Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 13

ตอนที่ 13
 กู่กานหลัว!!!

บนเสาหยวนเฉิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่งอยู่ตรงขอบของยอดเสา มองดูผืนฟ้าอันเวิ้งว้างที่มีดวงดาวพร่างพราย และสายโซ่ขนาดมหึมาเส้นแล้วเส้นเล่าที่อยู่เบื้องล่าง เขาแย้มยิ้มพลางหยิบไหสุราไหหนึ่งออกมาแล้วเงยหน้าดื่มลงไป

“ศิษย์น้องตงป๋อ ดื่มสุราก็ดื่มอยู่คนเดียว มา แบ่งให้ข้าลองชิมดูสักหน่อยสิ” เสียงหนึ่งก้องสะท้อนอยู่ข้างหู

ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมอง ข้ามผ่านท้องฟ้าไปก็เห็นศิษย์พี่ผู้ครองชิงที่อยู่บนเสาหยวนเฉินอีกต้นที่อยู่ไกลออกไปกำลังร้องขอสุราด้วยรอยยิ้ม

“มิใช่สุราที่ดีเลิศอะไรนักหรอก แต่ข้าเองก็ชอบเหลือเกิน ให้เจ้า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบสุราไหหนึ่งออกมาก่อนจะโยนไป

ฟิ้ว!

ผ่านช่องว่างของอากาศ ส่งผ่านระยะทางอันแสนยาวไกล เมื่อมาถึงเบื้องหน้าผู้ครองชิงแล้วจึงค่อยปรากฏขึ้นอีกครา

“โอ้” ผู้ครองชิงสายตาเป็นประกาย ลอบตกตะลึงที่ศิษย์น้องของตนมีความสามารถในการควบคุมอากาศได้อย่างร้ายกาจจริงๆ ต้องรู้เอาไว้ว่าวิถีสามสายที่เขา ผู้ครองชิงผู้นี้เชี่ยวชาญ มีสายหนึ่งก็คือ ‘วิถีอากาศ’

ผู้ครองชิงรับไหสุรามาแล้วก็ดื่มอึกหนึ่ง “อืม ไม่เลว แม้รสชาติจะบางเบาแต่รสที่ปลายลิ้นนั้นไร้ที่สิ้นสุด เป็นสุราชั้นเลิศทีเดียว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม พูดคุยไปพลาง ดื่มสุราไปพลางกับศิษย์พี่ผู้ครองชิงของตนอย่างสบายใจ

คืนวันที่พิทักษ์เสาหยวนเฉินนี้อันที่จริงช่างเดียวดายยิ่งนัก

เสาหยวนเฉินสิบสองต้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องพิทักษ์ถึงสองต้น! สำหรับเจ้าแม่กานเหอนั้นได้จากไปนานแล้ว นางพูดเอาไว้ว่า “ข้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรมิได้ ตงป๋อเสวี่ยอิง ที่นี่ก็ต้องลำบากเจ้าแล้ว” แล้วนางก็จากไปพร้อมด้วยรอยยิ้มในทันที

“ฟิ้วๆ”

กระแสลมที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของค่ายกลกรรโชกพัดทั่วบริเวณ เส้นผมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกลมพัดจนลอยขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมอง มีความสุขกับความเงียบสงบเช่นนี้

ทันใดนั้น…

ภายใต้ความเงียบสงบนี้ เรือบินขนาดยาวพันลี้ลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง มองดูแล้วก็ช่างธรรมดายิ่ง เล็กกว่าเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดามากมายนัก ความยาวพันลี้นี้… เรียกได้ว่าเล็กจนน่าสงสารเมื่ออยู่กลางท้องฟ้า สุ่มเอาดาวเคราะห์ดวงใดขึ้นมาต่างก็ใหญ่กว่ามันมากมายทั้งสิ้น

แต่บนยอดของเสาหยวนเฉินที่อยู่ใกล้มันที่สุด ประมุขหยวนชูกลับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “เรือบินอลวน!”

