Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 12

ตอนที่ 12
 ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุม

เหล่าผู้ปกครองสิบท่านที่อยู่ในตำแหน่งสุดยอดของจักรวาลผู้บำเพ็ญกำลังหารือกันอยู่

อันที่จริงความคิดในใจส่วนลึกของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็คิดว่าควรจะถอนรากถอนโคนเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาเหล่านี้เสียให้สิ้น! ถึงอย่างไรสงครามหนึ่งแสนปีนี้ การต่อสู้ก็แผ่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ พื้นที่มากมายของโลกเทพและหุบเหวลึกดำมืดต่างก็วอดวาย ชีวิตที่บาดเจ็บล้มตายก็มากมายนับไม่ถ้วน พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็มีจิตใจคับแค้น

แต่ในการปะทะกันของสองชนเผ่าจักรวาล ไม่สามารถทำตามอารมณ์เพียงอย่างเดียวได้

หนึ่ง บางทีลัทธิจอมมารดาอาจมีวิธีการสู้ให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้าง ทำให้ทางฝั่งผู้บำเพ็ญต้องชดใช้อย่างขมขื่น สอง สมบัติล้ำค่าจำนวนมากมายของลัทธิจอมมารดา อันที่จริงก็มีแรงดึงดูดเป็นอย่างมาก ลำพังแค่ใช้ในการเรียนรู้และขัดเกลา ก็มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเป็นอย่างมากแล้ว

“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเขาสักทางหนึ่งก็แล้วกัน”

“ให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเขาก็ได้! แต่ว่าจะต้องกักขังพวกเขาจนถึงตอนสิ้นยุคจักรวาล ถึงเวลานั้นจะต้องให้เทพอากาศในหมู่พวกเราพาเขาจากไปพร้อมกัน”

“ถูกต้อง จะต้องมิให้พวกเขาเข้าไปในเรือบินอลวนของกู่กานหลัวเป็นอันขาด”

“กู่กานหลัวผู้นั้น…ชั่วร้ายเป็นที่สุด! ให้เขาพาลัทธิจอมมารดาจากไปน่ะหรือ เฮอะ เกรงว่าจะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องหนึ่งน่ะสิ”

เหล่าผู้ปกครองหารือกันอย่างง่ายๆ ก็ได้ข้อสรุปแล้ว

ยามกระต่ายตื่นตูมก็ยังแว้งกัดคน ในเมื่อมาจนถึงจุดนี้แล้ว เช่นนั้นก็ให้ความหวังเส้นสุดท้ายกับศัตรูสักเส้นหนึ่งแล้วกัน! หากไร้ซึ่งความหวังแล้วศัตรูก็คงได้แต่วิปลาส แต่หากมีความหวัง…ศัตรูก็จะรอคอยวันที่ถูกปลดปล่อยวันนั้นอย่างเชื่อฟัง ถ้าหากทางฝั่งผู้บำเพ็ญร้ายกาจมากพอ เมื่อถึงเวลาก็สามารถไม่ทำตามสัญญา ไม่ช่วยพาพวกเขาไปก็ได้  แต่หากทำเช่นนั้นก็แน่นอนว่าจะไม่ได้รับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดาแล้ว

“ข้าไปคุยกับพวกเขาก่อน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด “สงครามมาถึงจุดนี้แล้ว ยังให้โอกาสรอดชีวิตกับพวกเขาสักทางหนึ่งดีกว่า พวกเราก็นับว่ามีเมตตาเป็นอย่างมากแล้ว แต่ทุกๆ ท่านก็ยังต้องระแวดระวังอยู่ตลอด ลัทธิจอมมารดาไม่คู่ควรที่จะได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่หรอก”

“เข้าใจแล้ว”

“วางใจเถิด”

“พวกเราต่างก็มีร่างแยกทิ้งเอาไว้คอยพิทักษ์เสาหยวนเฉินอยู่ตลอดเวลา”

กลางท้องนภาอันพร่างพรายไปด้วยดวงดาว บนยอดของเสาหยวนเฉินทุกต้นต่างก็มีเหล่าผู้ปกครองคอยพิทักษ์อยู่

……

และที่ท้องฟ้าอีกแห่งหนึ่ง ภายในเรือบินอลวน

รูปสลักขนาดมหึมาที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเยียบเย็น บนใบหน้าของ ‘กู่กานหลัว’ แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ มองเหยียดลงไปยังชายหนุ่มมีเขา ผิวหนังสีเขียวผู้หนึ่งที่อยู่ด้านล่าง  ในแววตาของชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวผู้นี้มีความเจ็บปวด ทว่าไม่ยอมจำนน ร่างกายก็กำลังสั่นไหวเล็กน้อย

“ทำเกินไปแล้วหรือไม่” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเอ่ยอย่างหดหู่

