Telesma 12

ตอนที่ 12

  “เซนจิยืนกำลังทำอะไรอยู่น่ะ…”

  หลังจากที่เกิดเสียงดังลั่นขึ้นฉันก็รีบบินมายังต้นเสียง แต่พอมาถึงแล้วก็กำลังเห็นเซนจิยืนชี้ดาบใส่ยัยภูตนั่นอยู่โดยที่ไม่มีท่าทีจะขยับ

  ถ่วงเวลาไว้ให้งั้นหรอ~ ถ่วงเวลาไว้ให้งั้นสิน้า~

  ฉันหยิบลูกเหล็กออกมาร่ายเวทใส่มันและปาไปยังบริเวณที่ทั้งคู่ยืนอยู่ 

  “งั้นก็ล้างหัวรอไว้เลยเซนจิ!”

  ตู้ม!

  พอลูกเหล็กยุบตัวลงก็เกิดเป็นระเบิดกวาดล้างที่รุนแรงมากพอจะทำลายบ้านที่ทำจากหินได้หนึ่งหลัง 

  เซนจิเคยเจอมันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเป็นห่วง แต่ขอฉันดูหน่อยเถอะว่ายัยภูตนั่นยังจะรอดได้อยู่อีกรึป่าว

  “นี่เธอบ้าไปแล้วรึไง!”

  เซนจิที่หลบออกมาได้หันมาตะโกนใส่ฉัน

  “คนที่ยิงธนูระเบิดอัดเข้าไปในบ้านสามลูกติดอย่างนายไม่มีสิทธิ์พูดหรอกนะยะ!”

  (เฮ๋~ มั่นใจในฝีมือของตัวเองขนาดนั้นเชียว~)

  ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามภูตนั่นโผล่มากระซิบที่ข้างหูของฉัน

  “ฉิ-”

  มันเตะส่งฉันให้ตกลงมากระแทกกับพื้นจนเกือบจมดิน

  “อั่ก!”

  “ลีเวีย!!”

  “หลบไปได้ยังไง…”

  มันบินลงมายืนอยู่ข้างหน้าของพวกเราด้วยท่าทีลำพองใจชวนหมั่นไส้

  “หลบหรอ? ของแบบนั้นน่ะแค่สะท้อนออกไปก็พอแล้ว~”

  “สะท้อนออก?…”

  “ใช่~ เธอควรจะรู้หน่อยนะว่าลูกเธอก็ทำได้ในลักษณะเดียวกันน่ะ~”

  “แกหมายความยังไง”

  “จะว่าไปเราคุยกันถึงไหนแล้วนะ? อ้อใช่! ถึงตอนที่สอบเมื่อสามวันก่อ-….”

  ไม่ทันที่มันจะได้พูดเต็มประโยคก็มีลูกศรพุ่งเข้ามาโจมตีใส่จากทางด้านหลัง แต่ทันทีที่สัมผัสเข้ากับร่างของภูตนั่นพวกมันก็กระเด้งออกไปคนละทิศทางอย่างไม่ทราบสาเหตุ

  ที่ว่าสะท้อนนี่หมายความว่าแบบนั้นเองงั้นหรอ

  “เฮ้อ~ มีตัวปัญหามาเพิ่มอีกแล้วงั้นหรอ…”

  ดูเหมือนว่ากำลังเสริมที่ฉันสั่งให้ลิซาไปเรียกมาจะมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้ ดูจากรูปร่างของลูกศรที่ปักอยู่ที่พื้นแล้วน่าจะเป็นหน่วยปราบภูตอย่างเบล์วูฟ และก็ถือเป็นโชคดีของพวกเราที่ภูตนั่นดูจะสนใจพวกนั้นก็เลยรีบพุ่งออกไปในทันที

  “เธอจะทำอะไรน่ะ”

  เซนจิรั้งมือของฉันที่กำลังดันพื้นไว้อยู่

  “ฉันยังไม่ยอมง่ายๆ หรอกนะ…”

  ฉันยื่นไม้เท้าไปให้เซนจิเปลี่ยนรูปร่าง พร้อมกันก็พยุงร่างของตัวเองขึ้นมา นาทีนี้ต้องเร่งการฟื้นตัวและหาวิธีจัดการยัยภูตเวรนั่นให้ได้

  “ยัยนั่นมันต้องมีสักอย่างที่สะท้อนไม่ได้มั้งแหละ พร้อมมั้ยเซนจิ”

  “มาถามเอาป่านนี้เนี่ยนะ งั้นก็อย่าเอาถึงตายก็แล้วกัน ฉันยังมีเรื่องที่คาใจอยู่”

  เซนจิยื่นดาบที่อดีตเคยเป็นไม้เท้าเวทคืนมาให้ฉันพร้อมกับแสดงสีหน้าเดือดพล่านออกมาราวกับสมัยสิบกว่าปีก่อน อาจจะไม่ถูกเวลาไปซักหน่อยแต่พอเห็นแบบนี้แล้วตัวฉันก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

  “งั้นก็มาลุยกันสักหน่อยเถอะที่รัก~♡”

  “อึก! เป็นคำพูดที่ชวนให้รู้สึกไม่ดีต่อใจสุดๆ เลยแฮะ…”

_________________________________________

  ธรรมดา… ธรรมดามาก อาวุธที่ใช้โจมตีเข้ามามันธรรมดาเกินไป แต่ทำไมล่ะ

  “ทำไมถึงจัดการไม่ได้ซักคนเลยล่ะ!”

