Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 36 ปิกนิก 2

ตอนที่ 36 ปิกนิก 2

“นือออออออ…” เลฟี่ทำหน้าอารมณ์เสีย

 

เป็นเพราะสไลเดอร์เวอร์ชั่นเลฟี่นั้น ส่งผลตรงกันข้ามกับที่เธอหวังเอาไว้ ตอนแรกมันก็ดูน่ากลัวอยู่หรอกแต่พอผมได้ลองมันก็สนุกกว่าที่คิด

 

“โกรธอยู่หรอเลฟี่? เธอโกรธที่ชั้นนะไม่ออกอาการกลัวซักนิดเลยใช่ไหมล่ะ?” 

“นืออออ… ก็ได้ เรายอมรับว่าความกล้าของเจ้านะสูงกว่าที่เราคิดเอาไว้”

 

คำพูดของเธอนั้นขมขื่นและเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน การที่เธอเห็นหน้าที่เต็มไปด้วยชัยชนะของผมนั้นทำให้เธอกัดฟันตัวเองด้วยความหงุดหงิดอย่างชัดเจน

 

“หึ ของแค่นั้นนะไม่ทำให้เราหวั่นหรอกนะ จะทำให้เรากลัวได้นะต้องมากไปกว่านี้อีก”

“จะพูดอะไรก็เชิญ เพราะชั้นจำได้ว่าเสียงแรกที่เธอทำนะมันเป็นเสียงร้องด้วยความตกใจกลัวนะ” 

“เราจะกินกันหรือยังคะ? ท้องหนูร้องแล้ว…”

“โอ้ จริงด้วย โทษทีนะอิลูน่า เผลอคุยเรื่อยเปื่อยไปหน่อย เนอะ เลฟี่? เราหยุดคุยเรื่องไร้สาระนี้แล้วมาทานอาหารกลางวันกันดีกว่า?”

“ก็ได้”

“ถ้างั้นก็ มาจัดของกันดีกว่า เลล่า?”

“ได้ทันทีค่ะ นายท่าน”

 

เลล่าเปิดฝาตะกร้าแล้วเอาอาหารออกมาวางบนเสื่อปิกนิก พอทำเสร็จ ผมก็พูด “อิตาดาคิมัส” พร้อมกับคนอื่นๆ แต่มีเพียงลูที่ยังออกเสียงตะกุกตะกักอยู่ ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ชินกับคำนี้เท่าไหร่

 

ตอนแรกที่ผมพูดคำนี้ก็เพราะมันติดมาตั้งแต่เมื่อก่อน แต่อิลูน่าและเลฟี่ก็จำและเอามาใช้ตามจนเป็นเหมือนวัฒนธรรมของเราตอนยังอยู่กันสามคนไป และเหล่าเมดก็มาใช้ตามหลังจากพวกเธอมาอีกทีหนึ่ง

 

“ว้าว คาราอาเกะเยอะจัง! ของโปรดหนูเลย!” 

 

ดวงตาของอิลูน่าเป็นประกายทันทีที่เห็นอาหารกลางวัน เราก็เตรียมของอย่างอื่นมาด้วยแต่ตอนนี้ความหิวของเธอทำให้เธอโดนดึงดูดไปที่ของที่เธอชอบที่สุด

 

“เราทำมาเยอะ ดังนั้นจะกินเยอะแค่ไหนก็ได้เลยนะ”

 

คาราอาเกะ มันก็คือเนื้อไก่ทอดนั้นแหละ แต่ผมไม่รู้ว่าจะไปหาไก่มาจากไหนดี เลยเอาเนื้อนกหินแทน 

 

นกหินเป็นมอนเตอร์ที่อยู่ไม่ห่างจากดันเจี้ยนมาก ร่างกายของมันเต็มไปด้วยขนที่แข็งดังหิน ดังชื่อของมันเลย ไม่เพียงเท่านั้น เจ้านกพวกนี้ยังชอบร้องเพลงเวลาต่อสู้อีกด้วย ร้องว้ากๆแบบเพลงแนวเมทัล เพลงร็อกอะไรพวกนี้นะ

 

เนื้อนกหินนั้นทั้งนุ่มและอร่อย ชุ่มไปด้วยน้ำไขมันที่ไหลทุกครั้งที่กัด และทั้งกลิ่นและรสก็ไม่แรงเกินไปด้วย