“จุ๊ๆๆ ทำเกินไปหรือ มิได้เกินไปเลยแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าทางฝั่งผู้บำเพ็ญจะไว้ชีวิตพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ปากพวกเขาพูดว่ารอให้ถึงเวลาสิ้นสุดยุคจักรวาลแล้วจะพาพวกเจ้าจากไปพร้อมกัน แต่พอถึงเวลาแล้วพวกเขาก็ไม่พาพวกเจ้าจากไปหรอก ปล่อยให้พวกเจ้าสูญสลายไปพร้อมกับยุคนี้นั่นแหละ  แล้วพวกเจ้าจะไปทำอย่างไรได้” กู่กานหลัวหัวเราะ ในเสียงหัวเราะนั้นแฝงไปด้วยความดูแคลน “เอาความหวังไปฝากเอาไว้กับความเมตตาของฝั่งผู้บำเพ็ญ นี่มันโง่เง่าเกินไปแล้ว ท่ามกลางสงครามแสนปีก่อนหน้านี้ ในยามสงครามพวกเจ้าจงใจทำให้สงครามส่วนหนึ่งแผ่กระจายออกไป  สังหารสรรพชีวิตชาวเผ่าของพวกเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ความเคียดแค้นของผู้ปกครองเหล่านี้ที่มีต่อพวกเจ้าจะต้องเข้มข้นมากแน่”

“จากนี้ไปข้าจะเป็นข้ารับใช้ของเจ้า ข้ารับปากได้” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเอ่ยอย่างหดหู่ แต่จะต้องแบ่งสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดาของข้าที่จะมอบให้เจ้าออกเป็นสองส่วน ตอนที่เจ้าทำลายเสาหยวนเฉินช่วยเหลือพวกเราออกมา ก็จะมอบส่วนแรกให้กับเจ้า ยามที่ติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดา แล้วได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดจึงค่อยมอบส่วนสุดท้ายให้ นี่คือข้อเน้นย้ำของพวกเรา”

“เจ้าจะยอมรับปากหรือไม่”

“หรือไม่…ลัทธิจอมมารดาของพวกเราก็จะตายกันไปให้หมดเสียดีกว่า” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเงยหน้ามองรูปสลักขนาดมหึมาตรงหน้า

ตอนที่สงครามเพิ่งเริ่มปะทุได้ไม่นานสักเท่าใด กู่กานหลัวก็เริ่มล่อลวงให้ผู้ปกครองของลัทธิจอมมารดาคนหนึ่งเข้ามาในเรือบินอลวนของเขา ในอดีตที่ห้ามผู้ปกครองเข้า นั่นเป็นเพราะเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา! ตอนนี้อยู่ภายใต้สภาวะตื่นตัว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายในเรือบินอลวน เขาก็ไม่สนใจผู้ปกครองคนหนึ่งอยู่แล้ว

ตามการดำเนินไปของสงคราม…

ความกล้าหาญของลัทธิจอมมารดานั้น ยิ่งมาก็ยิ่งอ่อนแอ สุดท้ายตอนนี้ก็ถึงกับยอมก้มหัวแล้ว

“จำเป็นต้องแบ่งเป็นสองคราวหรือ” กู่กานหลัวครุ่นคิด ทว่าในใจกลับลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง

เหล่าผู้แกร่งกล้าที่หยิ่งทระนงยิ่งกว่านี้ สุดท้ายก็ยังต้องยอมก้มหัวแต่โดยดี

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดานี้จะมีมากมายถึงเพียงนี้ เป็นของล้ำค่าที่แม้กระทั่งเทพอากาศก็ยังต้องอิจฉา” กู่กานหลัวตกตะลึงอยู่บ้าง เดิมทีเขามิได้คิดเป็นจริงเป็นจังกับลัทธิจอมมารดาเลย แต่ตอนที่สงครามเริ่มต้นขึ้น เขาได้แอบสอดส่องอยู่ในความมืด…แล้วค้นพบสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดาเข้า ก็เกิดความริษยาขึ้นมาในทันที เนื่องด้วยมีบางส่วนที่เป็นถึงขั้นเทพอากาศ มีบางส่วนที่เป็นของระบบอื่นๆ หากแต่เหล่าผู้แกร่งกล้าของลัทธิจอมมารดาได้ช่วงชิงมาไว้ส่งมอบให้แก่ชนรุ่นหลัง

ตอนนี้ลัทธิจอมมารดาแข็งแกร่งที่สุด ก็เทียบเท่าได้กับผู้ปกครอง อีกทั้งการจัดการสมบัติล้ำค่ายังค่อนข้างโง่เง่า ดังนั้นสมบัติล้ำค่าอันร้ายกาจมากมายจึงย่อมมิได้สำแดงพลังออกมาสักกี่มากน้อย

“ถ้าหากอยู่ในมือของข้า เช่นนั้นข้าก็จะทำกำไรได้มหาศาลแล้วจริงๆ” กู่กานหลัวอิจฉาจนคันยุบยิบในใจไปหมดแล้ว!

