธาร นำผ้ามาชุบน้ำแล้วใช้เช็ดตัว ก็ไม่ได้รักความสะอาดอะไรหรอก แต่ถ้าทิ้งให้มีเหงื่อไคลแล้วส่งกลิ่นจนถูกตรวจพบเข้าก็คงตลกน่าดู

 

 เรื่องน้ำก็เรียบร้อยแล้ว แต่การจุดไฟยังไม่มีหนทางเพราะว่าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดันไม่มีหินเหล็กไฟ พวกเด็กกำพร้าสูงวัยต่างก็จุดไฟด้วย [เวทดำรงชีพ] 

 

 ในโลกนี้มี เวทมนตร์  หรือถ้าจะพูดให้ละเอียดละก็ ที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปนั้นคือ ศาสตร์เวท ความแตกต่างของทั้งสองอย่างนี้คือ เวทมนตร์เป็นต้นตอซึ่งดำรงอยู่มาตั้งแต่อดีตกาล ส่วนศาสตร์เวทก็คือเวทมนตร์ที่ผ่านการศึกษาวิเคราะห์จนเทียบชั้นกับเวทมนตร์ได้และกลายมาเป็นสิ่งคนหมู่มากใช้งาน

 

 ยกตัวอย่างก็คือ เวทมนตร์คือการสร้างรถม้าแบบนับหนึ่งใหม่โดยคิดตั้งแต่ชิ้นส่วน ส่วนศาสตร์เวทก็คือรถม้าที่วางขายแล้ว คิดว่าน่าจะประมาณนี้ละมั้ง ส่วนเรื่องที่ว่าอันไหนสบายกว่ากันนั้น ถ้ายังใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปนึกถึงเลย

 

 เหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นจอมเวทซึ่งก็คือคนที่ใช้ศาสตร์เวท และดูเหมือนจะรู้เรื่องด้านนี้อยู่มากเลยทีเดียว เพียงแต่ถ้าเป็นเรื่องที่หล่อนไม่สนใจแล้วก็จะไม่เรียนรู้ไว้เลย มีส่วนที่คลุมเครืออยู่เต็มไปหมด …ยุ่งยากซะจริง

 

 เวทมนตร์ จะมีหกชนิดโดยแบ่งไปตามธาตุคือ แสง มืด ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ถ้าให้พูดละเอียดกว่านี้หน่อยก็จะมีเวทมนตร์ไร้ธาตุเป็นชนิดที่เจ็ดด้วย

 

 คนเราจะเลือกเวทตามธาตุที่เข้ากับตัวเอง หากมีพลังเวทเพียงพอกับปริมาณที่กำหนดไว้ก็จะใช้งานศาสตร์เวทได้

 

 ไม่มีเครื่องมืออันแสนสะดวกที่ใช้สำหรับตรวจสอบว่าตนใช้เวทธาตุใดได้บ้าง และนั่นเองที่ทำให้การหาธาตุที่เข้ากันเป็นเรื่องที่กินแรงและเวลา ซึ่งจุดนี้นี่แหละที่ทำให้คนธรรมดาส่วนใหญ่ล้มเลิกการใช้ศาสตร์เวท

 

 ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเคยมโนไว้ว่ามีอุปกรณ์ที่เพียงแค่เอามือไปอังไว้ก็จะรู้ธาตุได้อยู่ แล้วก็หัวเสียใหญ่เมื่อเผชิญกับความเป็นจริง จำเก่งนักนะเรื่องไร้สาระเนี่ย

 

 สักวันหนึ่งฉันเองก็คิดจะเรียนรู้ศาสตร์เวทเหมือนกัน แต่ว่าจำเป็นจะต้องครอบครอง [เวทดำรงชีพ] เสียก่อน

 

 เวทดำรงชีพถูกจัดอยู่ในหมวดเวทมนตร์ไร้ธาตุ ส่วนที่ว่าทำไมทั้ง ๆ ที่จุดไฟหรือปล่อยน้ำออกมาได้แต่กลับไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดเวทธาตุนั้น โดยทั่วไปไม่มีใครรู้

 

 อาจารย์ของผู้หญิงคนนั้นสอนเรื่องจำพวก ปริมาณพลังเวทที่แตกต่างไปตามการใช้งานและเรื่องกฎแห่งเหตุและผลซึ่งแทรกอยู่ตามที่ว่างที่เกี่ยวข้องกัน แล้วก็เรื่องที่เหมือนจะเกี่ยวข้องกับรากเหง้าของโลกซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญสุด ๆ  แต่เหมือนหล่อนจะไม่สนใจก็เลยไม่ค่อยได้จำเอาไว้เลย

 

 เวทดำรงชีพมีอยู่หกประเภท คนธรรมดาที่ใช้ได้ก็มีอยู่มาก แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน ถึงจะใช้ได้ก็ได้แค่หนึ่งหรือสองประเภทเท่านั้น หากเป็นไปตามที่ ความรู้ บอกไว้นะ

 

 เพิ่มเติมนิดหน่อย ในฐานะที่เป็นจอมเวท ผู้หญิงคนถูกอาจารย์สั่งให้จดจำทั้งหมดหกประเภทจนขึ้นใจเลย

 

 ให้กำเนิดแสงสว่างเทียบเท่าแสงเทียน [ไลท์] แสงสว่าง

 

 ลบล้างแสงสว่าง สกัดกั้นแสงตะเกียง [ดาร์ก] ความมืด

 

 เสริมธาตุดินให้มั่นคงและทนทาน [ฮาร์ด] เสริมแกร่ง

 

 จุดไฟดวงเล็ก ๆ  [ไฟร์] ประกายไฟ

 

 ปลดปล่อยน้ำปริมาณหนึ่งแก้ว [วอเทอร์] สายน้ำ

 

 ก่อให้เกิดลมพัดอ่อน ๆ [วินด์] สายลม

 

 ทั้งหกประเภทนี้ เวทที่คนใช้ได้มากที่สุดเป็นอันดับแรกคือแสง อันดับสองคือไฟ ส่วนอันดับสามจะเป็นน้ำ ส่วนประเภทที่เหลือแทบจะไม่มีคนที่เรียนรู้เลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้เวทให้ได้ทุกประเภท เพียงแต่ว่าการจะเรียนรู้แค่อย่างแรกก็เป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว

 

 …แต่ว่านี่มันคือพื้นฐานของเวทมนตร์ทั้งหกธาตุไม่ใช่หรือไง

 

 เวทดำรงชีพมีแกนหลักเป็นเวทมนตร์ไม่ใช่ศาสตร์เวท เป็นเวทมนตร์ที่คนทั่วไปก็ใช้ได้จึงไม่ได้ผ่านการศึกษาวิเคราะห์จนเป็นศาสตร์เวท คนที่ใช้ได้นั้นเหมือนจะเรียนรู้มาได้เพราะบังเอิญ ‘โชคดี’ ได้เห็นคนที่กำลังใช้งานหลายต่อหลายครั้ง

 

 ดังนั้นในการจะเรียนรู้ จึงจำเป็นต้องจดจำผ่านผิวหนังและประสาทสัมผัสหลาย ๆ ครั้ง

 

 ต่อมาก็เรื่องพื้นฐาน ในการจะใช้เวทธาตุนั้นจำเป็นต้องขานคำร่าย ส่วนเวทไร้ธาตุนั้นกล่าวเพียงคำเดียวก็สามารถเรียกใช้ได้แล้ว

 

 ดังนั้น การใช้งานเวทดำรงชีพที่เป็นเวทไร้ธาตุนั้นจึงไม่จำเป็นต้องร่ายอะไร และนี่เองที่ทำให้เวทดำรงชีพถูกมองว่าใช้งานง่าย ถึงฉันจะคิดว่าจริง ๆ แล้วศาสตร์เวทซึ่งผ่านการศึกษาวิเคราะห์มาแล้วจะใช้ง่านง่ายกว่าก็เถอะ

 

 ผู้หญิงคนนั้นถูกอาจารย์บังคับ จึงดูเหมือนจะจำวิธีฝึกได้ขึ้นใจเลยทีเดียว

 

 แต่มาถึงแค่ขั้นแรกก็ไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะในการฝึกเหมือนจะต้องรับรู้ถึงพลังเวทในร่างกายของตัวเองให้ได้เสียก่อน ซึ่งก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าพลังเวทมันเป็นอย่างไร

 

 ก่อนอื่นก็ลองค้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังเวทจากความรู้ของผู้หญิงคนนั้นดูก่อน

 

 มีสมมุติฐานอยู่ว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้จะถือครองพลังเวทอย่างไม่มีข้อยกเว้น นี่เป็นเพราะว่าโลกนี้มีอณูเวทเป็นรากฐาน

 

 ไม่เพียงแค่ในอากาศ แม้แต่ในน้ำหรือกระทั่งผืนดินก็มีอณูเวทอัดแน่นอยู่ มีทฤษฎีต่าง ๆ อยู่ บ้างก็บอกว่าเป็นเพราะภูติผีหรือไม่ก็วิญญาณ พูดง่าย ๆ ก็คือ การหายใจ การดื่มน้ำ พรจากผืนดิน การกินเนื้อสัตว์ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นการนำพาอณูเวทไปสะสมไว้ในร่างกายทั้งสิ้น

 

 อณุเวทซึ่งถูกสะสมไว้จะอยู่ในสภาพที่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานได้ หรือก็คือพลังเวทนั่นเอง เมื่อมีพลังเวทสูงในระดับหนึ่งแล้วจะก่อตัวเป็นหินเวทขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับเรื่องนี้เอาไว้เท่านี้ก่อน

 

 สรุปก็คือ ในตัวฉันก็มีพลังเวทอยู่อย่างแน่นอน แต่อาจเป็นเพราะรอบ ๆ มีอณูเวทอยู่เต็มไปหมด จึงทำให้ฉันแยกพลังเวทของตัวเองไม่ออก

 

 คิดว่านี่ก็คงเหมือนกับการสัมผัสถึงออกซิเจนที่อยู่ในร่างกายละมั้ง

 

 …คงเป็นเพราะความรู้ที่ได้มาแบบไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ เลยรู้สึกคล้ายจะสมเหตุสมผลอยู่หน่อย ๆ  แต่ก็ไม่ได้มั่นใจถึงขนาดว่าจะเรียนรู้ทั้งหมดได้ด้วยการสัมผัสเพียงอย่างเดียว แล้วก็ไม่ได้มีเวลาว่างจนมาทำอะไรพวกนี้ได้ด้วย

 

 อืม… ไม่รู้หรอกว่าออกซิเจนคืออะไร แต่ถ้าเป็นปริมาณน้ำละก็พอจะรู้อยู่ จากความรู้ของผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าเด็ก ๆ จะมีปริมาณน้ำอยู่ประมาณเจ็ดในสิบส่วนของร่างกาย

 

 เอานิ้วแตะตรงข้อมือเพื่อสัมผัสถึงเส้นเลือด เส้นเลือดเต้นตุบตุบ รู้สึกถึงการไหลเวียนของเลือดได้

 

 อณูเวทจะใช้เลือดเป็นสื่อกลางแล้วก่อตัวเป็นหินเวท ดังนั้นในเลือดจึงน่าจะมีพลังเวทไหลเวียนอยู่ ฉันหลับตาลงแล้วตั้งสมาธิเพื่อสัมผัสดู

 

 แม้จะรู้สึกได้อยู่ราง ๆ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่สัมผัสได้เป็นพลังเวทหรือว่าแค่คิดไปเอง

 

 รู้อยู่หรอกว่ารีบไปก็ไม่ช่วยอะไร แต่ไม่มีเวลามากนักจึงเป็นธรรมดาที่จะร้อนใจ แต่จะให้ทำแต่เรื่องนี้อย่างเดียวก็คงไม่ดี ดังนั้นก่อนอื่นเลยฉันจึงมองสำรวจสภาพรอบด้านพร้อมกับค้นหาที่ ๆ ซ่อนสัมภาระไว้ เก็บเกี่ยวเบอร์รี่ดำ ระหว่างนั้นก็นึกภาพซ้ำ ๆ ว่าตัวเองกำลังรับอณูเวทเข้ามาเป็นจำนวนมากผ่านการหายใจ

 

 ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ สัมผัสถึงพลังเวทไม่ได้เลย บางทีอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดดู การสัมผัสถึงน้ำในอากาศอาจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าพูดถึงฝนก็จะเข้าใจได้ในทันที ดังนั้นถ้ามีคนมาปล่อยพลังเวทก้อนใหญ่ใส่ก็น่าจะทำให้เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าฉันกำลังหลีกเลี่ยงคนอยู่จึงไม่มีทางทำได้ พอกลับไปถึงลำธารเล็กแล้วก็เข้าไปหลบในซอกโขดหิน ครุ่นคิดพลางเอาเบอร์รี่ที่ล้างน้ำแล้วเข้าปากเคี้ยว

 

 ลองจัดระเบียบความคิดเรื่องเวทมนตร์ที่ได้ลองทำไป

 การใช้มีดให้เป็นก็สำคัญเช่นกัน แม้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นจอมเวทแต่ก็มีทักษะการใช้ดาบสั้น [สกิลดาบสั้น] ติดตัวไว้อยู่

 

 ฝึกฝน [สกิล] สักนิดดีกว่า

 

 สกิล ก็คือความชำนาญที่มนุษย์มีติดตัว ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไร

 

 เหมือนผู้หญิงคนนั้นจะคิดว่า [สกิล] คือพลังพิเศษ ที่ถ้ามีครอบครองไว้แล้วก็จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ว่าโลกนี้ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น และผู้หญิงคนนั้นก็หัวเสียอีกตามเคย

 

 แม้จะไม่มีพลังพิเศษ แต่ก็เหมือนจะมี [พรคุ้มครอง] อยู่ ซึ่งแตกต่างไปจากสกิล

 

 อาจารย์ของผู้หญิงคนนั้นบอกไว้ว่า สกิลก็คือการ ‘ประทับ’ ความชำนาญปกติ 

 

 เหมือนว่าเมื่อมนุษย์ตั้งใจทำอะไรสักอย่างซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งแล้ว การกระทำนั้นก็จะหลอมรวมเข้ากับพลังเวทแล้วจึงเกิดปรากฏการณ์ ‘ประทับ’ เข้าที่จิตวิญญาณ

 

 และเรียกสิ่งดังกล่าวด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายว่า [สกิล]

 

 ดังนั้นถึงจะไม่มีสกิลก็ยังสามารถทำเรื่องเดียวกันได้ เพียงแต่เมื่อมีการประทับที่จิตวิญญาณแล้วก็จะผิดพลาดยากขึ้นกว่าเดิม และไม่มีทางลืมเลือนได้

 

 ยกตัวอย่างเช่น ทักษะดาบนั้นเมื่อพักหนึ่งวัน การจะฟื้นฟูทักษะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมจำเป็นต้องใช้เวลาถึงสามวัน แต่สำหรับทักษะที่ถูกจดจำเป็น [สกิล] นั้นจะไม่มีวันลืม การฝึกฝนก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น มิหนำซ้ำยังทำให้เรียนรู้ทักษะได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

 

 แม้แต่ในตอนที่ร่างกายไม่พร้อมหรือกำลังลนลาน ก็สามารถใช้ทักษะออกได้เองโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งค่อนข้างเป็นประโยชน์ตอนต่อสู้พอสมควร

 

 แต่สกิลไม่ใช่สิ่งที่รับได้มาโดยง่าย และการจะเพิ่ม ‘สกิลเลเวล’ นั้นก็จำเป็นต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้นไปอีก

 

 นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แบบที่ขอแค่เรียนรู้กระบวนท่าพื้นฐานแล้วก็จะได้สกิลเลเวลหนึ่งเลย แต่ต้องออกกระบวนท่าที่ถูกต้องอย่างซ้ำ ๆ นับครั้งไม่ถ้วนจึงจะได้รับสกิล

 

 สำหรับกรณีของผู้หญิงคนนั้นแล้ว คงเพราะฝึกฝนแบบไม่เต็มใจถึงได้ใช้เวลาเกือบสามปีกว่าจะได้รับ [สกิลดาบสั้นเลเวล 1] ส่วน [สกิลเวทไฟ] ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็ได้รับแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์ ก็แค่เป็นเรื่องของความชอบพอใจเท่านั้น

 

 ผู้หญิงคนนั้นเป็นจอมเวท [แรงก์ 2]

 

 การเป็นแรงก์ 2 นั้นหมายความว่า เป็นคนที่ครอบครอง [สกิล] ที่เกี่ยวกับการต่อสู้ที่ถึงเลเวล 2 รู้สึกว่าเลเวลสกิลของผู้หญิงคนนั้นที่เป็นเลเวล 2 จะมีเวทไฟกับเวทน้ำ ส่วนสกิลดาบสั้นจะอยู่ที่เลเวล 1 ที่จริงก็มีอย่างอื่นด้วย แต่ก็ยังเป็นแค่ความชำนาญทั่วไป ความทรงจำในส่วนนั้นก็เลยดูไม่ค่อยชัดเจน

 

 ตามสามัญสำนึกของโลกนี้ เหมือนว่าสกิลเลเวล 1 จะหมายถึงผู้เริ่มต้นที่ไม่ใช่มือสมัครเล่น พอขึ้นเลเวล 2 ก็จะกลายเป็นคนที่เติบโตแล้ว

 

 พอสกิลขึ้นเลเวล 3 ก็จะเป็นเหมือนกับมืออาชีพและมีชนชั้นสูงมาจ้างวาน ส่วนเลเวล 4 จะได้รับคำเชิญจากทั้งชนชั้นสูงหรือไม่ก็ประเทศ เมื่อไปถึงเลเวล 5 ก็จะกลายเป็นที่คนที่ได้รับการนับถือยกย่องและถูกนำไปเป็นแบบอย่าง ถูกเรียกโดยทั่วไปว่า ‘ยอดฝีมือ’

 

 ยังมีที่สูงขึ้นไปอีก เลเวล 6 จะเป็นคนที่ก้าวข้ามขอบเขตของมนุษย์ไปแล้ว ตัวแทนจอมเวทแห่งราชสำนักหรือไม่ก็ ‘ปรมาจารย์ดาบ’ ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนให้กับกองอัศวิน ช่างดูเป็นตัวตนที่ไม่อาจเอื้อมถึงได้

 

 สกิลจะมีถึง 10 เลเวล และเหมือนว่าหากไปถึงระดับนั้นได้ก็จะกลายเป็น ‘ครึ่งเทพ’ ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าปรัมปรา เป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันความจริง

 

 เหมือนผู้หญิงคนนั้นจะไม่พอใจเอามากที่สกิลไม่ใช่พลังพิเศษ แต่การที่ [สกิล] ไม่ใช่ ‘พลังอันแสนสะดวกจากพระเจ้า’ ตามที่ผู้หญิงคนนั้นคิดนั้นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ

 

 เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ละก็ ไม่ได้หมายความว่ากำลังตกอยู่ในการควบคุมของตัวตนอันน่าสงสัยอย่าง ‘พระเจ้า’ หรอกเหรอ

 

 พลังพิเศษที่ได้รับมาโดยง่ายนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่มั่นคง เพราะหากตัวตนที่เป็นคนมอบให้ให้เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาก็อาจทำให้หายไปได้โดยง่ายได้เหมือนกัน

 

 ดังนั้นฉันจึงไม่สนใจอาวุธสุดแกร่งที่มีเพียงหนึ่งชิ้นในโลก พลังที่หากถูกแย่งชิงแล้วจะอ่อนแอลงแบบนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพลังของตัวเองหรอก

 

 ระหว่างที่คิดเรื่องพวกนี้รอบ ๆ ก็มืดลง เพราะกินเบอร์รี่ไปแล้วจึงไม่หิว แต่น้ำว่าในถุงเริ่มเหลือน้อยแล้ว

 

 แม้กินเบอร์รี่เพื่อเติมเต็มความต้องการน้ำได้ แต่ก็ไม่เพียงพออยู่ดี ดังนั้นหากเรียนรู้เวทดำรงชีพไม่ได้ ก็คงมีแต่ต้องดื่มน้ำจากลำธารทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ปลอดภัย

 

 คิดเอาไว้ว่าเรื่องพลังเวทเอาไว้ตอนดึก ส่วนช่วงเวลาก่อนจะมืดก็ใช้เวลาฝึกการใช้มีดเล็กน้อย

 

 ลองตั้งท่าการใช้มีดตาม [สกิลดาบสั้น] ในความรู้ของผู้หญิงคนนั้น เหมือนว่าหลังจากที่แทงหล่อนไปตอนนั้นแล้วก็จับมีดได้อย่างถูกต้องโดยที่ไม่รู้ตัว

 

 “………..”

 

 ลองลดตัวครึ่งหนึ่งแล้วแทงมีดออกไปด้วยมือข้างเดียวเพื่อลดการถูกโจมตี

 

 ช้า ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ลองทำดูก็ยังงุ่มง่ามจนเกินไปอยู่ดี ก่อนอื่นก็หยุดทำหลาย ๆ ท่าในคราวเดียวแล้วฝึกแค่ท่าแทงก่อนดีกว่า

 

 ฝึกท่าแทงซ้ำ ๆ นับครั้งไม่ถ้วน จนพระอาทิตย์ลับตาไปแล้วถึงค่อยหยุดพักหายใจ

 

 เพราะจดจ่อมากไปหรืออย่างไร รอบด้านพลันถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด มีเพียงเสียงน้ำไหลจากใกล้ ๆ ที่ดังสะท้อนเข้ามาในหู

 

 ฝึกการสัมผัสพลังเวทสักนิดแล้วนอนเลยดีไหมนะ ระหว่างที่คิดก็พลันเห็นแสงสว่างสีแดงริบหรี่มาแต่ไกล

 

 มีคนที่ค่ายพักแรมงั้นเหรอ ยังไม่มีแผนจะพบปะกับใครด้วยสิ ถ้าเกิดเป็นโจรหรืออะไรอย่างนั้นละก็อยู่ให้ห่างจากที่นี่ไว้น่าจะดีกว่า คิดเช่นนั้นแล้วก็แอบมองจากพุ่มไม้ไปยังค่ายพักแรม เห็นแผ่นหลังของชายร่างใหญ่ในชุดเกราะหนังที่กำลังย่างเนื้อเสียบไม้ข้างกองไฟอยู่ ทันใดนั้นเองจู่ ๆ ชายคนนั้นก็ร้องตะโกนขึ้น

 

 “ใครกัน !? ออกมานะ !”

 

(WN แปล) Otome Game no Heroine de Saikyou Survival

(WN แปล) Otome Game no Heroine de Saikyou Survival

Score 10

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset