Telesma 11

ตอนที่ 11

  ลูกศรเหล็กสีดำขลับที่ถูกหลอมรวมกับคริสตัลเวทพุ่งทะยานลอดหน้าต่างเข้ามาโจมตีใส่ภูตสีหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศเกิดเป็นระเบิดเพลิงที่เกือบจะลุกท่วมไปทั่วทั้งห้องถ้าหากฉันไม่ได้ร่ายเวทกันไว้ก่อนหน้านี้

  “กล้ายิงเข้ามาในนี้เลยงั้นหร-”

  ตู้ม!

  ไม่ทันที่ภูตนั่นจะได้พูดจนจบประโยคลูกศรดอกที่สองก็พุ่งตามเข้ามาในฉับพลัน 

  “มีเด็กอยู่ใ-”

  ตู้ม!

  “มันจะมากเกิ-”

  ตู้ม!

  “น่ารำคาญจริง!”

  พอดูเหมือนจะหมดความอดทนภูตนั่นก็รีบบินออกไปจากบ้านพร้อมกับทิ้งร่างของนาคาซไว้

  “ลิซารีบพานาคาซไปกรมทหารซะ ขอกำลังเสริมมาด้วย นี่มันใหญ่เกินกว่าที่พวกเราจะปิดเรื่องเองได้”

  ฉันฉีกกระดาษออกมาจากสมุดพกและจดรายละเอียดต่างๆ ใส่ไปก่อนที่จะยัดมันเข้ามือของลิซาพร้อมกับตราประจำตัว

  “เอานี่ไปด้วยจะได้ทำอะไรสะดวกขึ้น”

  “ค่ะ!”

  ลิซารีบวิ่งไปหิ้วนาคาซขึ้นมาและพาออกไปข้างนอกบ้านอย่างกระฉับกระเฉงก่อนที่จะควบม้าเข้าไปยังในเมือง ส่วนฉันก็เดินไปหยิบเศษซากลูกศรขึ้นมาดูเพื่อยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง 

  “อืม…”

  ไม่คิดว่าลูกจะโดนลูกหลงเลยรึไงกันอีตาบ้า

  โวลาเร

  “ไหน! ไอสารเลวที่มันยิงธนูมานั่นมันอยู่ที่ไหน!”

  ภูตสาวบินมาหยุดอยู่ตรงทุ่งกว้างติดชายป่าซึ่งเป็นจุดที่ลูกศรเหล่านั้นพุ่งมา

  •หนีไปแล้วงั้นหรอ ฉันว่าตัวเองบินเร็วแล้วนะ•

  ฟิ้ว

  “อย่าเหลิงให้มันมากนักนะ!”

  เธอปลดปล่อยสายลมออกไปผลักศรเหล็กที่พุ่งออกมาจากในป่าให้กระเด็นลงไปปักกับพื้น

  “อยู่ในนั้นสินะ”

  เธอขยายร่างและสยายปีกสีเขียวหยกออกก่อนที่จะพุ่งทะยานเข้าไปกลางป่าพร้อมกับง้างกรงเล็บออกไปเพื่อคว้าจับศีรษะของเจ้าของลูกศรนั่น

  “อยู่~นี่~เอง!”

  หากแต่ว่าสิ่งที่มือของเธอสัมผัสได้มีเพียงแค่อากาศธาตุเท่านั้น

  “ชิ… หนีไปอีกแล้วงั้นหรอ”

  ภูตสาวหมุนตัวและใช้ดวงเนตรสีรุ้งกวาดมองรอบทิศ

  •ตอนเห็นครั้งแรกก็พอเดาได้ว่าไม่ธรรมดาอยู่หรอก แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะเป็นครอบครัวที่ยุ่งยากขนาดนี้ แถมนาคาซก็ดันหลับได้ถูกเวลาอีกต่างหาก•

  และในขณะที่เธอไม่ทันได้ระวังตัวเงาอำมหิตสีนิลกาฬก็วิ่งซอกแซกไปมภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ หมายที่จะเข้าไปโจมตีภูตสาวที่ลอยอยู่เหนือพื้นดินด้วยคาตานะไร้ด้ามสีดำขลับที่เขารังสรรค์ขึ้นมาเพียงชั่ววินาที

  ร่างสูงโปร่งกระโดดขึ้นไปกลางอากาศก่อนที่จะตีลังกาม้วนตัวและปล่อยคลื่นดาบสีดำไปโจมตีใส่ภูตสีหยกที่ยื่นมือออกไปรับมันด้วยความมั่นใจ

  •กับอีแค่มายากลหลอกเด็กมันจะไปทำอะไ- •

  “อั๊ก!!”

  คลื่นดาบนั่นทะลุผ่านมือของเธอไปได้อย่างง่ายดาย และความรู้สึกเจ็บปวดนั้นมันก็รุนแรงมากราวกับร่างของเธอจะถูกผ่าออกเป็นสองท่อน

  •เมื่อกี้มันอะไรกัน!? ผ่านม่านเวกเตอร์เข้ามาได้ยังไง? สสารที่ฉันไม่รู้จักงั้นหรอ!?•

 

  •ทะลุผ่านไปแทนที่จะถูกเผางั้นหรอ? ใช้ไม่ได้สินะ•

  ชายหนุ่มผู้ถือครองดวงเนตรสีอำพันนึกพึมพำในใจระหว่างที่กลิ้งกลับเข้าไปซ่อนตัวใต้ร่มเงาพรไพรพร้อมกับเปลี่ยนรูปร่างคาตานะดำให้กลายเป็นอาวุธชนิดอื่นแทน

  •งั้นคงต้องลองอย่างอื่นแทนแล้วสิ ตอนนี้เหลือคริสตัลเวทอีกหกก้อน แค่นี้ก็น่าจะมากพอที่จะถ่วงเวลาให้ลีเวียตามมาทันได้แล้ว•

  กรึก… กรึก… เพล้ง!

  ดาบของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่มันจะได้เปลี่ยนรูปตามที่เขาสั่ง

  •หืม… ดึงประสิทธิภาพออกไปมากเกินงั้นหรอ ช่างเถอะ•

 

  ภูตสีหยกพยายามใช้ดวงตาวิเศษตรวจจับเค้าลางของนักดาบหนุ่มมาพักใหญ่ หากแต่สิ่งที่เธอได้พบเห็นนั้นมีเพียงแค่เงาต้นไม้และความว่างเปล่าเพียงเท่านั้น

  •ใช้ดวงเนตรจับสนามมานาไม่ได้เลย เมื่อกี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นสสารจากเพอโซนอล เรียลลิตี้ของผู้ชายคนนั้น แต่ทำไมฉันถึงจับสนามมานาไม่ได้เลยล่ะ•

  มีดสั้นสองเล่มถูกปาออกมาอย่างต่อเนื่องจากทางมุมมืดที่เธอมองไม่เห็น แต่เมื่อปลายของพวกมันสัมผัสกับผิวกายของภูตสาวมีดทั้งสองเล่มนั้นก็พุ่งกลับไปในทิศทางเดิมราวกับลูกแบตมินตันที่ถูกโต้กลับ

  •ตรงนั้นหรอ! ไม่ใช่ ทางนั้น!•

  เธอรีบหันไปในทางที่จับสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย พร้อมทั้งตวัดมือสร้างพายุหมุนให้พุ่งไปโจมตีใส่แซกที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับดาบสั้นในมือ แต่ทว่าประสาทสัมผัสของเขาสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนหน้าเพียงไม่กี่วินาทีเขาก็สร้างโล่กรงเล็บขึ้นมาปักลงบนพื้นดินเพื่อป้องกันโจมตีนั้น และทันทีที่สายลมแผ่วเบาลงเขาก็กระโดดข้ามโล่นั่นออกมาพร้อมกับสบัดดาบสั้นสร้างคลื่นดาบสีโลหิตออกไปโจมตีภูตสีหยก

  •อีกแล้วงั้นหรอ•

  ครั้งนี้เธอเลือกที่จะเอี้ยวตัวหลบคลื่นดาบเหล่านั้นก่อนที่จะพุ่งทะยานเข้าไปหมายจะปะทะกับชายหนุ่มโดยตรงแต่ก่อนที่เธอจะได้คว้าจับศีรษะของเขา เซนจิก็ก้มหลบมันไปได้อย่างเฉียดฉิวพร้อมกับง้างหมัดเตรียมที่จะซัด

  เพล้ง!

  ทันทีที่กำปั้นของเซนจิอัดกระแทกเข้าไปที่กลางท้องของภูตสาวก็มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างแตกออก และเมื่อรู้ตัวอีกทีร่างของเธอปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งขวางอยู่แล้ว

  “อึก ไม่รู้สึกเจ็บเลย…”

  •ตื้นกว่าก่อนหน้านี้มาก มนุษย์คนนี้มันยังไงกันแน่…•

 

  •เบาบางมาก รู้สึกเหมือนต่อยโดนลมเลยแฮะ…•

  ชายหนุ่มสร้างคันธนูยาวขึ้นมาแทนที่ดาบสั้น พร้อมกับหยิบแท่งเหล็กและคริสตัลเวทที่มีสัญลักษณ์ ᚨ ออกมาหลอมรวมกัน

  “ฮึบ!”

  เขายิงคันศรเหล็กออกไปยังตำแหน่งของภูตสีหยกด้วยความเร็วที่มนุษย์ธรรมดาไม่น่าจะสามารถยิงออกไปได้ แต่ทันทีที่จับสัมผัสได้เธอก็รีบหยิบก้อนหินขนาดเท่าหัวคนขึ้นมาปาออกไปด้วยความเร็วที่สูงมากจนเกิดเสียงดังลั่นราวฟ้าผ่าขึ้น และเมื่อวัตถุทั้งสองได้เข้าปะทะกันมันก็ได้สร้างเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งเมืองมหาปราการพร้อมกับคลื่นกระแทกที่รุนแรงพอจะทำให้ต้นไม้เกือบทั้งหมดในบริเวณสองร้อยเมตรโค่นล้มลง

  “ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะได้พรสวรรค์จากนายไปเยอะพอตัวเลยนะ~”

  ภูตสาวบินลงมายืนอยู่ข้างหน้าชายหนุ่มที่สร้างโล่ขึ้นมาป้องกันแรงกระแทกเมื่อกี้ได้ทัน

  “แกต้องการอะไรจากลูกชายของฉัน”

  “แหมๆ~ สามีภรรยานี่พูดเหมือนกันเปี๊ยบเลยนะ~ แล้วถ้าฉันบอกว่าเพื่อช่วยชีวิตลูกชายของพวกเธอล่ะ?”

  “ตื้นเขินเกินไป”

  ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับรังสรรค์ดาบขึ้นมาไว้ในมือ 

  “แต่ฉันว่ายอมเสียเวลาฟังเรื่องที่ฉันจะอธิบายสักนาทีก็ไม่เสียหายอะไรหรอกนะ~”

  ท่าทีที่ไร้ซึ่งภัยคุกคามของภูตสาวทำให้เซนจิชั่งใจคิดถึงความเป็นไปได้เฟล่านั้นอยู่ชั่วครู่หนึ่ง และเมื่อเขาพิจารณาถึงความเป็นไปได้ต่างๆ อย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็หันคมดาบออกไปหาภูตสาวผู้ยืนรอคำตอบของเขาอยู่อย่างใจเย็น

  “อย่าคิดจะตุกติกก็แล้วกัน”

  “แบบนี้สิค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย~”

  วืดดดดดดดด

  “ว๊ายยย!”

  “กรี๊ดด!”

  “ฮี้!”

  เสียงดังแสบหูและสายลมกระโชกโหมกระหน่ำไปทั่วทุกซอกมุมของแวนด์ จนแม้แต่ยอดอาชาที่ร่วมฝ่าความเป็นความตายกับลิซามายังสติเตลิดจนผละร่างของเธอกับนาคาซตกลงไปคลุกฝุ่นก่อนที่มันจะวิ่งตรงดิ่งออกไปอย่างไร้จุดหมาย

  “เสียงบ้าอะไรวะน่ะ?”

  “โดนบุกงั้นหรอ”

  “ที่กำแพงชั้นสองเนี่ยนะ!?”

  ท่ามกลางเสียงชุลมุนของฝูงชนวาซิลิซาค่อยๆ พยุงร่างขึ้นพร้อมทั้งประคองสติของตัวเธอเองไว้ไม่ให้สลบไป

  “อึก… นาคาซ…”

  •นาคาซอยู่ไหน… เราต้องรีบพานาคาซไปที่กรม…•

  “นาคาซ… นาคาซหายไปไหน…”

  สิ่งแรกหลังจากที่สติของเธอกลับคืนมามีเพียงแค่การตามหาเด็กหนุ่มที่กระเด็นหายไปเพียงเท่านั้น

  “หนูไม่เป็นไรใช่มั้ยจ๊ะ”

  หญิงชราผมสีขาวหงอกผู้มีดวงตาสีเขียวเข้มในชุดเกราะสีหม่นตัดแดงเลือดหมูที่ดูมีภูมิฐานรีบวิ่งเข้ามาถามไถ่อาการของเด็กสาวผมขาวทันทีที่เห็นว่ามีเศษบางอย่างปักเข้้าไปที่แขนข้างซ้ายของเธอ แต่เหมือนว่าความหวังดีนั้นจะไม่อาจทุละผ่านเยื่อแก้วหูของลิซาในตอนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

  “ต้องรีบพานาคาซไปที่กรม”

  เลือดที่ไหลผ่านแขนของเธอหยดลงบนพื้นถนนหยดแล้วหยดเล่าแต่ถึงกระนั้นลิซากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย เพราะว่าในตอนนี้สมองของเธอมีเพียงแค่การตามหาเด็กหนุ่มผู้ตกอยู่ในห้วงนิทราเพียงเท่านั้น

  “หนูอย่าวิ่งสิจ๊ะ!”

  ทันทีที่เห็นร่างของนาคาซนอนแน่นิ่งอยู่ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างออกราวกับเห็นแสงสว่างที่ส่องประกายขึ้นท่ามกลางความมืดมิด เด็กสาวไม่รีรอแม้เสี้ยววินาทีรีบออกฝีเท้าวิ่งไปที่บริเวณนั้นทันที

  •เกิดเสียงดังขึ้นขนาดนั้นแล้วยังหลับสนิทอยู่ได้นี่ต้องหลับลึกขนาดไหนเนี่ย ไม่สิ…•

  เธอเอามือไปอังที่จมูกของนาคาซจากนั้นก็สัมผัสตรวจสอบชีพจรของเขา

  •ปกติ…•

  ถึงแม้ตอนนี้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างแต่นี่ก็ไม่ใช่เวลามาหาคำตอบสำหรับคำถามนั้น พอคิดเช่นนั้นเด็กสาวก็ใช้แขนช้อนร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมา แต่ทันทีที่จะยกร่างขึ้นเธอกลับรู้สึกเจ็บปวดที่แขนข้างซ้ายอย่างแสนสาหัส

  “อั๊ก!”

  “หมู่ไหนว่างรีบมาช่วยเด็กคนนี้หน่อย มีอาการบาดเจ็บที่บริเวณแขนข้างซ้าย!”

  ทันทีที่หญิงชราคนนั้นหันไปตะโกนใส่กลุ่มฝูงชนที่กำลังอลหม่านกันอยู่ก็มีชาย-หญิงในชุดเกราะหน้าตาคล้ายคลึงกันวิ่งออกมายืนเรียงรายเพื่อรอรับคำสั่งอย่างมีระเบียบ

  “พวกเราพร้อมรับคำสั่งครับ/ค่ะ”

  “ให้พวกฉันช่วยเธอเถอะนะ”

  หญิงชราหันไปกล่าวกับลิซาที่เริ่มมีท่าทีอิดโรยเพราะเสียเลือดไปมากพอสมควร

  “กรมทหาร… หนูต้องรีบไปกรมทหาร”

  “กรมทหาร?”

  “ค่ะ… หนูต้องรีบพาเด็กคนนี้ไปที่นั่น…”

  “เข้าใจล่ะ เดี๋ยวพวกฉันพาไปนะ”

 

  เสียงระฆังเตือนภัยภายในกรมทหารถูกลั่นอย่างต่อเนื่องด้วยด้วยฟังเฟืองเหล็ก เหล่าอัศวินและทหารหน่วยต่างๆ ล้วนวิ่งวุ่นสวนทางกันไปมาไม่ขาดสายหลังจากที่เสียงแปลกประหลาดนั้นดังขึ้นมาจากทางตอนเหนือ

  “ไม่มีข่าวจากหน่วยซิลเวอร์วิงซ์เลยหรอ!”

  “ดูเหมือนว่าทางนั้นก็จะไม่รู้เรื่องเหมือนกันครับ”

  “แล้วข้อมูลจากหน่วยอื่นล่ะ”

  “ดูเหมือนว่าหน่วยอื่นก็ไม่มีเบาะแสเหมือนกันครับท่าน”

  “ดูเหมือนฝั่งนี้ก็จะวุ่นวายไม่ต่างจากในเมืองเลยนะ”

  หญิงชราพูดด้วยเสียงราบเรียบราวกับชินชาในความวุ่นวายที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยมากนักโดยเฉพาะในเมืองที่มีการป้องกันแน่นหนาอย่างแวนด์

  “รีบพาเด็กคนนี้ไปที่ตึกรักษาซะ”

  เธอหันไปสั่งคนในหน่วยของตัวเอง

  “ไม่ได้… หนูยังต้องไปส่งเอกสารให้กับคุณไลท์ชีล”

  “ไลท์ชีล? ซิลเวีย ไลท์ชีลน่ะหรอ?”

  “ค่ะ…”

  “จะฝากฉันไปส่งก็ได้นะ”

  หญิงชราพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปรับม้วนกระดาษ

  “ไม่ได้ค่ะ หนูต้องเป็นคนไปส่งเองกับมือ”

  “แต่ว่าแผลของเธอยัง-”

  “ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่ไปส่งเอกสารนี่ได้ก็พอ”

  “คงจะสำคัญมากสินะ งั้นให้ฉันช่วยพาเธอไปหายัยนั่นก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือพาเด็กผู้ชายอีกคนไปที่ตึกรักษาที”

  “ครับ!” “ค่ะ!”

  หญิงชราเดินนำพาลิซาไปจนถึงตรงหน้าห้องที่มีกลุ่มอัศวินยืนคุ้มกันอยู่แน่นหนา แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเดินไปข้างหน้ามากกว่านี้อัศวินกลุ่มนั้นก็มาขวางพวกเธอทันที

  “ฉันมาหาซิลเวีย ไลท์ชีล”

  หญิงชราหยิบตราประจำตำแหน่งของตัวเองออกมาให้พวกเขาดู

  “แล้วเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังนั่นล่ะ”

  “ฉันมาส่งเอกสารสำคัญให้กับคุณไลท์ชีลค่ะ”

  ลิซายื่นม้วนเอกสารไปให้คนที่น่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยของอัศวินเหล่านั้นดูพร้อมกับแสดงตราอสรพิษที่โอบล้อมรอบดวงเนตรสีแดงให้ดู

  “ขออนุญาตเปิดอ่านนะ”

  “ค่ะ”

  อัศวินหนุ่มกวาดสายตาอ่านเอกสารที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็วพร้อมกับแสดงความตกใจออกมาผ่านรูม่านตาที่ขยายออก

  “เรื่องจริงหรอ”

  “ค่ะ”

  “รีบนำเอกสารนี่ไปให้ผู้บัญชาการซะ”

  เขายื่นม้วนเอกสารนั้นไปให้กับลูกน้องของตัวเอง และไม่นานนักอัศวินคนนั้นก็วิ่งกลับมาพร้อมกับคำสั่งอนุญาตให้ทั้งสองคนเข้าพบได้ 

  “ก็คิดว่าใครอื่นที่แท้ก็วาซิลิซากับยัยหงอกเองหรอ”

  บุคคลที่กำลังรอคอยพวกเธออยู่คือหญิงสาววัยชรากริยาดูมีภูมิฐานที่มีเรือนผมสีทองยาวสลวยสะท้อนแสงและดวงตาสีฟ้าครามในชุดเกราะสีขาวตัดทองที่กำลังยืนอยู่บริเวณหัวโต๊ะวางแผนพร้อมกับอัศวินสาวคู่กายและหัวหน้าหน่วยต่างๆ ที่กำลังประชุมหารือกันอยู่

  “สวัสดีค่ะคุณอา”

  “นี่พวกเธอรู้จักกันด้วยหรอ!?”

  หญิงชราอีกคนแสดงสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อน

  “ก็ลูกสาวของวินเซนต์ไง”

  “อ้อ~ ถึงว่าล่ะหน้าคุ้นๆ”

  “เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ เอกสารที่รายงานมานั่นเป็นเรื่องจริงหรอ”

  “จริงค่ะ พี่ลีเวียเป็นคนเขียนและสั่งให้หนูนำมาส่งเอง”

  “งั้นก็งานหยาบละ… ไปสั่งให้เปลี่ยนการลั่นระฆังเป็นสามจังหวะและนายกองรอธการ์ช่วยไปถ่ายทอดคำสั่งให้หน่วยเบวูล์ฟขแงคุณออกไปปฏิการณ์ที่จุดเกิดเหตุด้วย ส่วนหน่วยอื่นๆ ช่วยไปสั่งให้ติดอาวุธผสมแร่เงินให้ทหารและอัศวินทุกนาย ศัตรูของเราภูตพรายความอันตรายระดับสี่!”

  “รับทราบ!”

  เมื่อถ่ายทอดคำสั่งเสร็จสิ้นฟัวหน้าหน่วยต่างไป รวมทั้งอัศวินคู่กายของผู้บัญชาการก็รีบเดินออกไปข้างนอกห้องเพื่อถ่ายทอดคำสั่งต่อไปทันที

  “แล้วตอนนี้ลีเวียอยู่ที่ไหนล่ะ”

  คุณหญิงไลท์ชีลหันมาถามลิซา

  “คาดว่ากำลังต่อสู้หน่วงเวลากับภูตนั่นอยู่ค่ะ”

  “งั้นเสียงระเบิดเมื่อกี้ก็คงเป็นผลงานของเธอคนนั้นสินะ แล้วที่แขนนั่นไปโดนอะไรมาล่ะนั่น”

  “ก็แค่อุบัติเหตุจากการเดินทางมาเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไรมาก”

  ถึงแม้จะได้รับการปฐมพยาบาลมาแล้วแต่สีหน้าของลิซ่าตอนนี้ก็ยังดูไม่สู้ดีนัก และเมื่อพิจารณาจากนิสัยได้พ่อของเธอแล้ว เด็กสาวคงจะไม่กล่าวขอความช่วยเหลือจากใครง่ายๆ แน่นอน

  “อืม เข้าใจล่ะ งั้นก็รีบไปรักษาที่อาคารรักษาซะเถอะ ส่วนยัยหงอกช่วยอยู่นี่ก่อนฉันมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือหน่อย”

  “นั่นเป็นประโยคสำหรับขอความช่วยเหลือคนอื่นหรอยะ ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”

  หลังจากหารือเรื่องมาตรการรับมือเสร็จ อัศวินสาวอีกคนก็ถูกออกคำสั่งให้พาตัวลิซาไปยังอาคารรักษาโดยทีนที

  ภาพแห่งความโกลาหลวุ่นวายในช่วงแรกเองก็ถูกลบให้หายไปด้วยเสียงระฆังที่ถูกลั่นให้เป็นสามจังหวะ ตอนนี้เหล่าอัศวินและทหารล้วนติดอาวุธผสมแร่เงินและกำลังเคลื่อนพลออกไปช่วยเหลือประชาชนในตัวเมืองกัน

  “นาคาซ อายบลัดงั้นหรอ?”

  ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของคนไข้ที่ไม่คุ้นเคยนัก

  “ค่ะ เด็กผู้ชายผมดำอายุหกปี คิดว่าน่าจะมีอัศวินชุดเกราะสีหม่นๆ พาเด็กคนนั้นมาที่นี่นะคะ”

  “อืม… ขอฉันตรวจสอบแปปนึงก็แล้วกัน”

  ชายคนนั้นหายตัวเข้าไปข้างหลังประตูอยู่สักครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินกลับมาตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ เพื่อความแน่ใจและบอกหมายเลขห้องให้กับลิซา

  “ดูเหมือนจะเป็นห้องนี้สินะ”

  เธอเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหน้าห้องพร้อมกับรู้สึกชื้นใจขึ้นมาหน่อย เพราะในที่สุดเธอก็จะได้กลับไปอยู่ข้างกายนาคาซอีกครั้ง แต่ความหวังนั้นของเธอกลับต้องพังทลายลงทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก 

  ตุ้บ

  อัศวินสาวที่ยืนอยู่ข้างกายของลิซาล้มฟุบลงไปกองกับพื้นในฉับพลันที่สูดดมกลิ่นหอมโชยชวนเคลืบเคลิ้มของดอกไม้และสมุนไพรหลากชนิดที่ลอยออกมาพร้อมกับบรรยากาศที่ชวนอึดอัดสับสนในตัวเอง

  “อาเรเร้~ ดูเหมือนจะมีมนุษย์ที่ทนได้อยู่เหมือนกันนะเนี่ย~”

  เสียงที่ฟังดูสนุกสนานของชายหนุ่มดังมาจากภายในห้องพักนั้น และไม่ว่าจะด้วยเหตุใดมันก็ทำให้โทสะของลิซาพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนนัยตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม

  “แกเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้ยังไง!”

  เธอชักดาบออกมากำไว้แน่นในขณะที่ชายคนนั้นหันกลับมาอย่างช้าๆ

  “นั่นคือท่วงท่าสำหรับการกล่าววาจาถามไถ่นามผู้อื่นงั้นหรอ ไปนั่งไป”

  แสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมาจากดวงตาที่เพียงแค่ต้องมองก็รู้สึกเหมือนจะถูกดูดดวงวิญญาณเข้าไป

  “อะ เอ๊ะ?”

  พอรู้ตัวอีกทีเธอก็มานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับเก็บดาบกลับเข้าฝักเป็นที่เรียบร้อย

  •เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแล้วทำไมฉัน…•

  “จะว่าไปเด็กคนนี้นี่สุดยอดไปเลยน้า~ สามารถสร้างความวายป่วงได้แม้แต่ตอนอยู่ในห้วงนิทรานี่จัดว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เลยนะ อืมๆ”

  “เอาเถอะยังไงส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดของผู้ปกครองอย่างเราที่ตามใจลูกมากเกินไปนั่นแหละน้า~ จะโทษคนอื่นมากก็ไม่ได้~”

  ชายคนนั้นโผล่ไปยืนอยู่ตรงปลายเตียงพร้อมกับพูดพึมพำเบาๆ เหมือนตาแก่ขี้บ่น พร้อมกันก็ทำท่าเหมือนจะอุ้มร่างของนาคาซขึ้นไป

  “แกจะทำอะไรน่ะ!”

  “ปล่อยนาคาซนะ!”

  เด็กสาวพยายามที่จะขัดขืนสุดแรงเกิด หากแต่ว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของเธอมันไม่อาจตอบสนองความต้องการนั้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว

  “เห๋~ อิจฉาเราหรอ~ เราจะให้เจ้าอุ้มก็ได้น้า~ แต่ว่า~ เจ้าต้อง-ทำ-ตาม-ที่-เรา-บอก ฮิฮิ้~”

  “แก!”

  ทันทีที่อุ้มนาคาซขึ้นไปชายคนนั้นก็มาปรากฏตัวต่อหน้าลิซาราวกับตาฝาดไป

  “งั้นเจ้าเป็นคนอุ้มก็แล้วกัน~ รับน้า~”

  และไม่ว่าจะตอนไหนก็ตามพอรู้ตัวอีกทีลิซาก็ยื่นแขนออกไปรับร่างของนาคาซเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

  “เจ้านี่ยังนับว่าโชคดีนะที่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองผู้เยาว์นะ ไม่งั้นล่ะคงได้นอนคุกยาวแน่ ฮิฮิ้~”

  เขาหันหลังให้เธอพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำท่าเหมือนจะดีดนิ้ว

  “หมายความว่าไ-”

  ป็อก

 

Options

not work with dark mode
Reset