ความจริงแล้ว

นี่คือการล่มสลายของจักรวาลลัทธิจอมมารดา สมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายในโบราณสถานต่างก็เล็ดรอดออกมา ดังนั้นเหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาจึงได้มีสมบัติล้ำค่ามากมายเช่นนี้ หากแต่พลังยุทธ์อย่างเดียวไม่เพียงพอ สมบัติล้ำค่าอยู่ในมือของพวกเขาช่างน่าขันเหลือเกิน! ในทางกลับกัน ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ ผู้ที่ขาข้างหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศ เขาเพียงได้รับบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง ก็สามารถสร้างค่ายกลมากมายขึ้นมาได้ในทันที ซึ่งเป็นการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กว่าสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลของลัทธิจอมมารดามากมายนัก แต่อันที่จริงสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดา จำนวนมากล้วนเหนือกว่าเสาหยวนเฉิน แต่ยิ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่แกร่งกล้ายิ่งกว่า…คิดจะควบคุมนั้นก็ยิ่งมีขอบกั้นสูงขึ้น!

“หึๆ…”

“เพื่อการมีชีวิตรอด ก็ยังยอมก้มหัวเสียแล้ว” กู่กานหลัวเอ่ยเบาๆ “เพื่อสมบัติล้ำค่าจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ ก็คู่ควรให้ข้าลงมือแล้วล่ะ”

เขาคือบุตรทิพย์คนที่เจ็ดขององค์บรรพชนกู่ ก็ย่อมมีวิสัยทัศน์สูงกว่ามาก ใช้เรือบินอลวนก็สามารถอวดเบ่งไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน และสามารถต่อกรกับเทพอากาศได้ พูดถึงการรักษาชีวิต และการเอาชีวิตรอด เรือบินอลวนก็ยิ่งแกร่งกล้า ถึงแม้ว่าตอนนี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในการอาศัย ‘เรือบินอลวน’ จัดการกับผู้ปกครองกลุ่มหนึ่ง!

……

หลังจากที่พูดออกไปแล้วชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง เขากังวลว่ากู่กานหลัวจะไม่รับปาก แต่นี่คือฟางเส้นสุดท้ายของลัทธิจอมมารดาแล้ว เพราะพวกเขาเองก็กลัว กลัวว่าพอกู่กานหลัวได้รับสมบัติล้ำค่าที่มีอยู่ไปแล้วก็จะตบบ่าเบาๆ แล้วจากพวกเขาไป ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน

อีกทั้งสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดก็จะต้องเหลือเอาไว้ในส่วนที่สอง! จะต้องช่วยเหลือพวกเขาติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดา และคว้าชัยชนะในสงครามได้แล้ว จึงสามารถมอบส่วนที่สองให้แก่กู่กานหลัวได้

“ได้ เจ้าลัทธิซางตาน เจ้ามอบสัตย์สาบานเสียสิ” พอกู่กานหลัวเอ่ยวาจา ด้านหน้าของชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวพลันมีระลอกคลื่นพุ่งขึ้นมากลางอากาศ แล้วใบไม้ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเจ้าลัทธิซางตาน บนใบไม้ยังมีเงารางของคนแคระคนหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ ด้านบนมีตัวอักษรที่ไม่รู้จักอัดกันแน่นขนัด จากนั้นตัวอักษรก็ส่งสารมา ทำให้ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเข้าใจทั้งหมดอย่างสมบูรณ์

ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวคือเจ้าลัทธิที่ค่อนข้างเยาว์วัยคนหนึ่งของลัทธิจอมมารดา ทั้งยังเข้ามาที่เรือบินอลวนตั้งแต่เนิ่นๆในสงคราม

เขายื่นมือออกมาแล้วขยับน้อยๆ วิญญาณสายหนึ่งก็มาเกิดขึ้นบนใบไม้นี้ ทันใดนั้นก็ถูกใบไม้จับเอาไป ส่วนรูปสลักขนาดมหึมาของกู่กานหลัวในเวลานี้ก็มีวิญญาณสายหนึ่งมาเกิดบนใบไม้เช่นเดียวกัน

“วิ้ง”

บนใบไม้ เงารางของคนแคระเงยหน้าขึ้นมองกู่กานหลัวปราดหนึ่ง แล้วเมียงมองชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวที่อยู่ด้านข้าง ริมฝีปากขยับไหว แต่น้ำเสียงกลับดังก้องอยู่ในห้วงสมองของกู่กานหลัวและชายหนุ่มผิวหนังสีเขียว “ตั้งสัตย์สาบานแล้ว ผู้ฝ่าฝืน ตาย!”

ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวรู้สึกได้ถึงกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่าง นั่นคือกฎเกณฑ์ของสัตย์สาบานอันพิเศษยิ่ง ถ้าหากฝ่าฝืน เขาก็จะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา พลังของกฎเกณฑ์แกร่งกล้าเป็นที่สุด อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเขา ต่อให้เขาแกร่งกล้ากว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่าก็ไม่มีทางกล้าลองดีกับกฎเกณฑ์ของสัตย์สาบานนี้เลย

“นายท่าน” เจ้าลัทธิซางตานทักทายอย่างเคารพ

“ดีมาก” กู่กานหลัวอมยิ้มมองดูข้ารับใช้ใหม่ของตน “ตอนที่ข้าท่องเที่ยวอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน เคยได้รับค่ายกลชุดหนึ่งมาโดยบังเอิญ ค่ายกลชุดนี้ค่อนข้างร้ายกาจทีเดียว เอามาใช้ปกป้องเจดีย์สังเวยของพวกเจ้า ก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง”

“พวกเรามีเจดีย์สังเวยอยู่ทั้งหมดหกแห่ง” เจ้าลัทธิซางตานพูด “เจดีย์สังเวยหกแห่งกระจายอยู่ในจักรวาลทั้งหก ในที่สุดจึงสามารถสร้างแท่นบูชาได้”

“ค่ายกลชุดนี้มีทั้งหมดเก้าอัน ให้พวกเจ้าหกคนไปใช้ชั่วคราวก็เป็นเรื่องเล็กนัก” กู่กานหลัวพูดอย่างไม่ใส่ใจ สำหรับการห้ำหั่นกันในครั้งนี้เขาก็มิได้แยแสสนใจเลยจริงๆ ยามที่เขาท่องเที่ยวอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน ศัตรูคู่ต่อสู้โดยทั่วไปของเขาต่างก็เป็นเทพอากาศด้วยกันทั้งสิ้น! เป็นถึงบุตรทิพย์หัวแก้วหัวแหวนของบรรพชนกู่ พลังยุทธ์ของตนก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปกครอง แล้วยังอาศัยวัตถุภายนอกทั้งหลายในช่วงเวลาที่เป็นเลิศ ก็ย่อมสามารถต่อกรกับเทพอากาศได้

“ขอบคุณนายท่าน” เจ้าลัทธิซางตานรับคำอย่างปิติยินดี

“อีกประเดี๋ยวข้าก็จะสามารถทลายค่ายกลหยวนเฉินแห่งนั้นแล้วช่วยพวกเจ้าออกมาได้ พวกเจ้าก็เริ่มต้นติดตั้งเจดีย์สังเวยได้ทันที ข้าจะช่วยพวกเจ้ารักษาการณ์เอง! พอเจดีย์สังเวยหกแห่งติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดาได้ในท้ายที่สุด แล้วเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งจักรวาล ไม่มีพลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้จะเผชิญกับการกีดกันของจักรวาล พวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนแล้ว” กู่กานหลัวพูดอย่างสบายใจ

……

และในขณะนี้เอง

กลางท้องฟ้าพร่างพราวด้านนอกที่มั่นของลัทธิจอมมารดา ร่างแปรของเจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมกำลังเจรจาครั้งสุดท้ายกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต

“พวกเราไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ได้แต่หวังว่าทางฝั่งผู้บำเพ็ญของพวกเจ้าจะทำตามที่สัญญาไว้นะ” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมก้มศีรษะพูด

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า “ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะรอคอยอยู่ภายในที่มั่นแต่โดยดี อย่าได้มีเล่ห์กลอันใดอีก ถ้าหากพวกเจ้าหลอกลวงพวกเราแล้วล่ะก็… พวกเราก็ไม่มีทางให้โอกาสพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

“วางใจให้เต็มที่เถิด” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมอมยิ้มน้อยๆ

รับประโยชน์จากผู้ใด ทำการแทนผู้นั้น

 

“นี่มันอะไรกัน” จักรพรรดิเทพมารแดงไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็รู้สึกถึงภัยคุกคามได้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเขาก็ยังคงต้านรับไว้ไม่ทันอยู่ดี

ปลายหอกทิ่มลงบนเกราะน้ำแข็งสีขาวเหนือบ่าของเขา แต่ขอบคมอันน่าหวาดหวั่นนี้กลับทะลวงผ่านเกราะน้ำแข็งสีขาว ทะลุเข้าสู่ร่างกายของเขา เกราะพลที่รวมตัวอยู่บนปลายหอกระเบิดออกมาในทันใด อีกทั้งคลื่นสังหารยังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของจักรพรรดิเทพมารแดง

สีหน้าของจักรพรรดิเทพมารแดงพลันแดงจัด เขารีบใช้พลังน้ำแข็งแช่แข็งร่าง ปกป้องร่างกายอย่างแข็งขันในทันใดเพื่อขับไล่เกราะพลและคลื่นสังหารอันน่าหวาดหวั่นนั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงแทงหอกออกไปคราหนึ่งแล้วก็รีบชักกลับ เตรียมจะแทงหอกอีกเป็นครั้งที่สอง

