Eternal Martial Sovereign 78 – ข่าวร้าย

ตอนที่ 78 – ข่าวร้าย

Chapter 78 – ข่าวร้าย

หลังออกเดินทาง 2 วัน คนของตระกูลไทก็ได้ออกมาจากส่วนลึกของป่าหมอกลวงตาแล้วเข้าสู่ชายแดน มันค่อนข้างเงียบในช่วงระยะเวลานี้ แล้วถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกโจมตีโดยสัตว์ปีศาจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คนของตระกูลฉีคอยลอบโจมตีพวกเขาอีกต่อไป นี่จึงทำให้คนตระกูลไทผ่อนคลายได้ในที่สุด

แต่อย่างไรก็ตาม มันได้มีความรู้สึกของความกังวลใจในความสงบสุขนี้ ราวกับว่ามันเป็นช่วงสงบก่อนที่พายุจะมา ภายในรถม้า ไทหรงเอ๋อมักจะดูกังวลและไม่มั่นใจ

“เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยวหยุนยกคิ้วขึ้นขณะที่เขาถามหญิงสาวข้างกายเขา ตอนนี้พลังวิญญาณของเขาฟื้นฟูกลับมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถผ่อนคลายได้ และไม่ต้องระมัดระวังตัวอีกต่อไป เช่นนี้แล้วเขาจึงเริ่มดูว่าเขาเขาสามารถถามคำถามเกี่ยวกับตระกูลไทได้หรือไม่

จากสิ่งที่คนของตระกูลฉีกล่าว มันดูเหมือนว่าทั้งสองตระกูลกำลังต่อสู้เพื่อบางสิ่งอยู่ ซึ่งมันทำให้เซี่ยวหยุนค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น

“ตระกูลฉีโจมตีเราอย่างโหดเหี้ยมจนถึงขี้นยอมใช้พิษ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไม่ยอมแพ้โดยง่าย! ” ไทหรงเอ๋อขมวดคิ้วลึก “การใช้พิษถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายและตระกูลปกติส่วนใหญ่จะไม่สามารถใช้พิษได้เช่นนี้แม้ว่าพวกเขาจะต้องการใช้ก็ตาม เพราะว่ามันอาจเป็นผลให้ตัวพวกเขาเองถูกพิษได้”

ครั้งนี้ตระกูลฉีได้ใช้พิษทุกประเภทและแม้กระทั่งมียาแก้พิษทุกชนิด ซึ่งมันค่อนข้างแปลกมาก

“พิษ?” เซี่ยวหยุนยิ้มอย่างสงบและไม่ได้เอามันมาใส่ใจ สำหรับเขาแล้วพิษมันก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
grave danger
“นายน้อยเซี่ยวหยุน ท่านสามารถสกัดพิษภายในร่างกายของข้าได้อย่างไรกัน?” ขนตาของไทหรงเอ๋อกระพือขณะที่นางเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มข้างกายนาง นางได้ลดหัวต่ำลงขณะที่สีแดงจางๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของนาง ราวกับว่านางไม่สามารถลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้เลย

“วิธีพิเศษบางอย่าง” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขายิ้มและยักไหล่

“โอ้” ไทหรงเอ๋อตอบกลับ ทันใดนั้นนางก็ยกหัวขึ้นและถามว่า “แล้วท่านจะหยุดพักอยู่ที่เมืองหมอกเหนือของเราไหม?”

“เมืองหมอกเหนือ?” เซี่ยวหยุนทวนซ้ำ เขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรและไม่ได้ตั้งใจจะหยุดอยู่ที่เมืองหมอกเหนือ

“นี่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางของนายน้อยเซี่ยวหยุนหรือ?” ไทหรงเอ๋อถามด้วยความกังวลเล็กน้อย

“ข้าจะต้องผ่านเมืองหมอกเหนือ แต่ข้าจะไม่หยุดอยู่นานเกินไป” เซี่ยวหยุนตอบกลับ มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เซี่ยวหยุนจะรู้ถึงสิ่งที่ไทหรงเอ๋อคิด การต่อสู้ระหว่างตระกูลไทและตระกูลฉีกำลังจะปะทุออกมาและไทหรงเอ๋อจึงอยากขอให้เขาช่วยเหลือ

ครั้งนี้ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยวหยุนเข้าพลิกสถานการณ์ ผู้ฝึกตนของตระกูลไทจะไปทำลายผู้ฝึกตนของตระกูลฉีได้เหรอ?

“ท่านจะไม่พักอยู่นานหรือ?” ไทหรงเอ๋อกระพริบตาและกัดริมฝีปากขณะที่นางกลืนคำพูดที่กำลังจะกล่าวลงไป ความขมขื่นและรสฝาดเล็กน้อยได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยางขณะที่นางคิดว่า “ไม่ว่าอะไรก็ตามพวกเราแค่พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น แล้วพวกเราจะไปขอให้เขาช่วยได้อย่างไรกัน”

ไทหรงเอ๋อไม่ได้ขอให้เขาช่วยและเซี่ยวหยุนก็ไม่ได้ถามถึงตระกูลไทอีก เขาจำเป็นต้องมุ่งเน้นทั้งหมดไปที่ความคิดของเขาและให้ความสนใจกับการตรวจสอบของนิกายต้นกำเนิดสวรรค์ แล้วเขาก็ไม่อยากพาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่จำเป็น

ทันใดนั้นม้าที่อยู่ข้างหน้าของพวกเขาก็ร้องออกมา ทำให้ทั่วทั้งขบวนต้องหยุดลง

“มีคนกำลังมา” คนของตระกูลไทขวัญหนีดีฝ่อกันอย่างง่ายดายและได้เริ่มระวังตัวกันทันที พวกเขาตั้งขบวนอย่างระมัดระวังเพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับศัตรู ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทจ้องไปข้างหน้าด้วยสมาธิ ซึ่งดูจริงจังอย่างเหลือเชื่อ เบื้องหน้าได้มีบุรุษชุดขาดรุ่งริ่งขี่ม้ามาทางพวกเขา

ทันใดนั้นคนของตระกูลไทก็ร้องออกมาเมื่อตระหนักได้ถึงบุรุษบนหลังม้า “นั่นมันไทฉาน! ”

“ไทฉาน?” ทุกคนชม้ายดวงตามองไปยังข้างหน้าและการแสดงออกของพวกเขาทุกคนก็กลายเป็นจริงจังอย่างเหลือเชื่อ

บุรุษคนนั้นโดดลงมาจากหลังม้าของเขา ซึ่งมองดูไม่มั่นคงอย่างเหลือเชื่อขณะที่เขาเกือบจะตกลงบนพื้น เมื่อมองดูไทฉานรีบร้อนมากขนาดไหน หัวใจของทุกคนก็ได้ถูกทำให้บีบตัวแน่น

“ท่านผู้นำตระกูลที่สอง!” ไทฉานวิ่งไปยังผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทและทำท่ากึ่งคุกเข่าเพื่อทักทาย ซึ่งมันมีร่องรอยของเลือดอยู่ภายในดวงตาของเขา

“ไทฉาน เกิดอะไรขึ้น?” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทดูกังวลอย่างเหลือเชื่อหลังจากที่ได้เห็นบาดแผลบนร่างกายของไทฉาน มันดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น มิฉะนั้นเหตุใดเขาจึงรีบร้อนมาที่นี่จากเมืองหมอกเหนือกัน?

“ท่านผู้นำตระกูลที่สอง ตระกูลฉีได้ลอบโจมตีตระกูลไทของเราและสมาชิกตระกูลจำนวนมากได้ถูกพิษ ทำให้ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดกำลังตกอยู่ในอันตรายและแม้แต่นายน้อยไทหยานของพวกเราก็ถูกพิษด้วย ตอนนี้ตระกูลไทของเรากำลังอยู่ในอันตรายร้ายแรงและตระกูลฉีก็กล่าวว่าเราจะต้องแบกรับผลที่ตามมาถ้าเราไม่ยอมส่งมอบเหรียญนภาอัคคีให้พวกมัน” ใบหน้าของไทฉานเต็มไปด้วยความปวดร้าวและได้มีน้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของเขาขณะพูดคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความหมดหนทางทำให้บรรยากาศรอบๆ ได้แข็งตัวขึ้น

“ตระกูลฉีเปิดฉากลอบโจมตี?” คนของตระกูลไททั้งหมดมองไปยังกันและกัน รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของพวกเขากำลังจะหลุดออกมาจากร่าง ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทก็รู้สึกราวกับว่าถูกสายฟ้าฟาดใส่และจ้องอยู่ในความเงียบชั่วครู่

“อะไรนะ? คนของตระกูลเราถูกพิษ?” สายตาของผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทมืดครึ้มลงขณะที่เสียงของเขาระเบิดออกมาเหมือนกับฟ้าผ่า

ไทฉานตอบกลับ “ใช่ขอบรับ ถ้ามันไม่ใช่เพราะว่าผู้นำอาวุโสและคนอื่นๆ กำลังป้องกันอย่างสิ้นหวัง มันก็เป็นไปได้ว่าเราจะถูกทำลายโดยตระกูลฉีโดยสมบูรณ์ แต่เมื่อพิษที่อยู่กับคนในตระกูลของเราเริ่มส่งผล พวกเขาก็จะไม่สามารถยื้อไว้ได้อีกต่อไป!”

หัวใจของคนตระกูลไทดิ่งลง

ภายในรถม้า ไทหรงเอ๋อแหวกผ้าม่านและมองออกไปขณะที่นางถามว่า “อะไรนะ? แม้แต่น้องชายหยานก็ถูกพิษ?”

ไทฉานพยักหน้าขณะที่เขาตอบว่า “ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่ตันเถียนนายน้อยไทหยานก็ถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ ข้าเกรงว่าเขาจะมิอาจสามารถบ่มเพาะได้ในอนาคตอีกแล้ว”

“ตันเถียนของเขาถูกทำลาย?” ร่างอันบอบบางของไทหรงเอ๋อสั่นสะท้านราวกับว่านางถูกสายฟ้าฟาดใส่

ถ้าไทหยานมิอาจบ่มเพาะได้อีกต่อไป ผู้ใดกันที่ตระกูลไทจะสามารถพึงพาเพื่อนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลในอนาคตได้เล่า?

“ตระกูลฉีมันจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทซัดหน้าอกของเขา ดวงตาของเขาได้เต็มไปด้วยเจตนาสังหารขณะที่เขากล่าวว่า “พวกมันพยายามจะทำลายฐานรากตระกูลไทของเรา!”

พวกเขาออกมาในครั้งนี้ก็เพื่ออนาคตของไทหยาน พวกเขาต้องการจะหาโอกาสให้กับเขา แต่ตอนนี้ตันเถียนของเขาถูกทำลายไปแล้วและไม่สามารถบ่มเพาะได้อีกต่อไป ความหวังทั้งหมดของพวกเขาได้อันตธานหายไปราวกับควัน

ไทฉานพูดต่อว่า “ท่านผู้นำอาวุโสขอให้ท่านนำท่านหญิงสามหนีออกไปจากเมืองหมอกเหนือด้วย”

“ออกไปจากเมืองหมอกเหนือ?” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทขมวดคิ้วขณะที่เขาตอบว่า “เราจำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? เราจะสามารถปล่อยให้ตระกูลของเราตายได้อย่างไรกัน?”

“ท่านผู้นำอาวุโสกล่าวไว้ว่าตราบเท่าที่ภูเขายังคงมีมันก็จะไม่มีวันขาดแคลนฟืน ตราบเท่าที่สายเลือดตระกูลไทของเรายังคงอยู่ เราก็จะสามารถล้างแค้นได้ในอนาคต” ไทฉานกล่าว “แต่ถ้าหากเหรียญนภาอัคคีถูกตระกูลฉีนำไป ตระกูลไทของเราก็จะถึงคราวสิ้นเป็นแน่แท้และจะไม่มีวันกลับมาฟื้นฟูได้อีก”

ดวงตาของผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทส่งแสงขณะที่เขาตกลงสู่ความเงียบ

ข้างๆ เขา คนของตระกูลไทสองสามคนถามด้วยดวงตาสีแดงฉาน “เราควรทำอะไรท่านผู้นำตระกูลที่สอง?” สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าติดอยู่ระหว่างก้อนหินและสถานที่อันยากลำบาก

“เราควรทำอะไร?” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทรู้สึกขัดแย้งกันอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยการที่ตระกูลฉีคอยบีบบังคับให้พวกเขาอยู่ในช่องแคบเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะไปยอมทำตามได้อย่างไรกัน? แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวยต่อตระกูลไทของพวกเขาอย่างมาก

ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทสงสัยว่า “ตระกูลฉีได้รับพิษนี้มาอย่างไรกัน”

“ตระกูลได้เชิญปรมาจารย์พิษมา” ไทฉานตอบกลับ “ปรมาจารย์พิษคนนั้นทรงพลังมากและมีฝีมือในด้านยาพิษประเภทต่างๆ”

“ปรมาจารย์พิษ?” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทขมวดคิ้ว เขาได้รับประสบการณ์ว่าพิษเหล่านี้น่ากลัวขนาดไหนมานานแล้วและยังรู้สึกได้ถึงร่องรอยของความกลัวอยู่เลย

เมื่อเห็นผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทขมวดคิ้วแน่น ทุกคนก็พากันตกลงสู่ความเงียบ

“ลุงสอง เราควรทำอะไร?” ไทหรงเอ๋อถามอย่างกังวล “เป็นไปได้ว่าเราต้องออกไปจากเมืองหมอกเหนือจริงๆ ?”

ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทไม่ได้ตอบทันที กลับกันเขามองรอบๆ ไปยังผู้คนที่เหลืออยู่ 30 คนหรือมากกว่านั้นขณะที่เขาถามว่า “พวกเจ้าเต็มใจจะทิ้งตระกูลของเจ้าไว้เบื้องหลังและออกไปจากเมืองหมอกเหนือรึ?”

สมาชิกของตระกูลไทตอบอย่างจริงจังว่า “ไม่!”

“เอาล่ะ เราจะฆ่าล้างเส้นทางกลับบ้านของพวกเรา” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทกล่าวขณะที่ดวงตาของเขาส่งประกาย

“แต่ผู้นำอาวุโสบอกพวกเจ้าทั้งหมดให้หนีไป!” ไทฉานกล่าวขณะที่เขาขมวดคิ้ว “แม้ว่าท่านจะกลับไป มันก็เป็นไปได้ว่าท่านจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้เลย!”

“ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทโบกมือของเขาขณะที่กระโจนลงมาจากหลังม้าและเดินไปยังรถม้าของไทหรงเอ๋ออยู่

ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทกล่าวขณะที่เขาเดินไปที่ด้านข้างของรถม้า “นายน้อยเซี่ยวหยุน เราสามารถพูดคุยได้หรือไม่?”

“ท่านผู้นำตระกูลที่สองจะทำอะไร?” ไทฉานรู้สึกค่อนข้างสับสน

“ฮ่าฮ่า ท่านผู้นำตระกูลที่สองอยากจะสนทนาสิ่งใดกัน?” เซี่ยวหยุนก้าวออกมาจากภายในรถม้า

ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “เราสามารถไปคุยที่อื่นได้ไหม?”

“เชิญท่านก่อน” เซี่ยวหยุนกล่าว

หลังจากนั้นผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทและเซี่ยวหยุนก็เดินห่างออกมาจากรถม้า เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินจากไป ทันใดนั้นคนของตระกูลไทก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

“ใช่แล้ว ด้วยการที่มีนายน้อยเซี่ยวหยุนอยู่ด้วย ทำไมเราต้องไปกลัวตระกูลฉีกัน?”

“เนื่องจากเขาสามารถรักษาพิษของท่านหญิงสามได้ เขาก็ควรจะสามารถช่วยคนอื่นได้เหมือนกัน” คนของตระกูลไทได้พูดคุยอย่างรวดเร็วขณะที่พวกเขามองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลเกินไป ถ้าเด็กหนุ่มคนนี้เต็มใจจะช่วยเหลือ บางทีพวกเขาอาจจะสามารถแก้วิกฤตินี้ได้

ในไม่ช้า คนของตระกูลไทก็หยุดรู้สึกกระวนกระวายและดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวังแทน

มีแค่ไทฉานที่อยู่ข้างๆ เท่านั้นที่จ้องมองไปด้วยความอยากรู้ขณะที่เขาพึมพำว่า “เป็นไปได้ว่าท่านผู้นำตระกูลที่สองจะใช้เด็กหนุ่มคนนี้ช่วยตระกูลไทของเราไว้?” นี่ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างสับสน เนื่องจากเด็กหนุ่มคนนี้อายุก็แค่ 16 ไม่ก็ 17 ปีเท่านั้น – เขาจะไปทำอะไรได้กัน?

หลังจากเดินห่างออกมาแล้ว เซี่ยวหยุนก็ยิ้มขณะที่ถามว่า “สิ่งใดกันที่ท่านผู้นำตระกูลที่สองอยากจะพูดกับข้า?”

“ข้ามั่นใจว่าคุณชายน้อยท่านนี้รู้ถึงสถานะปัจจุบันของตระกูลไทของเราแล้ว” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทกล่าว

“ข้าทราบไม่มากก็น้อย” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขาพยักหน้าอย่างลวกๆ

“โปรดให้อภัยที่ชายชราคนนี้อวดดี แต่ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยตระกูลไทของเรา” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“ข้า?” เซี่ยวหยุนยิ้ม “ท่านผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว”

เซี่ยวหยุนก็แค่พบเจอตระกูลไทโดยบังเอิญเท่านั้นและไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตระกูลฉีมีพลังมากขนาดไหน เขาไม่ได้มีแผนที่จะริเริ่มช่วยพวกเขาด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถสู้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงได้ แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะศัตรูทุกคนที่เขาเจอได้!

“ถ้ายินดีที่จะช่วยตระกูลไทของเรา ชายชราคนนี้จะจดจำน้ำใจของท่านไว้อย่างแน่นอน” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทกล่าวอย่างจริงจัง เขาเต็มไปด้วยความหวังต่อเด็กหนุ่มคนนี้ – ด้วยความช่วยเหลือของเขาเท่านั้นที่จะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้

“ข้ามีเรื่องอื่นต้องทำและจะไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก” เซี่ยวหยุนปฏิเสธอย่างแนบเนียน

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องใช้ทรัพย์สมบัติของพวกเราแล้ว” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทกล่าวขณะที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกัดฟันของเขาซึ่งได้ทำการตัดสินใจอันยากลำบาก เขามองไปยังเด็กหนุ่มแล้วกล่าวว่า “นายน้อยเซี่ยวหยุนมีจิตวิญญาณการต่อสู้อัคคี ถูกต้องหรือไม่?”

ดวงตาของเซี่ยวหยุนหดแคบลงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ตอบไป เพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาของคนอื่น เขาก็รู้ได้แล้วว่าผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทยังคงมีบางสิ่งที่จะพูดออกมา

“ข้าจะไม่ซ่อนมันจากท่าน การที่เรามาเทือกเขาหมอกเหนือในตอนแรกก็เนื่องจากเหรียญของพระราชวังมรดกของผู้ฝึกตนโบราณ” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทกล่าวว่า “เหรียญนั้นเป็นกุญแจที่จะใช้เปิดพระราชวังมรดก ซึ่งพระราชวังมรดกนั้นถูกเรียกว่านภาอัคคีอันเป็นสถานที่ที่ผู้เชี่ยวชาญอันทรงพลังมากที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้อัคคีอาศัยอยู่ ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับไฟหรือมีจิตวิญญาณการต่อสู้อัคคี มันก็สามารถมอบโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้ได้”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?” เซี่ยวหยุนฝืนยิ้ม

“ถ้านายน้อยเซี่ยวหยุนยินดีจะช่วยตระกูลไทของข้าผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ชายชราคนนี้ก็ยินดีจะมอบเหรียญให้กับท่านเช่นกัน” ผู้นำตระกูลที่สองของตระกูลไทตอบกลับ “ถ้านายน้อยเซี่ยวหยุนสามารถได้รับมรดกจากภายในนั้น ข้ามั่นใจว่าท่านจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ได้ นี่เป็นโอกาสที่หายากอย่างเหลือเชื่อ!”

ก่อนที่เซี่ยวหยุนจะตอบกลับไป นกกระจอกกลืนกินสวรรค์จู่ๆ ก็เริ่มตะโกนออกมา “หยุนน้อยรีบตกลงเลย! ตกลงไปเลย!”

Eternal Martial Sovereign

Eternal Martial Sovereign

Score 10
Status: Completed

เนื้อเรื่องโดยย่อ เซี่ยวหยุนซึ่งเป็นอัจฉริยะผู้ปลุกจิตสำนึกของจิตวิญญาณการต่อสู้ ถูกระบุว่าเป็นคนธรรมดาหลังจากการบ่มเพาะของเขาหยุดลง อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่าจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาคือจิตวิญญาณการต่อสู้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 จิตวิญญาณการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ ในสมัยโบราณ หลังจิตวิญญาณการต่อสู้แห่งชีวิตได้รับการพัฒนา มันสามารถดูดซับแก่นแท้ปราณของสวรรค์และโลกได้ รวมทั้งรักษาบาดแผลและแก้พิษที่รุนแรงได้

 

ด้วยศิลปะกลืนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่พ่อของเค้าทิ้งไว้ให้ ทำให้เซี่ยวหยุนสามารถรวบรวมจิตวิญญาณการต่อสู้ไว้ใช้ได้เป็นจำนวนมาก เด็กหนุ่มผู้สิ้นหวังได้ท้าทายชะตากรรมและล้างความอัปยศอดสูของตนเอง แล้วก้าวไปบนโลกที่ไร้จุดสิ้นสุดด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้แห่งชีวิตของเค้า เพื่อกลายเป็นราชันการต่อสู้อมตะ แล้วมีอำนาจเหนือเก้าสวรรค์และเก้าโลก!!!

Options

not work with dark mode
Reset