  พวกอัศวินที่มาเป็นกำลังเสริมไม่ได้มีเทเลสมาภายในร่างกายและอาวุธที่พวกมันใช้ก็เป็นแค่ลูกธนูผสมแร่เงินดาดๆ  แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดก็คือกลยุทธ์ของพวกมัน อัศวินพวกนี้ไม่อ้าปากกู่ร้องหรือทำตัวเหมือนพวกนักรบที่ฉันเคยเจอมาก่อน ถึงแค่ดูเผินๆ ก็รู้ว่าพวกมันสื่อสารกันด้วยภาษามือ แต่พอลองแกะความหมายดูแล้วมันกลับไม่ปะติดปะต่อกันราวกับขาดองค์ประกอบบางอย่างไป

  “น่ารำคาญชะมัด!”

  ฉันถอยร่นออกมาข้างนอกและควบคุมสายลมรอบข้างให้กลายเป็นพายุหมุนสองลูกเคลื่อนตัวเข้าไปบดขยี้กลุ่มอัศวินพวกนั้น

  “ชิ”

  พายุหมุนที่ฉันสร้างขึ้นมาสลายหายไปกับตาด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวของยัยผู้หญิงผมดำนั่น พร้อมกันนั้นเธอก็เหมือนจะส่งสัญญาณมือไปให้กับกลุ่มอัศวินที่อยู่ข้างหลังด้วย

  “ไม่เคยคิดเลยว่าการทำพันธสัญญากับมนุษย์สักคนมันจะลำบากได้ขนาดนี้…”

  ฉันกระทืบเท้าลงไปที่พื้นเบาๆ เพื่อสร้างแรงบังคับให้บรรดาก้อนหิน ต้นไม้และลูกธนูที่กระจายอยู่ทั่วพื้นทั้งหมดให้พุ่งทะยานขึ้นไปโจมตีใส่หญิงสาวคนนั้น แต่เธอก็ยังป้องกันพวกมันไว้ได้ด้วยการใช้เวทยกพื้นดินขึ้นมาสกัดพวกมัน ในเวลาเดียวกันลูกเหล็กจำนวนมากก็ถูกปาทะลุกำแพงดินนั่นออกมาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ

  พวกมันยุบตัวลงจนเกิดเป็นระเบิดแนวยาวระลอกใหญ่ติดต่อกันเหมือนกะเอาให้แน่ใจว่าถ้าไม่โดนแรงระเบิดอัดตายก็ต้องตายเพราะขสดออกซิเจนแน่ๆ แต่ขอโทษด้วยนะพอดีพวกฉันไม่จำเป็นต้องหายใจเพื่อสร้างพลังงานด้วยซ้ำน่-

  “อั๊ก!”

  คลื่นดาบพุ่งทะลุม่านควันมาฟันโดนร่างของฉันอย่างแม่นยำจนถ้าหากฉันมีเลือดเนื้อ ตอนนี้พวกมันก็คงไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำตกแล้ว 

  “เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่…”

  ฉันสยายปีกออกและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อที่จะสร้างระยะห่างเพิ่ม แต่ดูเหมือนว่าความต้องการนั้นจะไม่สามารถเป็นไปได้อย่างราบลื่นสักเท่าไหร่ เพราะกลุ่มอัศวินพวกนั้นดันยิงลูกธนูขึ้นมาสกัดทางไว้คู่กับลูกธนูเหล็กที่ยิงมาจากผู้เป็นพ่อของนาคาซ 

  “เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ…”

  ถึงแม้ตอนนี้จะบินสูงขึ้นมาเกือบพันแล้วแต่ก็ยังมีลูกศรพุ่งขึ้นมาถึงบนนี้ได้ประปราย

  “มนุษย์พวกนี้เอาแรงมาจากไหนกันเยอะแยะเนี่ย…”

  “การได้มองสิ่งมีชีวิตจากมุมสูงแบบนี้เนี่ยมันช่างรู้สึกดีจริงๆ เลยนะ”

  เสียงที่ช่างคุ้นหูดังมาจากเหนือหัว และเมื่อฉันหันไปทางต้นเสียงนั่นก็ได้พบกับร่างของหญิงสาวที่ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับนั่งไขว่ห้างอยู่บนดาบยาวที่มีวงเวทโอบล้อมไว้ 

  ภายใต้เลนส์กระจกที่ผู้หญิงคนนั้นสวมใส่อยู่มีนัยตาสีอำพันที่กำลังถูกย้อมเป็นสีโลหิตชวนเสียวสันหลังเหมือนกับของนาคาซอยู่

  “สนามมานามัน-”

  แต่สิ่งที่น่าทึ่งมันไม่ใช่แค่ดวงตาที่เปลี่ยนสีได้ หากแต่เป็นท้องฟ้าเบื้องบนที่กำลังถูกแหวกออกและแทนที่ด้วยทิวทัศน์ของห้วงอวกาศที่ประดับด้วยกลุ่มดาวนับล้านที่กำลังแผ่ขยายออกมาจากสนามมานาราวกับบิกแบง แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้ดึงสติกลับมาจากความตกตะลึง ก็มีแสงสีตระการตาอีกนับไม่ถ้วนพุ่งลงมากวาดล้างทุกสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง พวกมันคือดาวตกที่มีองค์ประกอบของสสารแปลกปลอม

  “นี่เธอบ้าไปแล้วรึไง!”

  “เพราะสุนทรียภาพของแกมันต่ำเกินไปถึงมองได้แค่นั้น”

  กริยาท่าทางและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทนงนั่นชวนให้ฉันรู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก หากแต่สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดมันก็เป็นความจริง เพราะเมื่อสังเกตดีๆ แล้วการโจมตีเหล่านั้นไม่ได้ลุกลามออกจากยุทธภูมิหรือแม้แต่สร้างความเสียหายให้กับกลุ่มอัศวินที่อยู่ด้านล่างนั่นเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าฉันจะประมาทเธอคนนี้มากไปจริงๆ สินะ…

  “อะไรกัน เจอแค่นี้ก็เลิกอวดดีแล้วงั้นหรอ”

  “แค่อยู่เหนือกว่านิดหน่อยอย่าทำมาเป็นปากดีให้มันมากนักนะ!”

  ฉันรวบรวมดาวตกที่พอมีค่าใกล้เคียงความเข้าใจตอนนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่บังคับให้พวกมันพุ่งสวนขึ้นไปโจมตีผู้หญิงคนนั้น ขอดูหน่อยซิว่าเธอจะจัดการกับมันยังไง

  แต่แล้วคำตอบนั้นมันก็ช่างง่ายดายมาก เธอคนนั้นทำเพียงแค่ปาลูกเหล็กออกมาเพื่อให้มันดึงดูดดาวตกทั้งหมดที่ฉันยิงออกไป ซึ่งมันก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของฉันมากเท่าไหร่นัก

  หากคำนวณจากความเร่งของอนุภาคแรงโน้มถ่วงในการดึงดูดดาวตกพวกนั้นแล้วอีกไม่นานมันคงจะยุบตัวลงและกลายเป็นระเบิดขนาดใหญ่ในที่สุด พอถึงจุดนั้นก็แค่เพิ่มอัตราเร่งเพื่อเข้าไปประชิดทีเผลอก็พอ

  และก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไม่นานนักเจ้าก้อนมวลสารนั่นก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ จนบดบังทัศนียภาพไปเกือบหมด ฉันใช้จังหวะนี้บินอ้อมไปก็จะใช้หน้าแข้งเตะส่งให้ผู้หญิงคนนั้นร่วงลงไปคลุกฝุ่นอีกสักรอบ

  “ลูกไม้กระจอก”

  เสียงของเธอดังมาจากทางข้างหลัง แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้หันไปก็รู้สึกเหมือนถูกบางอย่างผลักให้กระเด็นลงมาเกือบสองในสามของเพดานบินเดิม

  และดูเหมือนว่าเหล่าอัศวินเกราะสีเทาที่อยู่เบื้องล่างจะไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ให้เสียเปล่า พวกนั้นระดมยิงลูกธนูผสมแร่เงินที่ไร้ซึ่งความหมายขึ้นมาอย่างไม่ลดละ

  …รู้สึกรำคาญอย่างบอกไม่ถูกเลยแฮะ

  “เอ๊ะ?”

  อยู่ๆ ก็มีบางสิ่งลอยเฉียดใบหูไประหว่างที่ฉันกำลังจะควบคุมดาวตกเตรียมเพื่อจะส่งสุขให้พวกอัศวินที่อยู่ข้างล่าง แต่ไม่ทันที่จะได้หาคำตอบก็มีเงาของวัตถุขนาดใหญ่กำลังพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง

  “ให้ตายเถอะ แต่ละอย่างนี่มันไปสรรหาหรือสร้างขึ้นมาทันได้ไงเนี่ย”

  เพียงแค่ฉันหันไปดีดนิ้วให้กระทบกับเปลือกของก้อนอุกบาตเบาๆ มันก็แรงมากพอที่จะสร้างความปั่นป่วนจนทำให้ก้อนหินยักษ์นี่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

  หญิงสาวผมสีดำขลับพุ่งลงมาหาฉันด้วยท่าที่พร้อมจะใช้ดาบในมือฟันผ่าร่างของฉันเป็นสองซีก แต่ในขณะที่กำลังพวกเราจะเข้าปะทะกันก็มีบางสิ่งลอยมาตัดหน้าของพวกเรา มันคือกระดิ่งทองเหลืองทรงกระบอกที่มีลายสลักโค้งพลิ้วสะกดสายตาที่มาคู่กับกลิ่นอายของหายนะลางๆ 

  กริ้ง

  แสงสีขาวส่องวาบออกมาพร้อมกับเสียงของมัน และพอรู้ตัวอีกทีทั้งฉันและพ่อแม่ของนาคาซก็ลงมานั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้ามึนงงกันแล้ว

  “แหมๆ~ อาละวาดซะยกใหญ่เลยนะ”

  เสียงที่ฟังดูครื้นเครงตลอดเวลาราวกับเด็กวัยใสแต่แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและความชั่วร้ายดังมาจากมาจากทางข้างหลังของฉัน พร้อมกับเงาที่ปรากฎให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่มีเขาเหมือนแพะและมีร่างกายท่อนล่างเป็นกวางสองขา การที่เขาปรากฏตัวมาในเวลาแบบนี้ย่อมไม่ใช่สัญญาณดีสักเท่าไหร่…

  “ทำไม…ท่านถึง….”

  บรรยากาศหนักอึ้งที่แผ่ออกมาจากตัวของเขามันแตกต่างจากรอบที่แล้วจนทำให้ฉันแทบจะพูดเสียงหลง

  “เห๋~ นี่เจ้ายังกล้ามาถามแบบนั้นอีกงั้นหรอแอกเซล”

  ถ้ามีน้ำลายฉันคงกลืนมันลงไปอึกใหญ่ทันทีที่ชื่อนั้นถูกเอ่ยขึ้น แค่นี้ก็พอรู้แล้วว่าเขาไม่ได้มาแค่ก่อกวนเอาสนุกแล้วจากไปแน่ๆ

  “แกเป็นใคร!”

  เสียงนั้นดังมาจากฝั่งตรงข้ามของฉัน หญิงสาวลุกขึ้นมาพร้อมกำดาบไว้แน่น

  “ถามเรางั้นหรอ เราคือราชาแห่งภูติพราย โอเบรอน ผู้ปกครองดินแดนเยาวชน เทอนาน็อก”

  ราชาพรายอธิบายพร้อมกับใช้นิ้วแกว่งกระดิ่งทองเหลืองไปมา

  ทั้งสองคนแสดงหันไปมองหน้ากันด้วยความไม่ไว้วางใจ

  “อัลเบียน? ไม่สิพวกเราจำได้ว่าราขาพรายมีรูปลักษณ์อีกแบบนึงซึ่งแกไม่ได้ใกล้เคียงเลย”

  เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายองค์ราชาก็ไม่รอช้าที่จะอธิบายพร้อมกับวาดนิ้วไปในอากาศชวนกวนประสาทเสริมความไม่น่าไว้ใจที่เดิมทีก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้วให้มากกว่าเดิม

  “กาลเวลาเปลี่ยนแปลงร่างกายก็ย่อมเปลี่ยนไปตามสมัยนิยมเป็นเรื่องธรรมดาแหละนะ แต่ถ้าอยากจะเห็นเราจะแสดงให้เห็นก็ได้น้า~”

  “องค์ราชาอย่-!!”

  “ _̸̣͔̂͗_̴̨̯́̏_̸̣̂ṣ̷̼̌g̸͔̉̇ş̷̈ĥ̶̟̚z̵͙̊̀_̶̛̲̆_̷̯̣͗͝_̵̜̂̈́U̴̳̓w̴̹̄͑o̵̲͖̍̑x̶͎͉͗ù̴̳̆ĕ̸͈̯̉p̸̺̣͐̀_̷̟́_̶͈̕”

  ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตสูงราวสามเมตรที่ดูผอมแห้งน่าสยดสยอง

  ใบหน้าเจ้าเล่ห์ถูกแทนที่ด้วยกระโหลกคล้ายสัตว์สีทองรูปร่างบิดเบี้ยวจนไม่อาจระบุได้ว่าส่วนไหนคือเบ้าตาและส่วนไหนคือโพลงจมูก ที่บริเวณเหนือศีรษะมีเขายาวแหลมคมและรยางค์ปกคลุมเหมือนดั่งแผงคอ ทั่วทั้งร่างกายถูกปกคลุมด้วยขนยาวรุงรังสีดำขลับมันเงา และท่อนล่างคล้ายแพะสองขาที่มีหางเหมือนกับหนู ปลา สัตว์เลื้อยคลานและพืชหนามผสมกัน

  กลิ่นอายชวนสะอิดสะเอียนราวกับภาพตกค้างของสงครามชีวภาพปรากฏขึ้นมาต่อหน้าพวกเราเพียงแค่ชั่ววินาทีสั้นๆ เพียงเท่านั้น…

  “อุบ!-แหวะ”

  ฉันสำรอกลมออกอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายเทียมที่ไม่น่าจะรู้สึกสั่นกลัวได้กลับสั่นไม่หยุด แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกทึ่งกว่าคือมนุษย์ทั้งสองคนนั้นกลับทำแค่แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมานิดหน่อยและไม่นานนักพวกเขาก็ดึงสีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

  ถ้าเป็นมนุษย์ทั้วไปเห็นคงเป็นบ้ากันไปแล้ว บ้านนี้มันเหนือมนุษย์กันทุกคนเลยใช่มั้ยเนี่ย…

  “เห๋~ สมกับเป็นอสรพิษดีจริงๆ เลยน้า~”

  ราชาพรายแสดงสีหน้ายิ้มแย้มที่แอบให้ความรู้สึกแปลกๆ ออกมาราวกับจะสื่อว่าฉันถูกใจพวกเธอจัง แต่ดูท่าพวกเธอก็ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องที่เขากล่าวอ้างสักเท่าไหร่นัก

  “ต้องขออภัยด้วย แต่พวกเราปักใจเชื่อคำพูดนั้นได้ด้วยหลักฐานเพียงแค่นั้น”

  แต่ถึงจะไม่เชื่อเรื่องนั้น วงเวทจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาโอบล้อมดาบในมือของเธอแล้ว คงเพราะพวกเธอประเมินแล้วเช่นกันว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวอันตราย

  “เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เราเองก็ไม่ชอบพวกเชื่อคนง่ายด้วยเช่นกัน”/“เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เราเองก็ไม่ชอบพวกเชื่อคนง่ายด้วยเช่นกัน”

  อยู่ๆ เสียงคำพูดของเขาก็ซ้อนกัน หากแต่อีกเสียงนั้นดังมาจากทางข้างหลังของผู้เป็นพ่อและแม่ของนาคาซ

  พวกเราหันไปมองที่ต้นเสียงนั้นและก็เห็นอีกร่างหนึ่งของราชาพรายกพลังยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่มีเด็กสาววัยรุ่นผมขาวนั่งหลับอยู่พร้อมกับโอบกอดร่างของนาคาซที่หลับไม่ได้สติไว้ด้วยเช่นกัน

  “แก!”

  หญิงสาวแยกเขี้ยวออกมาพร้อมกับเปล่งแสงสีแดงเข้มออกจากดวงตา ก่อนที่จะทำให้สิ่งที่ดูเหมือนกับประตูมิติจำนวนมากเปิดขึ้นมาพร้อมกับยิงดาวตกออกไปโจมตีใส่ราชาภูตทันที แต่ไม่ทันที่ฉันจะบินเข้าไปสะท้อนพวกมันออก ดาวตกเหล่านั้นก็ได้หายวับไปก่อนที่จะเกิดเสียงอึกกระทึกขึ้นจากบริเวณอื่น

  “อย่ามั่นใจในฝีมือของตัวเองให้มากจะดีกว่านะอสรพิษ”

  น้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงแจ่มใสถูกพลิกให้กลายเป็นน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความจริงจังและความโอหังภายในพริบตา

  หนึ่งในความสามารถของราชาแห่งเหล่าภูตคือการเคลื่อนย้ายสรรพสิ่งได้ตามใจนึก ขอเพียงรู้ตำแหน่งต้นทางและตำแหน่งปลายทางราชาผู้นี้ก็สามารถเดินทางหรือส่งบางสิ่งไปที่ไหนก็ได้ง่ายราวกระดิกปลายนิ้ว

  “ถึงเราจะไม่ถือสาเรื่องเขื่อไม่เชื่อแต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยมองในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ไว้ด้วยเถอะนะ เราเองก็ไม่ได้อยากทำอะไรซี้ซั้วมากด้วยเหมือนกัน”

  “แล้วแกต้องการอะไร”

  ชายหนุ่มตั้งคำถามกับราชาพรายพร้อมกับกำมือไว้หลวมๆ เหมือนจะรังสรรค์อาวุธขึ้นมา

  “เฉกเช่นเดียวกับที่พ่อแม่ทั่วไปทำกัน เราเพียงแค่ต้องการเห็นบุตรรักของเราได้ดีก็เท่านั้นเอง”

  ทั้งฉันและสองคนนั้นล้วนขมวดคิ้วเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากขององค์ราชา แต่พอคิดดูแล้วมันก็พอเข้าใจได้แหละนะ พอแสดงถึงว่าตนเองก็มีลูกเหมือนกันมันจะช่วยทำให้เจรจาได้ง่ายขึ้น แต่ข้ออ้างนี้มันออกจะ…. ล่อเป้าภูตตนอื่นไม่น้อยเลยนะท่าน…

  “หนึ่งในสิ่งที่ภูตพรายล้วนต้องการคือการได้ทำพันธสัญญากับสิ่งมีชีวิตที่มีเพอโซนอล เรียลลิตี้ใกล้เคียงกับตนเองมากที่สุด เพื่อที่จะได้พัฒนาทั้งตนเองและผู้ทำพันธะให้ไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระดับสูงกว่าเดิม”/“และดูท่าว่าลูกชายของพวกเธอจะมีค่าที่เข้ากับภูตพรายจำนวนมากได้ดีจนเด็กๆ พวกนั้นต้องแย่งชิงกันเลยน่ะนะ”

  ระหว่างที่อธิบายราชาภูตก็ส่งร่างของเด็กทั้งสองไปให้กับมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสองคน

  “เพราะงั้นถึงเกิดเรื่องแบบเมื่อเช้าขึ้นงั้นสินะ”

  หญิงสาวส่งร่างของเด็กๆ ไปให้สามีตนพร้อมกับหันไปถามร่างแยกของราชาพราย

  “เมื่อเช้า”/“งั้นหรอ?”

  ดวงตาสีอำพันทั้งสองคู่หันมาจับจ้องยังตัวฉันที่ได้แต่อยู่เงียบๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร

  เฮ้อ… ถ้ารู้แบบนี้ตอนนั้นน่าจะตอบตกลงไปให้สิ้นเรื่อง ไม่น่าทำเอาเท่เลย…

  “ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกภูตตนอื่นพยายามฉวยโอกาสแย่งเด็กคนนั้นไปตอนที่พันธะชั่วคราวหลุดออกค่ะ”

  “เรื่องก็เลยลามมาถึงขนาดนี้ว่างั้น?”

  ทั้งสองร่างเอียงคอพร้อมกัน

  “ค่ะ…”

  เมื่อราชาพรายได้ยินคำตอบที่เถรตรงจนน่าละอายดวงตาของเขาก็เบิกกว้างราวกับไม่เชื่อในใบหูเรียวยาวของตนเอง สายตาของเขาที่แสดงถึงความเวทนาใจราวกับเห็นเด็กตีกันเพื่อแย่งของเล่นนั่นมันทำให้ฉันรู้สึกละอายจนต้องเบือนหน้าหนี

  “เฮ้อ… ความสามารถในการเจรจาของเจ้ามันเลวร้ายถึงขนาดไหนกันเนี่ย…”

  ทั้งสองร่างเอามือกุมขมับพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่ร่างหนึ่งจะแบมือออกเพื่อเรียกม้วนกระดาษให้มาปรากฏในมือ และอีกร่างหนึ่งก็เรียกปากกาขนนกและขวดหมึกมาไว้ด้วยเช่นกัน

  “ท่ามกลางเหล่าผู้ไร้กายเนื้อที่อาศัยอยู่ที่นี่ นางถือเป็นพรายที่มีค่าใกล้เคียงกับลูกชายจองพวกเจ้ามากที่สุด และเราก็มั่นใจว่าถ้าเด็กทั้งสองร่วมมือกันแล้วพวกเขาจะสามารถพัฒนาไปได้ไกลมากที่สุด”

  เขายื่นม้วนเอกสารไปให้มนุษย์ทั้งสองคนอ่าน

  “นี่ถือเป็นสัญญาที่เราเสนอให้พวกเจ้า ต่อให้จะไม่เชื่อเรื่องที่เราเป็นราชาแต่ก็ขอให้เชื่อใจหน่อยว่าเราเองก็ไม่ชอบความป่าเถื่อนเช่นกัน”

  เมื่อทั้งคู่รับม้วนสัญญานั้นมากางออกและกวาดสายตาอ่านดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ดูท่าพวกเขาจะสนใจในสัญญานั่นไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาก็จะไม่ใช่พวกที่ด่วนสรุปอะไรปุ๊ปปั๊ปด้วยเช่นกัน

  “แล้วพยานล่ะ”

  ผู้เป็นพ่อเงยหน้าขึ้นมาถามแก่ราชาพราย

  “จริงๆ ก็อยากจะบอกว่ามีตัวกลางที่คอยจับตาเป็นพยานให้พวกเราตลอดเวลาอยู่หรอก… แต่สำหรับพวกเจ้าแล้วมันคงฟังดูไม่น่าเชื่อถือสินะ งั้นเราขอเสนอให้แต่ละฝ่ายเลือกพยานที่ไว้ใจได้ออกมา”

  “พวกเราขอเสนอเป็นอสรพิษแห่งพันธสัญญา”

  เมื่อกล่าวดังนั้นก็มีอสรพิษสีดำขลับตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาเลื้อยพันแขนข้างขวาของผู้เป็นแม่

  ช่างเป็นความสามารถที่แปลกดีจริง

  “ถ้าอย่างนั้นฝ่ายเราขอเสนอเป็นเออา”

  เออาเป็นนามที่พวกเราใช้เรียกดาวเคราะห์ดวงนี้ นางเป็นพวกรักสงบและไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในตัวนางมากนัก แต่ในขณะเดียวกันนางก็มีนิสัยแปลกๆ อย่างความอยากรู้อยากเห็นที่มากจนปล่อยให้มีสิ่งมีชีวิตมาทดลองอะไรแปลกๆ กับนาง แถมนางก็ดันยินดีอย่างน่าประหลาด… เอ๊ะ?หรือนางจะมีรสนิยมแบบนั้นกันน-

  แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อนที่ร่างจำแลงของนางจะผุดขึ้นมาดั่งดอกไม้ มนุษย์ทั้งสองชี้คมดาบไปยังร่างจำแลงนั้น

  “โอเบรอน เจ้าสารเลว”

  ประโยคแรกที่ร่างจำแลงพฤกษาที่งดงามดั่งทูตสวรรค์กล่าวออกมาช่างเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของฉันพอสมควร

  ก็พอรู้อยู่หรอกว่านางไม่ถูกกับองค่ราชาแต่เล่นทักแบบนี้มันก็ออกจะแปลกๆ ไปสักหน่อย

  “น่าๆ~”

  ราชาพรายผายมือออกพร้อมกับแสดงท่าทีไม่รู้ร้อน

  “คุณคือ?”

  ดูเหมือนว่าพอหญิงสาวใช้ดนตาสีรุ้งประเมินองค์รวมของเออาแล้วเธอจะไม่รู้สึกถึงความเป็นภัยจึงคลายวงเวทออกและลดดาบลง

  “นางคือเออา มารดาแห่- อุ๊บ!”

  ไม่ทันที่ราชาพรายจะได้พูดจนจบประโยคก็มีรากไม้พุ่งทะลุพื้นดินขึ้นมาพันปากของเขาไว้ทั้งสองร่าง

  “เรามรนามว่าเออา แต่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรานักหรอก ขอให้เจ้าจงทำสัญญาอย่างสบายใจได้ เพราะหากเจ้าราชาสารเลวนี่ผิดสัญญาเราจะเป็นผู้ไปกระซวกแกนมันทิ้งเอง”

  รอยยิ้มที่ไม่ปกปิดความเกลียดชังต่อราชาพรายปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าจำลองอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันองค์ราชาก็พยายามใช้มือตีรากไม้อย่างลุกลี้ลุกลนพร้อมกับส่งเสียงอู้อี้ออกมาไม่ขาดสายจนในที่สุดก็เหมือนเขาจะนึกได้ว่าตัวเองสามารถใช้พลังเคลื่อนย้ายตนเองออกได้ จึงใช้พลังนั้นย้ายตัวเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการนั้น

  เฮ้อ… เพราะแบบนี้ไงพวกมนุษย์ถึงไม่เชื่อว่าท่านคือราชาของพวกเรา…

  “นี่เจ้าเอาจริงนี่!”