จักรพรรดิเทพมารแดงสีหน้าซีดเผือด แม้ว่าพลังชีวิตของเขาจะอาศัยการแช่แข็งของพลังน้ำแข็งช่วยปกป้องเอาไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็สูญเสียไปเกือบสามส่วน แม้ว่าหลังจากนี้จะป้องกันตัวอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น แต่ก็คาดการณ์ว่าเพียงแปดหอกสิบหอกก็สามารถปลิดชีพตนได้แล้ว

พ่ายแพ้เสียแล้ว

จักรพรรดิเทพมารแดงเข้าใจในจุดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีลูกไม้เล็กๆ อยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงที่หลบหลีกเสียจนหาตัวจับยาก ผนวกกับวิชาหอกอันน่าหวั่นเกรงนี่…เขาก็รู้ว่าตนต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ข้า… จักรพรรดิเทพมารแดง จะพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของผู้เคารพคนหนึ่งได้ ฮ่าฮ่าฮ่า…”

จักรพรรดิเทพมารแดงหัวเราะลั่น ดวงตาข้างเดียวของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ความหนาวเหน็บเริ่มจะหดหายกลับไป แต่ในขณะนั้นเอง รอบด้านกลับมีร่างแปรปรากฏขึ้น ร่างจริงของเขาก็หายไปท่ามกลางร่างแปร แล้วร่างแปรก็หลีกลี้หนีไปทั่วทุกทิศทุกทาง

“หนีหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสังเกตเห็นเสียแล้ว

กระแสคลื่นสีแดงโลหิตพลันสาดกระจายไปทั่วบริเวณ แววสังหารแผ่กำจายไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง คราวนี้ความเร็วในการแผ่กระจายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ชัดเจนว่าจักรพรรดิเทพมารแดงทุ่มหมดหน้าตักแล้ว ร่างแปรร่างแล้วร่างเล่าหลบหนีอย่างฉับไวยิ่ง

“ปัง!” คลื่นสีแดงโลหิตอันปั่นป่วนพุ่งไปถึงเบื้องหน้าท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงในทันใด เจียวอวิ๋นเถิงมองคลื่นสีแดงโลหิตที่พุ่งโจมตีเข้ามาด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง เขาเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างยิ่งว่าเขาต้านรับการคุกคามของเขตแดนสังหารนี้ไม่ไหวแน่

“อย่าสังหารเขา จับเป็นเขาเสีย!” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวตะโกนขึ้นมา

สิ้นเสียงตะโกนนี้

กระแสคลื่นสีแดงโลหิตที่พุ่งไปถึงเบื้องหน้าท่านชายใหญ่กระจายตัวออกในทันใด แล้วแหวกทางให้ท่านชายใหญ่ ก่อนจะไปไล่ล่าร่างแปรเหล่านั้นต่อไป

หากแต่ร่างแปรรวดเร็วเกินไป และอาณาบริเวณของค่ายกลดาวเคราะห์ก็เล็กเกินไป ร่างแปรที่จักรพรรดิเทพมารแดงแยกออกมาจ่อมจมอยู่ภายใต้เขตแดนสังหาร หากแต่ร่างแปรที่มีกำลังมากก็ยังพุ่งออกมา พอออกจากอาณาบริเวณของค่ายกล จักรพรรดิเทพมารแดงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว และเขาก็มิได้คิดจะช่วยเหลือท่านชายใหญ่ด้วย ถึงอย่างไรภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เขาย่อมมิได้มีความหวังแม้แต่น้อย หากต้องช่วยก็เกรงว่าจะต้องเกี่ยวพันถึงชีวิตแล้วจริงๆ

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ร่างแยกร่างหนึ่ง แต่จักรพรรดิเทพมารแดงก็ไม่อยากตายอยู่ดี!

การถูกผู้เคารพเอาชนะกับการถูกผู้เคารพสังหารนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! จักรพรรดิเทพมารแดงยังหวังว่า…จะเหลือหน้าเอาไว้สักหน่อย

……

พรึ่บ

ณ ฟากฟ้าอันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง จักรพรรดิเทพมารแดงปรากฏกายขึ้น เขาหันศีรษะมองกลับไปมาแล้วจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกจากปากด้วยความจนใจและทอดถอนใจอยู่บ้าง

“น่าขายหน้าเสียจริง”

“จักรวาลบ้านเกิดถูกพิชิตเสียได้! มาถึงจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ ปรารถนาจะไปที่ ‘บรรพคีรีมาร’ แต่กลับถูกบดขยี้สังหาร… เพื่อทรัพยากรในการบำเพ็ญ จึงได้สวามิภักดิ์ต่อท่านชายใหญ่ของตระกูลเทพอากาศ ใครเล่าจะไปคิดว่าจะถูกผู้เคารพคนหนึ่งกำราบเอาได้” จักรพรรดิเทพมารแดงส่ายศีรษะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยท่านชายใหญ่ แต่เขาก็มิได้แยแสเลยสักนิด

ถึงอย่างไรก็เป็นท่านชายใหญ่ที่ขอร้องเขา!

เขาเป็นถึงผู้ปกครอง จะต้องยอมจำนนจริงๆ เหล่าท่านชายของสามตระกูลใหญ่เทพอากาศ เพียงแค่ยังมิได้เป็นผู้ปกครองเท่านั้น เกรงว่าทุกคนต่างก็กระหายอยากกันทั้งนั้น

ทว่าผู้ปกครองเป็นองครักษ์ให้แก่ผู้เคารพคนหนึ่ง…นับได้ว่าน่าขายหน้าอยู่บ้าง

“ครั้งนี้เสียหน้าอย่างใหญ่หลวงเสียแล้ว เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านชายทั้งสองกับเหล่าองครักษ์มากมายต่างก็เห็นกันหมด เกรงว่าอีกไม่นานก็คงแพร่ไปทั่วทั้งจักรวาลคีรีมารแล้ว! แล้วยังมีผู้แกร่งกล้าของจักรวาลอื่นๆ อีก เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงได้สร้างชื่อ แต่เป็นการย่ำยีชื่อเสียงของข้า” จักรพรรดิเทพมารแดงเศร้าโศกอยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับทั้งปากและใจ เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงที่ต่อสู้กับเขาเมื่อครู่นั้นกระตุ้นเขาอยู่ตลอด บีบให้เขาแสดงพลังที่กล้าแกร่งที่สุดออกมา

ภายใต้สถานการณ์ที่สำแดงพลังอันกล้าแกร่งที่สุดออกมาแล้วยังถูกเอาชนะได้ เขาก็ไม่มีวาจาจะเอ่ยแล้ว

******

กระแสคลื่นโลหิตห่อหุ้มท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงเอาไว้ เช่นเดียวกับเหล่าองครักษ์

“ตงป๋อเสวี่ยอิง” ท่านชายใหญ่ฝืนคลี่รอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยต่อไปว่า “เจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อน้องชายของข้าก็เพียงเพื่อผลประโยชน์บางอย่างใช่หรือไม่ เขาให้อะไรเจ้า ข้าสามารถให้ได้มากกว่าอีกนะ!”

“สายไปแล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

ตอนแรกเขาต้องการโอกาสในการเข้าถึงกฎเกณฑ์ของระบบการบำเพ็ญสักครั้ง ตอนนี้ก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ในตอนนี้เขาต้องการเพียงแค่เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญเท่านั้น

“องครักษ์ตงป๋อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวกับซานตาน องครักษ์ฉง และเหล่าองครักษ์อีกกลุ่มหนึ่งเหินลอยออกมาอย่างรวดเร็วตามทางที่กระแสคลื่นสีแดงโลหิตแยกตัวออก บรรดาองครักษ์เหล่านั้นต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตื่นตะลึงระคนยกย่อง เหมือนกับที่บรรดาผู้เคารพทั่วไปที่จักรวาลผู้บำเพ็ญมอง ‘ผู้ครองชิง’ อย่างไรอย่างนั้น! ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะโอ้อวดเกินจริงยิ่งกว่านี้ แต่อย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นวิถีสามสาย ส่วนวิถีสองสายก็ไปถึงจุดคอขวดสูงสุด วิถีระลอกคลื่นก็ไปถึงขั้นสุดยอด นอกจากนี้ที่สำคัญยังสืบเชื้อสายผู้ท่องอากาศที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ครองชิงในตอนแรกเสียอีก

“ท่านชาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “สังหารใคร ไว้ชีวิตใครดีขอรับ”

“สังหารองครักษ์คนอื่นให้หมดเสีย ไว้ชีวิตพี่ใหญ่ข้ากับฉาอวิ๋นหนงเอาไว้” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ถ้าหากองครักษ์ตงป๋อมีความคิดเห็นเช่นไรก็พูดมา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดอะไร

กระแสคลื่นสีแดงโลหิตที่ล้อมรอบอยู่กลายเป็นคลื่นกระเพื่อม แล้วหุ้มห่อองครักษ์เหล่านั้นเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกับพวกเขามิได้มีความชิงชังอันใดต่อกัน แต่ท่านชายทั้งสองต่อสู้กันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เหล่าองครักษ์ของทางฝั่งท่านชายสามเองก็ตายตกตามกันหลายต่อหลายครั้ง เมื่อครู่ถ้าหากมิใช่ตน ฝั่งตนเองก็ต้องถูกสังหารเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมิอาจไว้น้ำใจได้! ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้น อย่างมากก็แค่ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปบ้าง

เขตแดนสังหารกลายเป็นคลื่นกระเพื่อม องครักษ์คนอื่นๆ ถูกสังหารจนหมด เหลือไว้เพียงแค่ฉาอวิ๋นหนงกับท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ เท่านั้น

“เจียวอวิ๋นเถิง พี่ชายข้า ท่านเคยคิดถึงบ้างหรือไม่ว่าท่านจะมีวันนี้ได้” ร่างของท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวสั่นเทาอยู่บ้าง

ทว่าท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงไม่มองน้องชายของตน แต่กลับมองตงป๋อเสวี่ยอิงแทน “ที่แท้แล้วน้องชายข้าให้สิ่งใดกับเจ้ากันแน่”

“เคล็ดวิชาของระบบการบำเพ็ญอื่นกับศาสตร์ลับจำนวนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“แค่นี้เองหรือ” ท่านชายใหญ่ยากที่จะเชื่อได้

จักรวาลคีรีมารมีความเปิดกว้างอย่างยิ่ง เคล็ดการบำเพ็ญที่สืบทอดกันก็เรียบง่ายนัก เมื่อเทียบกันแล้วศาสตร์ลับสูงค่ากว่า แต่สำหรับท่านชายใหญ่แล้ว ระดับท่านชายสามนี้มิอาจนับเป็นอะไรได้เลย

“หอกยาวเล่มหนึ่ง เสื้อเกราะ กับเรือรบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

ท่านชายใหญ่ไม่เอ่ยวาจา

เป็นสิ่งที่องครักษ์ทั่วไปของท่านชายก็ควรจะมีอยู่แล้ว

“หมดแล้วหรือ” ท่านชายใหญ่มองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วมองไปทางท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิว “น้องข้า เจ้าช่างโชคดีเสียจริง”

“ข้าสามารถให้เจ้าได้เป็นสิบเท่าร้อยเท่า เจ้าอยากจะมาเป็นองครักษ์ของข้าหรือไม่เล่า” ท่านชายใหญ่มองตงป๋อเสวี่ยอิง

“ข้าก็ทำได้” ท่านชายสามตะโกน เขารู้สึกเคร่งเครียดอยู่บ้าง

“รับประโยชน์จากผู้ใด ทำการแทนผู้นั้น” พอตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็มิได้พูดอะไรต่ออีก

ตงป๋อเสวี่ยอิงยึดมั่นจนเข้ากระดูกว่ามีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ สามสิบล้านปีมานี้ ท่านชายสามช่วยเหลือเขาเอาไว้ไม่น้อย ทั้งยังมีความเมตตา ในเมื่อมีบุญคุณเขาก็ต้องทดแทนอยู่แล้ว

ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงเห็นท่าก็รู้แล้วว่าขอร้องต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ บุคคลระดับผู้เคารพที่เหนือชั้นพรรค์นี้ย่อมมีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว เจียวอวิ๋นเถิงจึงเอ่ยค่อยๆ ว่า “แต่น้องชายข้ามีผลวิเศษมารดำ ผลวิเศษมารดำอาจไม่มีประโยชน์อันใดต่อระบบการบำเพ็ญอื่นๆ แต่กลับเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับระบบการบำเพ็ญสายโลหิตของพวกเรา เหตุใดเจ้าไม่สังหารน้องชายข้า แล้วชิงเอาผลวิเศษมารดำมาเล่า ประโยชน์ที่จะได้จากผลวิเศษมารดำมันเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้เลยนะ”

เจียวอวิ๋นเถิงมองท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวที่มีสีหน้าซีดเผือด “น้องชาย ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่นอนหรอกนะ ผลวิเศษมารดำน่ะหรือ ข้าไม่ได้มา เจ้าก็อย่าคิดว่าจะได้ไปเลย!”

ปัง!

ร่างของเจียวอวิ๋นเถิงระเบิดออกในทันใด

แต่กระแสคลื่นสีแดงโลหิตม้วนกลืนเขาจนจมมิดทันที แรงกระเพื่อมจากการระเบิดถูกเขตแดนสังหารสลายไปอย่างง่ายดาย

ทว่าบริเวณโดยรอบกลับเงียบสงบ ซานตานและองครักษ์ฉง ต่างก็มองท่านชายสามและตงป๋อเสวี่ยอิง

ผลวิเศษมารดำหรือ

“ยังมีฉาอวิ๋นหนงอีกคนหนึ่ง ท่านชาย ท่านจัดการเอาเองเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยความคิดออกมา สายโลหิตสาดกระจายไม่สิ้นสุด สุดท้ายก็เหลือแค่ฉาอวิ๋นหนงเพียงคนเดียวแล้ว ท่านชายกับองครักษ์กลุ่มหนึ่งก็สามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย

“องครักษ์ตงป๋อ น้องตงป๋อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองตงป๋อเสวี่ยอิง ในใจอดที่จะปลาบปลื้มยินดีมิได้

“ท่านชาย” ฉาอวิ๋นหนง กลับตะโกนขึ้นมาในเวลานี้

เจียวอวิ๋นหลิวสีหน้าแปรเปลี่ยน เขาหันหน้าไปมอง บนใบหน้าฉายแววเดือดดาล “เจ้ายังมีหน้ามาตะโกนใส่ข้าอีกหรือ ข้าเชื่อใจเจ้ามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาข้าตาบอดไปจริงๆ ฆ่ามันให้ข้าเสีย”

ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์กลุ่มหนึ่งต่างก็มองฉาอวิ๋นหนงด้วยแววตาอาฆาต

……

แต่เจียวอวิ๋นหลิวกลับนำทางตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงภายในวังแล้วนั่งลงตรงข้ามกันภายในโถงตำหนัก สาวใช้ยกสุราชั้นเลิศมาให้

ด้านนอกยังมีกองหิมะอยู่ ซึ่งเป็นกองหิมะที่เกิดขึ้นจากการที่จักรพรรดิเทพมารแดงสำแดงลมหนาวอนันต์เมื่อครู่

เจียวอวิ๋นหลิวรินสุราให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเองพลางยิ้มพูดว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้า เจียวอวิ๋นหลิว จะมีโชคดีเช่นนี้ ทำให้น้องตงป๋อมาเป็นองครักษ์ของข้าได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป น้องตงป๋อมิใช่องครักษ์ของข้าอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นพี่น้องของข้า ถ้าหากไม่รังเกียจข้า มา ดื่มสุราจอกนี้เสียสิ” เขาวางสุราจอกหนึ่งลงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงกับมือตนเอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยกจอกเหล้าขึ้น “ขอบคุณท่านชาย”

ทั้งสองยกจอกขึ้นดื่มพร้อมกัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เจียวอวิ๋นหลิวอารมณ์เบิกบานยิ่ง “คราวนี้น้องตงป๋อสามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ ตัวเป็นผู้เคารพแต่สามารถเอาชนะผู้ปกครองคนหนึ่งได้ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงแพร่สะพัดไปทั่วทั้งจักรวาลคีรีมารและจักรวาลรอบๆอีกมากมาย พอข่าวแพร่สะพัดออกไปแล้ว เกรงว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างตามมาแน่”

“เรื่องบางอย่างหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยท่าทีประหลาดใจ “ขอท่านชายโปรดชี้แนะด้วย”

เขาสนทนาพาทีกับเหล่าองครักษ์มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ และรู้จักจักรวาลคีรีมารดีพอสมควร ทั้งยังเข้าใจว่าหลังจากที่ตนเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงแล้วหมายความว่าอย่างไร แต่ก็มิได้รู้มากเท่ากับที่ท่านชายสามผู้นี้รู้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้การสำแดงพลังก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาด้วย

ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เคยสนทนากับเขาว่า “เสวี่ยอิง ถ้าหากถูกบีบบังคับ ก็สามารถแสดงเคล็ดวิชาระบบการบำเพ็ญของพวกเราให้จักรวาลคีรีมารรับรู้ได้ ความเร้นลับของระบบกฎเกณฑ์ในห้วงอากาศอันสับสนอลหม่านไร้ที่สิ้นสุดนั้นก็มิใช่ความลับอันใหญ่หลวงแต่อย่างใด ระบบของพวกเรานี้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว! แพร่ออกไปก็ไม่เป็นอะไร หากไม่มีผู้อาวุโสคอยชี้แนะ การบำเพ็ญก็ยากเย็นยิ่งนัก ภารกิจของเจ้าก็คือ…การรวบรวมสิ่งที่สามารถช่วยเหลือจักรวาลของเราทั้งหมดมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญ เคล็ดวิชา หรือว่าสิ่งอื่นๆ ก็ตาม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมตัวอย่างเต็มที่

แม้กระทั่งระดับขั้นของเขาในตอนนี้ ก็ยังเรียนรู้จากร่างแยกที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแยกไว้ก่อนนานแล้ว ตอนนี้ยังมีร่างแยกอีกร่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืดที่จักรวาลคีรีมาร! ถึงอย่างไรเวลาที่นี่ก็เคลื่อนไปเร็วกว่าถึงสามพันเท่า การอยู่ที่นี่ช่วยแม้กระทั่งการบำเพ็ญได้เป็นอย่างมาก

“เจ้าน่าจะได้ยินจากองครักษ์เหล่านั้นมาบ้างแล้ว แต่พวกเขาก็รู้ไม่มากนักหรอก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวรินเหล้าให้ตนเองพร้อมกับเอ่ยต่อไปว่า “ฉะนั้นฟังรายละเอียดที่ข้าจะพูดให้ดีล่ะ”

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset