Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 334

ตอนที่ 334

บทที่ 334
ตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์

 

 

หลังจากสังหารชายสวมหน้ากากทั้งสามคน หลี่ฟู่เฉินเริ่มสังหารชายชุดดำที่อยู่ในขอบเขตสวรรค์ที่เหลืออยู่ทันที ด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่อาจต้านทาน ชายชุดดำเหล่านี้ไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่นิดเดียว ทุกๆ คนถูกสังหารอย่างรวดเร็ว มีชายชุดดำสองสามคนที่หลบหนีไปได้หลายไมล์ แต่ทั้งหมดก็ถูกดาบของหลี่ฟู่เฉินเฉือนออกเป็นชิ้นๆ จากระยะไกล

 

หลังจากสังหารคนในชุดดำขอบเขตสวรรค์ทั้งหมดแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็เริ่มเข่นฆ่าคนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตสวรรค์ทันที

 

แต่ชายชุดดำเหล่านี้มีมากเกินไป ซึ่งมีจำนวนมากกว่าหนึ่งพัน หลังจากฆ่าพวกเขาไปได้ 100 ถึง 200 คน ส่วนที่เหลือก็สามารถหลบหนีการมองเห็นของหลี่ฟู่เฉินไปได้ในที่สุด

 

หลังจากเปิดถุงเก็บของชายสวมหน้ากากทั้งสามแล้ว อารมณ์ของหลี่ฟู่เฉินก็ดีขึ้นมาก

 

ในกระเป๋าเก็บสามใบ มันไม่มีไข่มุกโลหิตอยู่อย่างใด ก็ในเมื่อพวกเขาใช้ทั้งหมดของพวกมันไปแล้ว แต่มันก็ยังมีหินวิญญาณระดับต่ำมากมาย

 

หนึ่งในถุงนั้นมีหินวิญญาณระดับต่ำ 62 ก้อน ในขณะที่อีกสองถุงมีหินวิญญาณ 88 และ 180 ก้อนตามลำดับ ด้วยหินวิญญาณทั้งหมด 330 ก้อนนี้ นี่จึงนับเป็นโชคลาภที่ยิ่งใหญ่แน่นอน

 

‘ข้าสงสัยว่าผู้ฝึกตนเต๋าปีศาจเหล่านี้ได้รับหินวิญญาณระดับต่ำเช่นนี้มาจากไหน?’ หลี่ฟู่เฉินค่อนข้างมึนงง

 

หินวิญญาณระดับต่ำมีค่าสำหรับนักสู้ขอบเขตสวรรค์อย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่น่ายกย่องแล้วสำหรับการที่นักสู้ขอบเขตสวรรค์มีหินวิญญาณระดับต่ำสี่ห้าชิ้น แม้แต่นักสู้ขอบเขตสวรรค์ระดับสูงก็ไม่ได้มีหินวิญญาณระดับต่ำมากมายนัก เนื่องจากพวกเขาเองก็จำเป็นต้องบ่มเพาะและดูดซับพวกมัน

 

หลังจากรวมกับหินวิญญาณทั้งหมดที่หลี่ฟู่เฉินได้รับก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขามีหินวิญญาณระดับต่ำประมาณ 500 ก้อนแล้ว นี่เป็นจำนวนมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาเองก็ไม่ทราบว่านักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดที่เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตจะสามารถรวบรวมหินวิญญาณระดับต่ำจำนวนมากเท่าเขาได้หรือไม่

 

 

“อะไรนะ? ผู้คุมโถงหมาป่า ผู้คุมโถงลิง และผู้คุมโถงหนูถูกสังหารไปหมดแล้ว?”

 

หลังจากผ่านไปมากกว่าหนึ่งเดือน ในพื้นที่ประชุมใต้ดินระหว่างแคว้นวารีครามและแคว้นสวรรค์ปีศาจ ชายสวมหน้ากากกระทิงก็นั้นทั้งตกใจและโกรธเกี้ยวไปในเวลาเดียวกัน

 

ผู้คุมโถงหมาป่านั้นด้อยกว่าเขาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้คุมโถงลิงและผู้คุมโถงหนู พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายสวมหน้ากากผู้นี้ แม้แค่เพียงการหลบหนีพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ ซ้ำยังถูกสังหารในทันที เขาจะไม่ตกใจและโกรธเคืองได้อย่างไร?