“เจ้าเนื้อนี้อร่อยจริงๆแหะ ที่ยอมเหนื่อยออกไปล่ามาเพื่อวันนี้นี่คุ้มค่าดีจริงๆ”

“นี้เป็นเนื้อมอนเตอร์หรอคะ? ตัวอะไรหรอคะ?” ลูถาม

“นกหินนะ”

“อ๋ออ นกหินนี้เอง ก็ว่าทำไมเนื้อมันอร่อยดีจัง” ลูที่กำลังเอาเนื้อเข้าปากจู่ๆก็หยุดชงักเหมือนนึกอะไรซักอย่างออกก่อนจะตะโกนออกมา

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มาสเตอร์พูดว่านกหินหรอคะ!? เจ้าตัวระดับทำลายล้างนั้นหรอคะ? นี้มันเนื้อคุณภาพสูงขนาดนี้เลยหรอคะ!?”

“ระดับทำลายล้าง? อะไรล่ะนั้น?”

“เดี๋ยวนะ มาสเตอร์ไม่รู้เรื่องระดับหรอคะ? เอ่ ก็คงเป็นงั้นไม่งั้นคงไม่ถาม?”

 

“ก-ก็ พวกมอนเตอร์มันจะมีระดับความเป็นภัยของพวกมันนะคะ ในระดับทำลายล้างนะ แต่ตัวเดียวก็ก่อความเสียหายได้เท่ากับสงครามสงครามหนึ่งเลยค่ะ” 

“แล้วมันมีกี่ระดับกันหล่ะ?”

“ถ้านับทั้งหมดก็ 7 ค่ะ : ไร้พิษภัย, เสี่ยงที่จะอันตราย, อันตราย, ทำลายล้าง, ภัยพิบัติ, ภัยพิบัติขนาดใหญ่ และ มหันตภัย และก็ยังมีข้อมูลกำกับไว้อีกว่าแต่ละระดับสามารถสร้างความเสียหายได้ขนาดไหน”

 

“หืม ไม่รู้เลยนะนั้นว่าเจ้านั้นจะอันตรายขนาดนั้น เพราะชั้นแค่เหวี่ยงดาบที่เดียวก็เดี้ยงล่ะ เลยนึกว่าเป็นเหยื่อล่าง่ายๆซะอีก”

“เอ่ออ… มันเป็นเพราะมาสเตอร์เกินสามัญสำนึกไปหน่อยนะคะ แต่ชั้นก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกนะคะตราบใดที่ได้กินเนื้ออร่อยๆอย่างนี้นะ” ใบหน้าของลูตอนนี้อยุ่ในสภาพที่ว่าไม่รู้ว่าควรจะตกใจหรือประทับใจดี

“ลู” เลล่าขำคิกๆ “นกหินนะเป็นมอนเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดที่มาสเตอร์จับมาในวันนี้เลยนะ”

 

เลล่ามองไปที่แซนวิชและข้าวปั้นที่อยู่ตรงกลางของเสื่อปิกนิก

 

เมดทั้งสองช่วยแทบจะทุกเรื่องในการเตรียมอาหารกลางวันนี้ ยกเว้นเรื่องหาวัตถุดิบ เลล่าเลยรู้ทุกเมนูที่เราจะเสริฟในวันนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นกับปิกนิกในวันนี้มาก เลยออกไปล่ามอนเตอร์มาแทนที่จะนั่งขี้เกียจแล้วสั่งซื้อผ่านแค็ตตาล็อคแทน

 

“งั้นชั้นจะไม่ถามแล้วล่ะกันว่ามันมีเนื้ออะไรบ้าง ตราบใดที่มันอร่อยก็โอเคแล้วล่ะ”

“เป็นความคิดที่ไม่เลว” เลฟี่พยักหน้า “แต่เรารู้สึกว่ามันขาดรสขาดชาติไปหน่อยนะ ถ้ามีอะไรมาเพิ่มซักนิดหน่อยคงจะดีไม่น้อย”

“ชั้นรู้น่าเลฟี่ ของหวานนะเตรียมมาแล้ว เยอะด้วย”

“เย้! หนูรอไม่ไหวแล้ว!” อิลูน่าตะโกนอย่างดีใจ

“รู้วิธีเอาใจสาวจริงๆนะคะมาสเตอร์ ของหวานที่มาสเตอร์เอามาอร่อยซะจนชั้นอยากจะเอาหน้าลงไปซุกเลยล่ะค่ะ”

“ใช่เลยหล่ะ”

 

อิลูน่า ลู และเลฟี่พูดคุยกันอย่างมีความสุขทันทีที่ได้รู้ว่ามีของหวานตบท้าย เลล่านั้นนิ่งเงียบเพราะรู้อยู่แล้ว

 

“โลกนี้นะมันกว้างใหญ่” เลฟี่พูด “แต่ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะมีความสุขกับการกินของหวานไปได้ทุกที่ จงยินดีซะ ลู ที่เจ้าได้อยู่ ณ ตรงนี้”

“เดี๋ยวดิ ทำไมมาพูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนทำของพวกนี้เอาซะล่ะ? ”

“ฟังให้ดีนะยูกิ มันไม่สำคัญว่าตัวตนของคนที่ทำขนมเหล่านี้เป็นอย่างไร ความสามารถในการประเมินคุณภาพของหวานของเรานั้นเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ และด้วยเหตุ

 

นี้น้ำหนักคำพูดของเราจึงเป็นที่สุด เรารู้ดีกว่าสิ่งอื่นใดในความหมายของคำว่าหวานอร่อย คุณค่าของการรับรู้ของเรานั้นเหนือกว่าความชอบธรรมใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดของพวกมัน”

“อืมมมมมม จ้า กระผมรู้สึกยินดีอย่างมากกับ ‘ความยิ่งใหญ่’ ในความรู้เรื่องของหวานของท่านมังกรชั้นสูงมากเลยละครับ” ผมกรอกตาไปมา

“เยี่ยมมาก จดจำความรู้สึกนั้นไว้ในใจเจ้าซะ เพราะนั้นควรเป็นความรู้สึกที่เจ้ามีให้เราเวลาจ้องมองเรา”

 

เลฟี่ยิ้มอย่างมีชัยโดยไม่ได้รับรู้ถึงคำถากถางของผมเลยซักนิด

 

“อ่อ… จริงด้วยสิ มาสเตอร์ ชั้นอยากจะถามมานานแล้วว่า ทำไมถึงชอบเรียกเลฟี่ว่ามังกรชั้นสูงล่ะคะ?”

“ชั้นว่าชั้นเคยบอกไปแล้วนะว่าเธอเป็นมังกรนะ”

“ไม่นิค่ะ … นี้เป็นครั้งแรกที่ชั้นได้ยินเลยนะ มาสเตอร์ เดี๋ยวนะ พูดจริงดิ!?”

“ใช่แล้วล่ะ มังกรโบราณชั้นสูงผู้แข็งแกร่งที่สุดและมีหนึ่งเดียว เธอคงไม่เชื่อสินะ?”

“ก-ก็ แบบว่า… มันเป็นอะไรที่เชื่อยากนะคะ มังกรชั้นสูงนะเป็นอะไรที่อยู่ในตำนานเลยนะคะ แล้วเลฟี่ก็แบบ ทั้งตัวเล็กแล้วก็ไม่สนอะไรนอกจากของหวาน แถมยังทำตัวงอแงเวลาเจอเรื่องไม่พอใจอีกด้วย เลยมองเป็นแบบนั้นยากนะคะ”

 

ก็พูดถูก ตรงเผงเลยด้วย ถ้าผมไม่รู้ว่าเลฟี่เป็นมังกรมาก่อน ความรู้สึกของผมก็คงจะประมาณกระร็อกที่ชอบเก็บอาหารไว้ในแก้มให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ

 

“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะลู? เราอยากให้เจ้าพูดใหม่เหลือเกิน”

“ม-ไม่มีอะไรค่ะ! ท-ที่ชั้นไม่คิดว่าเธอไม่ใช่มังกรชั้นสูงเพราะไม่คิดว่ามังกรชั้นสูงจะสวยงามขนาดนี้นะคะ!”

“โอ้? งั้นบอกเราหน่อยสิ ว่าเจ้าคิดว่ารูปลักษณ์ของมันกรชั้นสูงจริงๆแล้วเป็นยังไง?” เลฟี่พูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว

“เอ่อ คือว่า…อืออ…”

 

ใบหน้าลูซีดขึ้นเรื่อยๆ

 

“หยุดเลยยัยบ๊อง ทำให้ลูเขากลัวแล้วนะ ไม่เห็นหรอ”

 

ผมสับหัวเลฟี่ที่เริ่มได้ใจเบาๆ

 

“โอ๊ย…! เจ้าจะตีเราด้วยเหตุผลอะไรกัน? มันไม่ใช่ความผิดเราซักหน่อย ลูนะ—”

“หยุดโบ๊ยความผิดให้คนอื่นเขาเลย คิดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบทำและสภาพตอนนี้ดูสิ เธอมีสิทธิมาบ่ยด้วยหรอ”

“…”

 

เลฟี่มองมาที่ผมอย่างงอนๆ แต่ผมไม่สนใจ

 

“ข-ขอบคุณนะมาสเตอร์ เดี๋ยวนะ เลล่า เธอนั่งเงียบอย่างนี้ อย่าบอกนะว่ารู้อยู่แล้วนะ?”

“ค่ะ มันก็เป็นที่ทราบกับดีอยู่แล้วว่าภายในป่าต้องห้ามนี้มีอาณาเขตของมังกรชั้นสูงอยู่ ฉันจำได้ว่าตอนเจอเธอครั้งแรกเธอมีมังกรเป็นลูกน้องอยู่มากมาย เลยพอเดาออก ฉันล่ะแปลกใจมากกว่าที่เธอยังไม่รู้นะ”

“ม-มันไม่มีทางที่ตอนนั้นชั้นจะรู้ได้หรอก! หลายอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แล้วท่านฟลูฟริร์ก็โผล่ขึ้นมา แล้วชั้นก็แบบว่า หยุดสนใจสิ่งอื่นไปเลยนะ…” 

 

(TL:อันนี้ผมแปลจากอิงอีกเจ้านะจิ เขาจะเรียก ฟิร์ เป็น ริร์ และ โมฟิร์ เป็น ฟลูฟริร์ จิ ของอันนี้ระเอียดกว่าด้วย อันที่แปลก่อนหน้านี้บางทีก็ตัดเยอะไปจนผมงงเหมือนกันจิ)

 

พูดถึงริร์แล้ว ทั้งเขาและชิอิกำลังพักอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ ผมบอกได้เลยว่าชิอินั้นหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เฟนริร์นะไม่ถึงตาจะปิดอยู่ แต่หูเขาขยับตอนที่ลูพูดถึงเขา ดูเหมือนว่าเขาจะแกล้งทำเป็นหลับเพื่อที่เราจะไม่ต้องไปห่วงเรื่องเขา

 

“คุยกันพอแล้วล่ะค่ะ! มารีปกินกันให้เสร็จกันดีกว่า จะได้ไปเล่นกันต่อ! หนูอยากจะเล่นแบตมินตัลต่อแล้วค่ะ!”

“ความคิดดีนี้ อิลูน่า”

“เย้! งั้นเดี๋ยวไปเล่นด้วยกันนะคะ!”

 

“แล้ว มาสเตอร์คะ ส่วนอิลูน่าล่ะ?”

“ไม่ล่ะ เธอเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา”

“นั้นก็… ทำให้เธอดูสุดยอดในแบบของเธอเองนะคะ ว่างั้นไหม? เด็กสาวที่ถูกรักจากทั้งจอมมารและก็มังกรชั้นสูง ชั้นว่าเธอเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในนี้แล้วหล่ะค่ะ”

 

ลูพูดถูก ผมเห็นด้วยเลย

 

ถ้านับตามความสำคัญละก็  ผมให้อิลูน่าเป็นที่ 1 เลย แต่ถ้าตามความแข็งแกร่ง เลฟี่เป็นที่สอง ริร์เป็นที่สาม ส่วนผมอยู่อันดับท้ายสุด ชิอินับเป็นสัตว์เลี้ยงจึงไม่เกี่ยว เหล่าเมดก็เช่นกัน

 

หลังจากนั้นเราก็หยอกล้อ วิ่งเล่นกันไปเรื่อยจนอิลูน่าเริ่มเหนื่อยแล้วค่อยๆเข้าสู่แดนนิทราไป

Options

not work with dark mode
Reset