  “ทิทาเนียเองก็คงยินดีไม่น้อยเช่นกันนั่นแหละ… รีบๆ ทำธุระให้เสร็จซะ ดูเหมือนเวลสของเจ้าจะมีไม่มากแล้ว”

  ท่าทีของนางเปลี่ยนไปทันทีที่เหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง

  “เข้าใจแล้วน่า~”

  ดูท่าองค์ราชาเอง็จะรับรู้ถึงสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน เขาจึงรวมทั้งสองร่างให้กลับมาเป็นหนึ่งก่อนที่จะเดินเข้าไปหามนุษย์ทั้งสองคนในขณะที่มีต้นไม้งอกขึ้นมาเป็นดั่งโต๊ะเซ็นสัญญา และเขากวักนิ้วเรียกให้ฉันไปร่วมวงด้วยเช่นกัน

  “หลังจากสัญญานี้ถูกเซ็นลงจะถูกคัดลอกออกเป็นสองฉบับให้พวกเจ้าเก็บไว้ทั้งสองฝ่าย ส่วนสำเนาตัวจริงเราจะนำไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย มีฝ่ายใดมีปัญหาหรือไม่”

  เออากล่าวพร้อมกับหันไปมาระหว่างสองฝ่าย สามีภรรยาคู่นั้นหันไปสบตากันก่อนที่จะกล่าวพร้อมกันว่า

  “ไม่มีปัญหา”

  “เราเองก็ไม่มีปัญหา”

  เขาวางขวดหมึกที่มีปากกาขนนกเสียบอยู่ลงไปบนโต๊ะก่อนที่จะเริ่มเป็นฝ่ายเซ็นสัญญาก่อน

  “ในนามแห่งราชาภูตและผู้ปกครองดินแดนเยาวชนเราขอปฏิญาณต่อหน้ามารดาแห่งชีวิตว่าจะไม่ละเมิดสัญญาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เมื่อใดก็ตามที่มีการกระทำอันน่ารังเกียจนั้นเกิดขึ้นเราอนุญาตให้นางสังหารเราได้โดยปราศจากซึ่งความผิดบาป”

  เมื่อเซ็นเสร็จราชาภูตก็ยื่นปากกามาให้ฉันเซ็นต่อด้วยเช่นกัน และพอฉันอ่านข้อเสนอสัญญาแล้วก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมพระองค์ถึงลงทุนเรียกเออาให้มาเป็นพยาน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้โดยไม่ได้ปรึกษาองค์ราชินี

  เมื่อฉันหันไปมององค์ราชาก็ทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ให้ฉันเพียงเท่านั้น

  “ในนามของภูตสายลมเราขอปฏิญาณว่าจะไม่ละเมิดข้อสัญญาและจะเป็นกำลังให้กับตระกูลแห่งอสรพิษผู้อยู่เบื้องหน้าของเรา”

  ฉันเซ็นสัญญาพร้อมกับกล่าวคำพูดที่ฟังดูสวยหรูที่สุดเท่าที่จะคิดได้จากการอ่านสัญญาแบบคร่าวๆ เพราะการกล่าวปฏิญาณขณะเซ็นสัญญาต่อหน้าพยานมันเป็นประเพณีที่สำคัญสำหรับภูตอย่างพวกเรามาก และมันก็ส่งผลต่อความเชื่อใจของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

  เมื่อฉันเซ็นเสร็จต้นไม้ที่เป็นฐานรองก็บิดตัวหันเอกสารไปให้ทางนั้นเซ็นต่อ ชายหนุ่มกวาดสายตาอ่านเอกสารอีกรอบก่อนที่จะหยิบปากกาขนนกขึ้นมาเซ็นอย่างเงียบๆ และส่งต่อมันไปให้กับผู้เป็นภรรยา และในจังหวะที่หญิงสาวใช้แขนขวาจับปากกาด้ามนั้นอสรพิษแห่งพันธสัญญาก็ค่อยๆ เลื้อยไปโอบล้อมมัน

  เธอตวัดปลายปากกาด้วยท่วงท่าที่งดงามในขณะที่อสรพิษที่พันแขนอยู่ค่อยๆ เลื้อยลงไปรวมตัวกับปากกาขนนกด้ามนั้น และเมื่อวางปากกาลงทั้งสองคนก็ถกแขนเสื้อของตัวเองขึ้นราวกับรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น 

  “กรุณายื่นแขนออกมาด้วยค่ะ”

  องค์ราชาไม่ได้คิดอะไรเยอะและยื่นแขนออกไปตามคำบอกอย่างว่าง่าย และในจังหวะที่ฉันยื่นแขนเข้าไปเป็นลำดับสุดท้ายก็มีอสรพิษสีดำพุ่งขึ้นมาฉกใส่พวกเราจากในกระดาษ

  ราชาพรายแสดงสีหน้าสนใจปนตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย ส่วนฉันก็รีบชักแขนกลับมาโดยสัญชาตญาณแต่ดูเหมือนว่าอสรพิษนี่จะทะลุผ่านม่านเวกเตอร์ของฉันเข้ามาได้

  “เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ”

  อสรพิษนั่นจางหายไปและไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้นอกเหนือจากความสงสัย

  “เราขอถามหน่อยได้มั้ย”

  ราชาพรายยกมือขึ้นมาถามแก่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า

  “ตามสะดวกค่ะ”

  “เมื่อกี้มันคืออะไรงั้นหรอ?”

  “หลักประกันค่ะ คล้ายๆ กับการปฏิญาณของพวกคุณเมื่อกี้นี้”

  “งั้นหรอ ช่างเป็นความสามารถที่น่าสนใจจริงๆ เลยนะ”

  “สัญญาทำการสำเนาเสร็จแล้ว เชิญตรวจสอบได้”

  ร่างจำแลงพฤกษาพูดขึ้นมาขัดบทสนทนาพร้อมกับยื่นม้วนเอกสารมาให้พวกเราตรวจสอบ ทั้งเอกสารของฝ่ายตัวเองและฝ่ายตรงข้าม และเมื่อไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไรเธอก็เอื้อมมือไปหยิบม้วนเอกสารตัวจริงมาไว้กับตัว