“คมมีดโลหิต แย่แล้ว เรือบินอลวนปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน” ประมุขหยวนชูส่งเสียงขึ้นมาในทันใด

ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็เปิดปากพูดว่า “กู่กานหลัว เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน”

“ก็แค่มาเที่ยวเล่นที่นี่เท่านั้น”

น้ำเสียงชั่วร้ายเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างในเรือบินอลวน

ที่ตามมาติดๆ ก็คือลำแสงโค้งสีม่วงสายหนึ่งซึ่งสาดออกมาจากด้านบนของเรือบินอลวน สิ่งกีดขวางที่เคลื่อนผ่านอากาศแทบจะในทันทีแล้วปะทะบนเสาหยวนเฉิน “ปัง…” เดิมทีเสาหยวนเฉินต้นนี้ทนทานหาใดเปรียบ ยากที่จะสั่นคลอนได้ แต่ในขณะนี้ ภายใต้ลำแสงโค้งสีม่วงที่ดูเหมือนจะไม่สะดุดตานี้ กลับถูกปะทะเสียจนล้มกลิ้ง ควันหลงอันไร้รูปร่างกวาดบนร่างประมุขหยวนชู ประมุขหยวนชูสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด พร้อมกันกับที่ร่างของเขาเปลี่ยนแปรเป็นผุยผง กระจัดพลัดพรายไปกลางอากาศ

การโจมตีแค่เพียงครั้งเดียว

ค่ายกลเสาหยวนเฉินถูกทำลาย ร่างแยกของประมุขหยวนชูที่รับผิดชอบพิทักษ์เสานี้ก็สู้จนตาย!

“เฮอะ พวกวัสดุที่ใช้สร้างสิบสองเสาหยวนเฉิน ช่างมีพลานุภาพธรรมดานัก” ภายในเรือบินอลวน รูปสลักขนาดมหึมา ‘กู่กานหลัว’ นั้นมีรอยยิ้มเยาะอยู่บนใบหน้า

บัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

บุคคลผู้น่าเกรงขามที่สร้างบัญชีหมื่นสรรพสิ่งผู้นั้นรู้ว่าระบบของตนนี้สลับซับซ้อนยิ่ง การบำเพ็ญยากเย็น ในทางตรงกันข้าม การริเริ่มเผยแพร่บัญชีหมื่นสรรพสิ่ง หากคิดอยากได้มานั้นช่างง่ายดายนัก ดังนั้นจักรพรรดิเจียวอวิ๋นแห่งจักรวาลคีรีมารจึงยกต้นฉบับให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างง่ายดายยิ่ง ถ้าหากล้ำค่ามากพอ เขาย่อมไม่มีทางยกให้แน่

แต่กู่กานหลัวย่อมคุ้นชินกับสิบสองเสาหยวนเฉินมากกว่า การอาศัยเรือบินอลวนในการทำลายนั้นจึงง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย

“เอาล่ะ ข้าทำลายสิบสองเสาหยวนเฉินเรียบร้อยแล้ว ถึงตาพวกเจ้าแล้วนะ” กู่กานหลัวมองลงไปยังเจ้าลัทธิซางตานที่อยู่เบื้องล่าง ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นหากไม่ลงมือได้ ก็จะพยายามไม่ลงมือ เพื่อสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดา เขาจึงยอมลงมือสักครั้งหนึ่ง ต่อไปหากไม่มีความจำเป็น เขาก็คร้านจะลงมืออีกต่อไปแล้ว

นัยน์ตาของเจ้าลัทธิซางตานเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและบ้าคลั่ง พลังยุทธ์ของกู่กานหลัวผู้นี้แกร่งกล้ายิ่งกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้เสียอีก!

******

ทางฝั่งลัทธิจอมมารดานี้ตื่นเต้นยินดีแทบคลั่ง

ทางฝั่งผู้บำเพ็ญทั้งตกใจทั้งโมโห

“กู่กานหลัว!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเดือดดาลจนตาแทบถลน เขามองดูเรือบินอลวนที่อยู่ไกลออกไป

“กู่กานหลัว ข้าก็กลัวอยู่ กลัวว่าเขาจะสอดมือยุ่งเกี่ยว แล้วก็ลงมือจริงๆ เสียด้วย” ประมุขเกาะกาลมิติก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดขึ้น

“สมควรตาย”

“เขาถึงกับสอดมือเข้ามายุ่ง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตกใจและโมโหเช่นกัน พลังยุทธ์ที่กู่กานหลัวสำแดงนั้นช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง อาศัยเรือบินอลวนก็ถึงกับทำลายสิบสองค่ายกลเสาหยวนเฉินได้ พูดถึงพลังการโจมตีก็แข็งแกร่งกว่าลัทธิจอมมารดามากมายเหลือเกิน!