 

“เราอาจต้องขอเด็กโลหิตเพื่อสังหารชายสวมหน้ากาก” ชายสวมหน้ากากกระต่ายเสนอ

 

หากนิกายธรรมะยังมีอัจฉริยะเป็นของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วลัทธิโลหิตของพวกเขาเองก็ย่อมต้องมีอัจฉริยะเหมือนกันโดยธรรมชาติ

 

ในฐานะที่เป็นถึงอัจฉริยะ ความแข็งแกร่งย่อมต้องเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยระดับการฝึกฝันหรือขอบเขต

 

เด็กโลหิตของลัทธิโลหิตมาถึงขอบเขตสวรรค์แล้วโดยพื้นฐานเขาก็ย่อมต้องได้ฝึกฝนเทคนิคปีศาจโลหิตจนถึงขั้นที่ 17 ขึ้นไป ใครที่อยู่ระดับสูงขึ้นไปหน่อยก็อาจไปถึงขั้นที่ 19 นอกจากนี้ ความสามารถของพวกเขาที่มีทั้งเทคนิคลับระดับ 5 ดาวและทักษะต่อสู้ระดับลึกลับขั้นสูงสุดนั้นไม่ใช่สิ่งที่เหล่าชายสวมหน้ากากสัตว์จะเทียบเคียงได้เลย

 

ในความคิดของเขา เด็กโลหิตอยู่ในระดับที่ 7 หรือ 8 ของขอบเขตสวรรค์ก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าชายสวมหน้ากาก

 

“ขอความช่วยเหลือจากเด็กโลหิต?” ชานสวมหน้ากากกระทิงลังเลเล็กน้อย

 

เด็กโลหิตยังยุ่งอยู่กับการฝึกฝนและพวกเขาก็เหมือนบรรพบุรุษโลหิตและระดับบนๆ ของลัทธิโลหิต พวกเขาทั้งหมดไม่มีทางที่จะเต็มใจออกปฏิบัติการ พวกเขาจะระดมพลหรือออกไปเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีอารมณ์หรือมีความสนใจเท่านั้น

 

แต่หากไม่มีเด็กโลหิต พวกเขาก็ไม่สามารถจัดการกับชายสวมหน้ากากได้ มันก็จะยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่หากไปร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส ก็ในเมื่อเขาอยู่ในขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด พวกเขามีสิ่งที่สำคัญกว่าที่ต้องทำและพวกเขาเองก็ต้องฝึกฝนเช่นกัน

 

“เราจะเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วค่อยคุยกันในภายหลัง พื้นที่หลักที่สี่ของแคว้นวารีครามถูกจัดให้เป็นพื้นที่ต้องห้ามและการดำเนินการทั้งหมดให้หยุดลง”

 

แต่เดิมแล้ว นิกายวารีครามมีเพียงนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดเหลืออยู่สามคน และพวกเขาก็ต้องดูแลนิกายวารีคราม ดังนั้นแล้ว พวกเขาไม่ควรมีเวลาจัดการกับลัทธิโลหิต แต่ใครจะรู้ว่าการปรากฏตัวของชายสวมหน้ากากผู้นี้จะน่าเกรงขามขนาดนี้ และยังมีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตสวรรค์ระดับสูงปกติๆ อีก?

 

นอกเหนือจากปัจจัยเหล่านั้น พวกเขาเองก็ขาดแคลนสมาชิก เนื่องจากพวกเขาเพิ่งสูญเสียผู้คุมโถงไปสี่คน ซึ่งถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับพวกเขา

 

***

 

“ทักษะดาบสวรรค์ลับในที่สุดก็มาถึงขั้นดีเลิศ”

 

ในวันนี้ หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยลมหายใจด้วยความโล่งอก

 

ตอนนี้ เขาอาจจะยังไม่ได้ใช้ทักษะดาบสวรรค์ลับ แต่หลังจากที่เขาทะลุไปยังขอบเขตสวรรค์ เขาจะใช้มันสู้เป็นพลังปกติ และเขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งจากภายนอกแต่อย่างใด

 

มันควรใช้ความแข็งแกร่งจากภายนอกในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น

 

เนื่องจากหลี่ฟู่เฉินไม่ได้กลับไปที่นิกายวารีครามเป็นเวลานาน เขาจึงตั้งใจที่จะเดินทางกลับ

 

ด้วยนกยักษ์เคียวสยอง หลี่ฟู่เฉินกลับไปถึงนิกายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

 

หลังจากกลับไปที่นิกายวารีครามแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็ได้รับรู้ข้อมูลล่าสุดที่แนวหน้าของสงคราม

 

การต่อสู้ครั้งที่สองก็ยังเป็นความพ่ายแพ้ของร้อยนิกาย พลังที่สะสมไว้ของสิบภูมิภาคปีศาจได้เกินจินตนาการของร้อยนิกายไปแล้ว มีสัตว์ปีศาจระดับ 5 ขั้นสูง และปีศาจระดับ 5 อีกมากมายมากกว่าข้อมูลที่ร้อยนิกายได้มาเสียอีก มีอย่างน้อยๆ เจ็ดหรือแปดตน และตัวตนเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมของการต่อสู้

 

หากไม่ใช่เพราะว่าร้อยนิกายมีนักสู้มากกว่าทำให้พวกเขาได้เปรียบในด้านจำนวน สงครามครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ด้วยซ้ำ ก็ในเมื่อพวกเขาเตรียมรับความพ่ายแพ้ได้เลย

 

แม้จะเป็นเช่นนั้น ร้อยนิกายก็ได้สูญเสียผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดบางส่วนไป นั้นรวมถึงผู้อาวุโสสูงสุดเหลียงของนิกายวารีครามด้วยเช่นกัน

 

ผู้อาวุโสเหลียงถูกสังหารโดยราชันของภูมิภาคเขาปีศาจ ควรจะกล่าวว่าเขาถูกฆ่าตายโดยไม่ได้ตั้งใจจากผลพวงของการต่อสู้ระหว่างราชาเขาปีศาจและผู้อาวุโสสามคนจากนิกายดาบมังกรฟ้ามากเสียกว่า

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสเหลียงตายลงไป มันก็ดูเหมือนจะมีชั้นเงาดำปกคลุมอยู่ในนิกายวารีคราม

 

การตายของผู้อาวุโสสูงสุดเหลียงส่งผลกระทบอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาในอนาคตสำหรับศตวรรษหน้าเสียด้วยซ้ำ หลังจากทั้งหมดแล้ว นักสู้ในขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดทุกคนเป็นเสาหลักของนิกาย และการสูญเสียในแต่ละคนไปจะส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลในการต่อสู้ที่เป็นการถ่วงดุล

 

ผู้อาวุโสใหญ่จ้าวหวูจินเองก็เข้าร่วมในการต่อสู้ เขาได้พบกับโอกาสเล็กๆ น้อยๆ มามากมายก็โชคดีพอที่จะทะลุไปถึงระดับสูงสุดของขอบเขตสวรรค์ แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะก้าวไปอีกขั้น และก้าวเข้าสู่ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด เนื่องจากโครงกระดูกระดับ 4 ดาวของเขามีศักยภาพอยู่อย่างจำกัด

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจ้าวหวูจินจึงตั้งใจที่จะนำตัวเองลงไปในสนามรบ และดูเหมือนว่าเขาพยายามทำความเข้าใจว่าเขาจะสามารถเข้าสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดได้หรือไม่หากชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย ในอดีตที่ผ่านมา มีตัวอย่างมากมาย แต่ก็หาได้ยากมาก

 

ในเวลาเดียวกัน หลี่ฟู่เฉินได้รู้ว่าผู้มีความสามารถระดับสูงของการจัดอันดับดาราบางคนได้เข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย

 

เช่นสือตูเหล่ยที่มาถึงจุดสูงสุดของระดับที่ 3 ขอบเขตสวรรค์แล้ว ทั้งยังมีฉีเหิง และจินซูตงที่มาถึงระดับที่ 3 ของขอบเขตสวรรค์เช่นกัน

 

ในฐานะอัจฉริยะชั้นยอด ความสามารถในการต่อสู้ของบุคคลทั้งสามนี้จะต้องไม่ถูกตัดสินด้วยขอบเขตการฝึกฝนของพวกเขา ก็ในเมื่อพวกเขามีความสามารถเพียงพอที่จะปะทะกับนักสู้ระดับ 6 หรือ 7 ขอบเขตสวรรค์ได้อย่างสบายๆ

 

นอกจากนี้ เจียงหรั่วหลิวและซูหลินได้บุกเข้าไปในขอบเขตสวรรค์ คนแรกอยู่ในระดับที่ 3 ของขอบเขตสวรรค์ ในขณะที่คนหลังอยู่ในระดับที่ 2 ขั้นสูงสุดของขอบเขตสวรรค์

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจียงหรั่วหลิวที่มีทักษะภาพลวงตาและทักษะต่อสู้ลวงตานั้นเป็นฝันร้ายของสัตว์อสูรและปีศาจ ในแง่ของจิตวิญญาณ สัตว์อสูรและปีศาจได้รับผลกระทบจากทักษะภาพลวงตาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันก็จะทำให้พวกนั้นปั่นปวนและไร้สติ

 

ทั้งห้าคนอาจไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ หากพวกเขาอยู่ในสนามรบเดียวกันกับเหล่าอัจฉริยะชั้นยอด พวกเขาจะต้องกลัวอะไรอีก?

 

แคว้นแสงทอง…

 

ขณะนี้สือตูเหล่ยถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูรระดับ 4 ขั้นสูง และกำลังตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช

 

หลังจากที่สือตูเหล่ยผ่านเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ระดับที่ 3 ขั้นสูงสุด เทคนิคศักดิ์สิทธิ์อัสนีคำรนของเขาก็ประสบความสำเร็จทะลุไปจนถึงขั้นที่ 18 เรียบร้อยแล้ว ทำให้เขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อทักษะต่อสู้อัสนีสวรรค์ดับสูญ นอกเหนือจากนี้ หลังจากที่เขาก้าวหน้า เขาก็เริ่มเข้าถึงเทคนิคลับระดับ 5 ดาวของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า หัวใจแห่งอัสนี ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเทียบได้กับนักสู้ระดับที่ 7 ขอบเขตสวรรค์ในนิกายเทพเจ้าอัสนี

 

แต่นักสู้ระดับที่ 7 ขอบเขตสวรรค์นั้นเทียบเท่ากับสัตว์ปีศาจระดับที่ 4 ขั้นสูงที่อ่อนแอ แต่สัตว์ปีศาจระดับ 4 ขั้นสูงที่ตามเขามามีความแข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกับระดับ 8 ของขอบเขตสวรรค์

 

“เจ้าเด็กมนุษย์ เตรียมรับความตาย!”

 

สัตว์ปีศาจระดับ 4 ขั้นสูงตัวนี้คือสัตว์อสูรเพลิงพิโรธ มันมีร่างกายที่มีขนาดเท่ากับภูเขาขนาดเล็ก ขณะที่มันกำลังอ้าปากขนาดยักษ์ของมันและพ่นกลุ่มเพลิงทรงกลมไปยังสือตูเหล่ย

 

“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องใช้รูปแบบต่อสู้”

 

ท่าร่างของสือตูเหล่ยนั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้าที่กำลังกระพริบ แต่เขาเกือบที่จะหลบเปลวเพลิงไม่พ้น แต่ทว่าหลังจากนั้นเสื้อผ้าและผมยาวของสือตูเหล่ยก็ปลิวไสวแม้จะไม่มีลมก็ตาม สภาวะพลังฉีที่ไร้ขอบเขตและรุนแรงทะยานออกไปทันที ส่งผลทำให้อสูรเพลิงพิโรธรู้สึกถึงร่องรอยของการสั่นของหัวใจ

 

“หมัดเปลือยศิลา!”

 

สือตูเหล่ยตะโกนออกมาในขณะที่ใช้กำปั้นระเบิดไปยังอสูรเพลิงพิโรธ

 

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ สนามพลังที่ทรงพลังก็เข้าล้อมรอบอสูรเพลิงพิโรธ

 

เมื่อถูกกดดันจากสนามพลัง อสูรเพลิงพิโรธรู้สึกว่าร่างกายของมันหนักขึ้นมาก เนื่องจากความแข็งแกร่งโดยรวมของมันถูกลดลง 40% ถึง 50%

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

อสูรเพลิงพิโรธตกใจ มันจะรู้ได้อย่างไรว่าสือตูเหล่ยจะสามารถระเบิดพลังออกมาเช่นนี้ได้

 

ไม่มีเวลาให้หลบหลีก อสูรเพลิงพิโรธถูกโจมตีเข้าที่หน้าอกเต็มๆ ในช่วงเวลาถัดไป ร่างกายขนาดใหญ่ของมันถูกเจาะทันที

 

หมัดเปลือยศิลาเป็นทักษะหมัดระดับปฐพี พลังของมันน่ากลัวอย่างยิ่งและแม้แต่ร่างกายของสัตว์ปีศาจก็ไม่สามารถต้านทานมันได้

 

หลังจากที่สังหารสัตว์ปีศาจอสูรเพลิงพิโรธไป รูปแบบต่อสู้หมัดเปลือยศิลาของสือตูเหล่ยก็ดับแสงไป

 

ในระหว่างการต่อสู้ในสนามรบเช่นนี้ สือตูเหล่ยไม่ต้องการใช้รูปแบบต่อสู้อย่างหมัดเปลือยศิลาเลย เว้นแต่จะจำเป็น

 

ประการแรก พลังของรูปแบบต่อสู้จะอ่อนแอลงทุกการใช้งาน

 

ประการที่สอง เขาต้องการปรับอารมณ์ตัวเองและค้นพบศักยภาพของตัวเองมากขึ้น

 

เช่นเดียวกัน สือตูเหล่ย ฉีเหิง จินซูตง เจียงหรั่วหลิว และซูหลินต่างก็มีรูปแบบต่อสู้ระดับปฐพี

 

แน่นอน มันไม่ได้หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทุกคนไม่ได้มอบรูปแบบต่อสู้ระดับปฐพีให้กับศิษย์ส่วนตัวทุกคนของพวกเขา

 

***

 

ย้อนกลับไปที่นิกายวารีคราม… หลี่ฟู่เฉินต้องการเข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย

 

แต่เขารู้ดีว่าหากเขาไม่ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตสวรรค์ เจ้านิกายโอหยางเหวินเทียนก็จะไม่มีทางยอมให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้ หลังจากทั้งหมดแล้ว ในมุมมองของโอหยางเหวินเทียน ถ้าหลี่ฟู่เฉินเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยขอบเขตปฐพี เขาคงไม่ต่างอะไรกับอาหารชิ้นใหญ่ แม้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะไม่ใช่นักสู้ขอบเขตปฐพีทั่วไปก็ตาม

 

‘ข้าต้องก้าวขึ้นไปยังขอบเขตสวรรค์ให้ได้เร็วที่สุด’

 

หลี่ฟู่เฉินได้วางแผนสำหรับตัวเองไว้แล้ว

 

ด้วยตราประทับมังกรเทพยุทธ์ชุบสวรรค์ หลี่ฟู่เฉินจึงมีช่วงเวลาที่ง่ายกว่ามากในการตรวจจับพลังของขอบเขตสวรรค์

 

นอกจากนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากพลังงานเส้นทางดวงดาว พลังของเขาก็มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตปฐพีแล้ว

 

หนึ่งเดือนต่อมา ในเขตศิษย์หลักของนิกายวารีคราม มีคลื่นพลังฉีสวรรค์และโลกที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมา ในขณะเดียวกัน ในรัศมีหลายไมล์ออกไป อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ดอกไม้และวัชพืชบางชนิดถูกเผาไหม้หายไป แม้จะไม่มีไฟก็ตาม

 

มีศิษย์หลักหลายคนที่มองไปยังทิศทางของแหล่งที่มาและรู้สึกหวาดหวั่น

 

ในวิสัยทัศน์ของพวกเขา พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาเห็นดวงอาทิตย์ขึ้น ซึ่งมีแสงจ้าและไอความร้อนพรือสะบัดอยู่ทุกที่ พวกเขารู้สึกได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างออกมามากก็ตาม

 

ปรากฏการตัดผ่านเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ

 

“ใครคือผู้ที่กำลังตัดผ่าน? เป็นปรากฏการณ์ที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะเป็นหลี่ชิเซียง? ข้าได้ยินมาว่าพลังฝึกฝนของเขาได้มาถึงขีดจำกัดในขอบเขตปฐพีแล้ว ด้วยตราประทับเทพยุทธ์ชุบสวรรค์ของการจัดอันดับดาราอันดับแรก มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะก้าวหน้าในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้”

 

ทุกคนสนทนากัน

 

บนท้องฟ้า มีร่างหนึ่งแวบผ่านมา

 

มันคือโอหยางเหวินเทียน

 

เมื่อเขาตรวจพบว่ามีใครบางคนกำลังตัดผ่าน และทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหญ่เช่นนี้ได้ เขาจึงรีบออกมาในทันที

 

หลังจากที่เขาพบว่ามันคือหลี่ฟู่เฉินที่กำลังตัดผ่าน โอหยางเหวินเทียนก็รู้สึกประหลาดใจ

 

ในปีนี้หลี่ฟู่เฉินอายุเพียง 21 ปี การตัดผ่านเข้าไปในขอบเขตสวรรค์ได้ตอนอายุ 21 ปีถือเป็นสถิติที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นเวลาหลายศตวรรษในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก อีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ หลี่ฟู่เฉินจะกลายเป็นเสาหลักที่เชื่อถือได้ของนิกายวารีคราม

 

ปรากฏการณ์นี้เพิ่งเริ่มต้น และเมื่อพลังฝึกฝนของเขาเริ่มตัดผ่าน พลังฉีเพลิงโลกันต์แท้จริงของหลี่ฟู่เฉินก็กำลังรวบรวมและกลั่นตัว มันเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์นี้ดูเหมือนจะสอดรับกับดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าจากระยะไกลดวงนั้น มันส่งผลทำให้ทั้งสถานที่สว่างไสวด้วยแสงสีแดงฉาน

 

“ปรากฏการณ์นี้โดดเด่นกว่าตอนที่สือตูเหล่ยตัดผ่านเสียอีก” โอหยางเหวินเทียนคิดในใจ

 

 

ติดตามได้ก่อนใครที่เพจ INdyNovel

Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน

Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 200 อ่านนิยาย

( อ่านตอนต่อไปข้างล่าง )


เป็นเวลากว่า 1 ปี ที่หลี่ฟู่เฉินสูญเสีย “พรสวรรค์” ไป ชีวิตเขาดุจดั่งคนไร้ค่า ถูกข่มเหงและถูกโจมตีโดยผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นรองเขา อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้สูญเสียทุกสิ่งอย่างไป ก็ในเมื่อเขาได้หมั้นหมายกับหญิงงามที่แข็งแกร่งจากตระกูลทรงพลังยุทธ แต่ทว่า…ท้ายสุดแล้ว การแต่งงานก็ถูกยกเลิกอย่างกระทันหัน มันได้นำพาความอับยศมาสู่ตระกูล และชีวิตของเขาถูกปกคลุมไปด้วยความมืดหมองหม่น และช่วงเวลานั้นเองที่แสงแห่งความหวังทะลวงสาดส่องมาจากฟากฟ้า..


Options

not work with dark mode
Reset