  “ถ้าเช่นนั้นเราขอตัวก่อนล่ะ ในส่วนของป่าไม้ที่ล้มลงเดี๋ยวเราจะตัดการเอง พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป ส่วนเจ้าก็รีบๆ ทำอะไรให้เสร็จแล้วก็ไสหัวไปซะ อยู่นานเดี๋ยวดินที่นี่เป็นเสนียดหมด”

  เมื่อกล่าวจบนางก็หวนกลับคืนสู่ผืนดินเหลือไว้เพียงโต๊ะเซ็นสัญญาอันเป็นอนุสรณ์สถานไว้เพียงเท่านั้น

  “ดูท่าเธอจะเกลียดคุณมากเลยนะ”

  ผู้เป็นพ่อกล่าว

  “เป็นธรรมดาน่ะ ถ้านางรู้สึกอย่างอื่นนั่นคงผิดปกติไม่น้อย” (ใช่…เหมือนพวกเรา…)

  องค์ราชารีบชักสีหน้ากลับมาพร้อมกับเด็ดกระดิ่งทองเหลือที่เหน็บอยู่ตรงเอวไปวางไว้บนโต๊ะ

  “ของขวัญรับฤทธิ์สำหรับอสรพิษตัวน้อยที่อยู่ข้างหลังนั่น ที่เหลือก็ฝากดูแลเด็กตนนี้ด้วยล่ะ”

  “เดี๋ยวก่อน!”

  เมื่อราชาพรายทำท่าทีเหมือนกำลังจะเดินทางกลับหญิงสาวก็ตะโกนไล่หลังเขามา

  “หืม?”

  องค์ราชาปรายตามองไปยังอสรพิษสาว

  “ฉันขอถาม พวกเบล์วูฟหายไปไหน”

  “เบวูลฟ์? อ๋อถ้าหมายถึงอัศวินพวกนั้นล่ะก็”

  ป๊อก!

  หลังจากดีดนิ้วเหล่าอัศวินที่อยู่ในสภาพสลบไร้สติก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าพวกเราตามลำดับ

  รวมๆ แล้วเกือบสี่สิบนายเลยงั้นหรอ… ตอนแรกเหมือนเห็นไม่ถึงสามสิบคนด้วยซ้ำ ที่เหลือคงเป็นพลซุ่มโจมตี คงต้องชมว่าสมกับเป็นราชาของพวกเราดี…มั้ง…

  “ไม่ต้องกังวลไป เราแค่ให้พวกเขาพักผ่อนเช่นเดียวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละเมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะตื่นขึ้นมาโดยปราศตากความเหนื่อยล้ารางกับเด็กทารกเองนั่นแหละ อ้อ! แล้วก็อสรพิษน้อยนั่นไม่ใช่ฝีมือเรานะขอบอกไว้ก่อน ส่วนที่เหลือถ้าอยากถามอะไรเพิ่มก็ไปถามเซรก็แล้วกัน บ๊ายบาย”

  ราชาพรายอธิบายด้วยท่าทีเร่งรีบและเมื่ออธิบายจบเขาก็หายตัวไปทันที

  “ดะ เดี๋ยวก่อนสิ…. เฮ้อ…”

  ช่วยไม่ได้แฮะ

  “งั้นฉันขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน”

_________________________________________

  ที่ใดสักแห่งที่ราชาพรายเคลื่อนย้ายตนเองมา

  “รอตั้งนานไม่โผล่มา พอใช้งานฉันเสร็จกิจแล้วก็เสนอหน้าออกมาเลยนะเจ้าสิ่งน่ารังเกียจ”

  เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายร่มเงาของต้นไม้ และเมื่อหันไปมองมันก็ไม่ได้มีสิ่งใดนอกจากเสียงที่ทับซ้อนกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ที่ตอบกลับมา

  “บางอย่างมันก็ต้องพึ่งตัวแปรควบคุมกันบ้างแหละนะ”

  “ทีนี้ก็สมใจอยากแกแล้วสินะ”

  ดวงตาอำพันที่มองไปยังเงามืดนั้นแสดงถึงความรังเกียจที่มากกว่าที่เออามีให้กับเขา หากแต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากความเงียบงัน

  “เฮ้อ…. ทิทาเนียยังสบายดี”

  ราชาพรายตอบคำถามที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเขาก็รู้ดี เพราะมันน่าจะเป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่เจ้าสิ่งที่อยู่ภายใต้เงานั่นยังรู้สึกเป็นห่วง และเมื่อมันได้ยินคำตอบที่อยากจะได้ยินความรู้สึกถึงภัยคุกคามนั้นก็หายไป ทิ้งให้ราชาภูตยืนอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางเสียงใบไม้ที่พลิ้วไหวไปตามสายลม

  (…ถ้ายังเป็นห่วงอยู่ก็ไม่ควรทำแบบนั้นตั้งแต่แรกสิ ไอตัวน่ารังเกียจเอ้ย…)

  ร่างอมนุษย์พึมพำเบาๆ ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ชวนสับสน เพราะการที่ทำได้เพียงแสดงความเกลียดชังต่อสิ่งที่ไม่อาจทำได้แม้แต่เอ่ยชื่อและทำได้แค่เรียกมันว่าสิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจนั้นมันช่างทรมานจิตใจของเขาและเหล่าผู้ไร้กายเนื้อเสียเหลือเกิน แต่เมื่อมันจากไปปล้วเขาก็ไม่มีธุระอะไรให้ต้องทำอีกแล้วนอกจากเฝ้ารอความครื้นเครงครั้งถัดไป

_________________________________________

Options

not work with dark mode
Reset