ที่น่าโมโหก็คือ… ตอนนั้นกู่กานหลัวพูดเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าเลือกประมุขวังเป่ยเสวียนทางฝั่งพวกเขา จะช่วยเหลือพวกเขา

แล้วตอนนี้เล่า บอกว่าจะแปรพักตร์ก็แปรพักตร์!

“โครม”

ค่ายกลถูกทำลาย ผนึกที่ปิดล้อมที่มั่นของลัทธิจอมมารดาก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งภายในป้อมปราการทรงกลมที่ใหญ่โตถึงเพียงนั้นยังมีเรือรบซวีมู่อันโบร่ำโบราณลำนั้นบินออกมา ทว่า ‘เรือบินอลวน’ กลับเคลื่อนผ่านอากาศมาถึงข้างๆ เรือรบซวีมู่ ทั้งสองเคลื่อนมาเข้าใกล้กัน

“นี่คือของกำนัลส่วนแรกของพวกเรา”

“ดีมาก นี่คือค่ายกลหกแห่ง ยกให้พวกเจ้าเอาไปใช้งานชั่วคราว”

ลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวตกลงแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว

กู่กานหลัวย่อมไม่อนุญาตให้เหล่าเจ้าลัทธิคนอื่นๆ ของลัทธิจอมมารดาเข้ามา ‘เจ้าลัทธิซางตาน’ ผู้นั้นให้สัตย์สาบานกับเขาเอาไว้ว่าจะเป็นข้ารับใช้ของเขา เขาจึงวางใจเป็นอย่างยิ่ง แต่กับเหล่าเจ้าลัทธิคนอื่นๆ ของลัทธิจอมมารดานั้น เขาไม่มีทางวางใจได้เลย

……

“ฟิ้ว” “ฟิ้ว”

เรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดาเคลื่อนผ่านท้องฟ้าจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเรือบินอลวนก็จากไปตามๆกัน

“ตามล่า”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ตงป๋อเสวี่ยอิง และผู้ครองชิง พวกเขาแต่ละคนต่างก็อาศัยการรับสัมผัสจากอากาศ ตามระลอกคลื่นไป

โดยเฉพาะตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีความเฉียบแหลมในการควบคุมอากาศอย่างที่สุด ตอนนี้เขาเกือบจะสามารถรับสัมผัสมิติใดๆ ก็ได้ทั่วทั้งจักรวาล มีสถานที่จำนวนน้อยนักที่เขาไม่สามารถรับสัมผัสได้ อย่างเช่นชั้นในสุดของโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ! หรืออย่างเช่นสถานที่แรกเริ่มนั้นก็มิใช่สถานที่ที่เขาจะสามารถรับสัมผัสได้เลยจริงๆ

“มีกู่กานหลัวคอยช่วยเหลือพวกเรา พวกเราจะต้องติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดาได้อย่างรวดเร็วแน่” เหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาต่างก็ลงมือกันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เคลื่อนที่ผ่านอากาศไปถึงหนึ่งในสถานที่หกแห่งของจักรวาลแล้ว เรือรบซวีมู่ก็หยุดลง เหล่าเจ้าลัทธิบินออกมาในทันใด พอโบกมือคราหนึ่งก็มีเจดีย์สังเวยสีเทาแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ชายชราผอมแห้งผู้หนึ่งเริ่มต้นปลุกกระตุ้นเจดีย์สังเวยแห่งนี้โดยการสวดพึมพำเบาๆ อยู่ที่ด้านหน้าเจดีย์สังเวย

และเจ้าลัทธิอีกสองคนด้านข้างก็หยิบเอาหนึ่งในค่ายกลหกแห่งที่กู่กานหลัวมอบให้พวกเขาออกมาแล้วเริ่มต้นติดตั้ง

ฟิ้ว…

เรือบินอลวนก็ปรากฏขึ้นยังท้องฟ้าเหนือพวกเขา คุ้มกันพวกเขาเอาไว้

“เจ้าพวกโง่เง่าพวกนี้ ก็แค่ติดตั้งค่ายกลแห่งหนึ่งเท่านั้น เร็วหน่อยเถิด” กู่กานหลัวเร่งเร้า

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…

ณ ท้องฟ้าไกลออกไป เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิง ผางอี ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ตงป๋อเสวี่ยอิง และประมุขหยวนชูนั่นเอง

“พรึ่บ…” ทันใดนั้นเจดีย์สังเวยสีเทาแห่งนั้นเริ่มมีพลังอันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งแผ่ออกมาตามแรงกระตุ้น แล้วส่งผ่านไปทั่วทั้งจักรวาลแทบจะในทันที ณ สถานที่หลายแห่งในจักรวาลต่างเริ่มมีเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาปรากฏขึ้น พลังอันไร้รูปร่างเริ่มส่งผลกระทบไปทั่วทั้งจักรวาล ปัง ปัง ปัง… จักรวาลต่างก็สั่นสะเทือน พลังฟ้าดินต่างก็เริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย

“แท่นบูชาจอมมารดาสร้างขึ้นจากเจดีย์สังเวยหกแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “นี่คือเจดีย์สังเวยแห่งแรก เมื่อทั้งแท่นบูชาถูกสร้างขึ้น ก็สามารถแผ่อิทธิพลไปทั่วทุกหนทุกแห่งในจักรวาล อาจเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงทั้งจักรวาลได้”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและคนอื่นๆ สีหน้าเขียวคล้ำ พวกเขาก็ได้รับระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยส่งมาก่อนหน้านี้ ก็เข้าใจในข้อมูลอยู่บ้าง

“ลงมือ!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตออกคำสั่งเสียงหนึ่ง

ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วในตอนนี้

สิ่งที่กู่กานหลัวทำลงไปทั้งหมดก็แสดงชัดแล้วว่าเขายืนอยู่ข้างลัทธิจอมมารดานั้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว

 จุดประสงค์สุดท้าย

 

“น้องตงป๋อ จักรวาลคีรีมารของข้าปฏิบัติต่อผู้แกร่งกล้าต่างถิ่นอย่างเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งแยก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวอมยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าว่านี่เป็นเพราะอะไร”

“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างตั้งใจ

“ด้วยเป็นคำสั่งของบรรพบุรุษ ข้าผู้เป็นผู้สืบทอดรุ่นหลังย่อมมิกล้าละเมิด” เจียวอวิ๋นหลิวกดเสียงต่ำพูดว่า “เจ้าก็คงจะได้ยินมาแล้ว ระบบการบำเพ็ญสายโลหิตของพวกเรา…ก็เพราะวิญญาณของพวกเราทั้งจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนสังเคราะห์มาจากท่านบรรพชนร่วม ท่านบรรพชนท่านมีพละกำลังอันมิอาจเอาชนะได้อย่างเหนือจินตนาการ ในอนาคตเมื่อจักรวาลแห่งนี้ถึงกาลอวสาน พวกเราไปจากจักรวาลแห่งนี้ ก็สามารถไปร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านบรรพชนได้”

ในขณะนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดิมทีกำลังจิบสุราอย่างช้าๆ ก็หยุดลงโดยไม่รู้ตัว

“ข้าบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง”

เสียงของเจียวอวิ๋นหลิวยิ่งกดต่ำลงไปอีก “ท่านบรรพชนของบ้านข้าอยู่ที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา โลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้นเป็นสิ่งที่ท่านบรรพชนของบ้านข้ากับท่านผู้ทัดเทียมกันอีกท่านหนึ่งร่วมมือกันสรรค์สร้างขึ้น!”

ม่านตาของตงป๋อเสวี่ยอิงหดตัวลง ในใจหวาดหวั่น

โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราหรือ

นี่มัน…

มิใช่สถานที่ที่บรรพชนเทียนอวี๋ ประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบอาศัยอยู่หรอกหรือ ในท้ายที่สุดแล้วเหล่าผู้บำเพ็ญของจักรวาลตนก็ต้องไปสวามิภักดิ์ต่อบรรพชนที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา

ที่แท้แล้วโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเป็นสถานที่ที่ท่านบรรพชนของจักรวาลคีรีมารกับท่านผู้ทัดเทียมกันอีกท่านหนึ่งร่วมมือกันสรรค์สร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ

“สถานะของท่านบรรพชนของบ้านข้าในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้นสูงส่งยิ่งนัก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “ผู้ที่เต็มใจจะสวามิภักดิ์ต่อบรรพชนนั้นมีมากมายเหลือคณานับ กับสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลอื่นๆ ท่านบรรพชนก็ปฏิบัติด้วยอย่างทัดเทียมกัน ดังนั้น น้องตงป๋อ… เจ้ามีพลังเช่นนี้ ถึงแม้ว่าบ้านเกิดเจ้าจะไม่มีเทพอากาศ แต่จักรวาลคีรีมาของพวกเรามี! เจ้าสามารถพาคนของเจ้ามา แล้วออกเดินทางร่วมกับพวกเรา มุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา แต่ทว่าเวลาของจักรวาลเรานั้นเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ตอนที่จักรวาลถึงกาลอวสาน จักรวาลอื่นๆ อาจเพิ่งผ่านไปเพียงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้นก็เป็นได้”

“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาที่แตกต่างกันเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งนัก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…ท่านบรรพชนก็อยากจะให้กำเนิดทายาทผู้แกร่งกล้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ด้วยน่ะสิ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ

จักรวาลคีรีมารแห่งนี้ช่างมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เสียจริง! บรรพชนเทียนอวี๋ ประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบที่ตนต้องไปหาในอนาคตผู้นั้น ก็อยู่กับเหล่าผู้แกร่งกล้าของจักรวาลคีรีมารที่โลกทิพย์แห่งหนึ่ง ต้องรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ให้ดีสักหน่อย ไม่แน่ว่าอำนาจของอีกฝ่ายอาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าบรรพชนเทียนอวี๋เสียอีก

“จักรวาลคีรีมารของพวกเราเชื่อมต่อกับจักรวาลอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย สร้างทางเชื่อมกับแต่ละจักรวาล” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “การทำให้ระบบการบำเพ็ญที่แตกต่างกันได้ปะทะกัน จะช่วยในการบำเพ็ญของพวกเราได้”

“แต่ว่า…”

“การปะทะของระบบที่แตกต่างกัน ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาที่เหนือกว่าจักรวาลอื่นๆ นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านบรรพชนยังทิ้ง ‘บรรพคีรีมาร’ เอาไว้อีกด้วย ”ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด

“มาแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหว

ต่อให้มิได้สังหารจักรพรรดิเทพมารแดง รอให้ตนบำเพ็ญจนแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ แผนการเดิมคือรอให้ถึงเวลาที่วิชาลับผู้ท่องไปถึงชั้นที่เก้าชั้นที่สิบ แล้วค่อยหาโอกาสแสดงพลัง ตอนนี้แสดงพลังไปก่อนล่วงหน้า…ก็ไม่เห็นเป็นอะไร! ผนวกกับความได้เปรียบของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของตนก็นับได้ว่ามั่นอกมั่นใจได้พอควรแล้ว

มาถึงยังจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ นอกจากเวลาที่เคลื่อนไปเร็วขึ้นกว่าสามพันเท่าจะสามารถยกระดับการบำเพ็ญของตนได้แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘บรรพคีรีมาร’ ที่เล่าขานกันมา

ยามที่พูดคุยกับองครักษ์เหล่านั้น…ย่อมได้ยินเกี่ยวกับบรรพคีรีมารในตำนานนั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคยเปรยกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ย่อมต้องมีความคิดเกี่ยวกับบรรพคีรีมาร

“บรรพคีรีมารเป็นสถานที่บำเพ็ญอันพิสดารพันลึกที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้” เจียวอวิ๋นหลิวพูด “ไปบำเพ็ญที่นั่น พลังจะรุดหน้าอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เจ้าไปดูก็จะรู้เอง แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยได้สัมผัสจริงๆ มาก่อนเลย”

พูดมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเจียวอวิ๋นหลิวก็ปรากฏแววกระหาย

ตัวเขาเป็นบุตรชายของเทพอากาศ ก็ปรารถนาบรรพคีรีมารเป็นอย่างมากเฉกเช่นเดียวกัน แต่กฎที่ท่านบรรพชนบัญญัติเอาไว้ ผู้ใดก็มิกล้าละเมิด

“บรรพคีรีมารมหัศจรรย์เป็นที่สุด ที่แท้แล้วมหัศจรรย์อย่างไร ต้องเข้าไปดูจึงจะรู้”

“ที่นั่นแบ่งออกเป็นชั้นใจกลาง ชั้นใน แล้วก็ชั้นนอก”

“ท่านบรรพชนบัญญัติกฎเอาไว้ว่า… มีเพียงผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุดและไปถึงระดับขั้นเทพอากาศเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปถึงชั้นใจกลางได้” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “ผู้ปกครองที่สามารถไปที่นั่นได้มีเพียงผู้เดียว ทั้งยังแข็งแกร่งที่สุด เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ของข้าคงมีความหวังริบหรี่”

“ชั้นใน ว่ากันว่ามีแกนค่ายกลอยู่เพียงเก้าอันเท่านั้น ทุกๆ แกนค่ายกลจะมีคูหาอยู่แห่งหนึ่งซึ่งสามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียว กฎของท่านบรรพชนก็คือ ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งกับผู้ปกครองแปดคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปยังชั้นในได้”

“ชั้นนอก มีค่ายกลสามสิบสองแห่งประกอบเข้าด้วยกัน เท่ากับมีสามสิบสองคูหา! ท่านบรรพชนกำหนดให้ผู้ปกครองสามสิบคน กับผู้เคารพสองคน ที่จะสามารถเข้าไปได้”

เจียวอวิ๋นหลิวเอ่ยอย่างจนใจ “ดังนั้นทั่วทั้งบรรพคีรีมาร…อย่างมากที่สุดก็มีเพียงผู้ปกครองสามสิบแปดคน ผู้เคารพกับเหล่าเทพอากาศสามคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้”

“และผู้ปกครองของจักรวาลคีรีมารของเราก็มีเกินกว่าสองร้อยคน แล้วยังมีผู้ปกครองจากจักรวาลแห่งอื่นๆ รวมเข้าไปอีกร้อยกว่าคน คิดจะเป็นสามสิบเก้าคนแรกที่ได้เข้าไปนั้นยากเย็นสักเพียงใดกั

เจียวอวิ๋นหลิวส่ายศีรษะ

ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง

ยากจริงๆ

ผู้ปกครองของจักรวาลคีรีมารมีมากมายไม่ต่างจากจักรวาลอื่นๆ ผู้ปกครองสามร้อยกว่าคน! คิดจะเข้าไปยังบรรพคีรีมาร มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น

“มีผู้เคารพมากน้อยสักเท่าใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม

“จักรวาลคีรีมารของพวกเรามีผู้เคารพเกินพันคนกระมัง รวมกับจักรวาลอื่นๆก็ต้องมีเป็นหลายร้อยคน ท้ายที่สุดมีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้” เจียวอวิ๋นหลิวพึมพำ “ผู้เคารพสามคนนี้ มีสองคนที่ล้วนมาจากต่างถิ่น มีเพียงคนเดียวที่เป็นคนของจักรวาลคีรีมารเรา”

เจียวอวิ๋นหลิวมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเป็นประกาย “น้องตงป๋อ ข้าบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้าก็เพราะเหตุนี้ ถึงแม้ว่าผู้เคารพทั้งสามที่เข้าไปในบรรพคีรีมาร พวกเขาก็น่ากลัวเป็นอย่างมากแล้ว แต่ว่า…ในพวกเขาสามคน มีเพียงสองลำดับแรกเท่านั้นที่เอาชนะผู้ปกครองได้ ส่วนคนที่สามนั้นก็แค่พอสูสีกับผู้ปกครองเท่านั้น”

“เจ้าสามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้” เจียวอวิ๋นหลิวพูดต่อ “ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะมิใช่จักรพรรดิเทพที่ร้ายกาจอะไร ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าไปยังบรรพคีรีมาร แต่ก็มิได้นับว่าอ่อนแอเกินไปนัก เจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ ก็มีหวังที่จะไปท้าทายผู้เคารพในบรรพคีรีมารได้แล้ว”

“การเข้าไปในบรรพคีรีมาร…จุ๊ๆ แม้ยามฝันข้าก็ยังอยากเข้าไป เกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้บำเพ็ญทุกคนในจักรวาลคีรีมารของเรา ก็คือการเข้าไปยังบรรพคีรีมาร!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

การจะเข้าไปยังบรรพคีรีมารนั้นมิง่ายเลย เพราะด้านในมีผู้เคารพอยู่สามคนแล้ว ตนต้องการที่จะเข้าไป เช่นนั้นก็จำเป็นต้องต่อสู้เอาชนะเพื่อขับออกมาเสียคนหนึ่ง

ต้องรู้ไว้ว่า…

สามท่านตรงหน้า มีสองท่านที่เคยมีประวัติเอาชนะผู้ปกครองมาแล้ว

เหมือนกับผู้ครองชิงและผางอีแห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญ ยามที่ผู้ครองชิงเป็นผู้เคารพก็ไม่เคยเอาชนะผู้ปกครองมาก่อนเลย อย่างมากที่สุดก็แค่สูสีกับผู้ปกครอง ส่วนผางอีนั้น ถึงแม้ว่าตอนเป็นผู้เคารพจะเคยเอาชนะผู้ปกครอง แต่นั่นคือผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดที่ซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงเอาไว้

เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว การที่ผู้เคารพจะเอาชนะผู้ปกครองได้นั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก

นี่คือสามท่านที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในบรรดาผู้เคารพจำนวนมหาศาลของ ‘จักรวาลคีรีมาร’ และจักรวาลอื่นๆ อีกมากมาย นั่นต้องเรียนรู้ผ่านระบบการบำเพ็ญมากมายกว่าจะคัดสรรผู้เคารพสามท่านออกมาได้ ทั้งยังบำเพ็ญอยู่ภายในบรรพคีรีมารเป็นระยะเวลานาน พลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มีหลักประกันเพียงพอ เดิมทีวางแผนจะบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องให้ร้ายกาจกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไป ใครจะไปคิดว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะโผล่ออกมากันเล่า!

“ลองดูก่อนก็แล้วกัน”

“ถึงแม้จะพ่ายแพ้ ก็สามารถลองดูอีกเป็นครั้งที่สองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คิดล่าถอย ถึงอย่างไรการต่อสู้ที่บ้านเกิดก็สามารถปะทุขึ้นมาได้ทุกเวลา ยิ่งเข้าไปในบรรพคีรีมารได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเล่าเรื่องราวอีกเล็กน้อย จริงๆแล้วเขาก็มิได้รู้มากมายสักเท่าใดนัก สุดท้ายแล้วพลังของเขาก็ยังห่างชั้นกับการเข้าไปในบรรพคีรีมารอีกไกลโข

“เอาล่ะ ข้าก็พูดในสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว น้องตงป๋อ ข้าต้องรีบไปบำเพ็ญ มิอาจอยู่เป็นเพื่อนได้แล้ว”

ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวยืดกายลุกขึ้น เขามีความทอดถอนใจอยู่บ้าง “คราวนี้ได้น้องตงป๋อช่วยข้ารักษาผลวิเศษมารดำเอาไว้แท้ๆ ข้าติดค้างบุญคุณอันใหญ่หลวงกับเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว”

“การปกป้องท่านชาย เป็นสิ่งที่ข้าสมควรต้องทำอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายลุกขึ้นเช่นกัน

“ไม่ๆ ถ้าหากเจ้าทรยศ หรือแย่งชิงผลวิเศษมารดำไปจากข้า ข้าก็หมดหนทางแล้ว” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด

“บุญคุณครั้งนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว ตอนนี้ข้าไปเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญก่อนล่ะ”

“ไปเถิดๆ อย่ากังวลเรื่องข้าเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขาเองก็รู้ว่าเจียวอวิ๋นหลิวผู้นี้จะต้องอยากไปบำเพ็ญอยู่แล้วเป็นแน่

เจียวอวิ๋นหลิวแย้มยิ้ม แล้วจากไปเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญในทันที

ตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ตาพลางพึมพำเสียงแผ่ว “บรรพคีรีมาร…”

……

จักรวาลผู้บำเพ็ญ ภายในห้องโถงเล็กของตำหนักเทพคมมีดโลหิต

ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น นั่นก็คือร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิง

“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่เดินออกมา

“เสวี่ยอิงหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถามขึ้น “มีข่าวอันใดหรือ”

“ข้าอาจจะต้องไปที่บรรพคีรีมารในเร็ววันนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ท่านอาจารย์ ภารกิจที่ท่านให้ข้าทำ ข้าจะต้องทำอย่างสุดกำลังแน่ ท่านอาจารย์ยังมีคำสั่งอันใดอีกหรือไม่ขอรับ”

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset