Double รักร้ายคูณสอง 3

ตอนที่ 3

@บริษัทMT

ฉันก้าวฉับๆ สับขาเรียวเดินตามเอริคเข้ามาในบริษัท พนักงานผู้หญิงต่างหันมามองที่เขาตาเป็นประกายพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนเห็นของหายาก ฉันเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ใส่แผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้ ตอนแรกฉันคิดว่าเอริคจะตุกติกขับรถหนีเตลิดเปิดเปิงไปแล้วซะอีก เพราะเขาขับรถหรูราคาแพงมา ส่วนฉันก็ขับฮอนด้าลูกสาวสุดน่ารักปุ๊กปิ๊กตามมาอีกที ก็ยังดีที่เขาทำตามที่ตกลงไว้กับฉัน ไม่อย่างงั้นฉันคงชวดเงินเดือนเพิ่มแน่ๆ…

“คะ… คุณเอริค”

“พ่ออยู่รึเปล่า?” เลขาหน้าห้องท่านประธานมองเอริคอย่างตกใจ ส่วนเขาก็ทำเป็นไม่สนใจเธอแล้วเอ่ยถามสีหน้าเรียบนิ่งแทน ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่ายกับนิสัยห่ามๆ ของเขาทันที

“อยู่ค่ะ ท่านประธานแจ้งว่าถ้าคุณเอริคเข้ามาที่บริษัทให้เข้าไปพบได้เลยค่ะ”

เลขาคนเดิมรีบบอกรายละเอียดกับเอริครวดเดียวจนลิ้นแทบพันกัน และยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบร่างสูงก็ผลักประตูบานใหญ่ด้านหน้าเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวจนฉันที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาต้องหันไปยิ้มแหงให้เลขาคนนั้นแล้วจ้ำอ้าวเดินดุ่มๆ ตามเอริคเข้าไปในห้องด้วยความรวดเร็ว บ้าจริง เขาจะทำอะไรก็บอกกันหน่อยก็ไม่ได้รึไง จะรีบอะไรขนาดนั้น!

“มาแล้วเหรอ”

เสียงทรงอำนาจของท่านประธานดังขึ้น แต่เอริคกลับไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของพ่อเขาสักนิดเดียว เขาเดินไปนั่งลงบนโซฟาใหญ่สำหรับแขกอย่างสบายอกสบายใจ ส่วนฉันก็รีบเดินไปยืนข้างๆ โซฟาตัวที่เอริคนั่งอยู่ด้วยความเลิ่กลั่กหน่อยๆ

“พ่อจะให้ผมมาที่บริษัททำไม”

เอริคหันไปถามผู้เป็นท่านประธานที่หยุดอ่านเอกสารแล้วเหลือบมองลูกชายตัวเองพลางยิ้มพอใจเมื่อหันมามองฉันที่ยืนยิ้มแห้งกลับไปให้ท่านประธานอย่างทำตัวไม่ค่อยถูก เอ่อ… ถ้าไม่มีคำว่าให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นสองหมื่น เป็นตายร้ายดียังไงฉันก็ไม่ไปลากเอริคมาหรอก แถมยังมาเสียจูบให้เขาอีกต่างหาก น่าโมโหชะมัดเลย!

“หึ ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่าโมนาต้องลากแกมาที่นี่ได้”

“พ่อจะบอกแค่นี้ใช่มั้ย งั้นผมกลับล่ะ…”

“ฉันจะให้แกมาดูแลที่บริษัทนี้แทนสักสามเดือน” ร่างสูงที่กำลังจะก้าวเท้าออกไปจากห้องชะงักกึกทันที่เสียงทรงอำนาจของท่านประธานพูดแทรกขึ้น เอริคหันกลับมามองพ่อเขาเล็กน้อย ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดมุ่นอย่างสงสัยปนไม่สบอารมณ์กว่าเดิม

“สามเดือน? พ่อจะไปไหนตั้งสามเดือน”

“ไปดูบริษัทเปิดใหม่ที่สเปน” ท่านประธานวางปากกาหรูลงบนโต๊ะทำงานแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้มองเอริคนิ่งๆ

“ผมไม่ชอบเข้าบริษัท อีกอย่าง… สูทไม่เข้ากับผมหรอก”

“แกไม่ต้องใส่สูทก็ได้ ฉันแค่ให้แกมาดูแลงานแทน”

“จะให้ผมมาคอยนั่งดูเอกสารเป็นกองแบบพ่อผมทำไม่ได้หรอก ให้ไปดูฝ่ายช่างซ่อมเครื่องบินยังดีกว่าอีก”

เอริคเอ่ยบอกเสียงเข้มต่ำติดหงุดหงิดแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหัวเสียจนฉันที่ยืนมองสองพ่อลูกคุยกันอยู่ห่างๆ เริ่มรู้สึกเกร็งและอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเห็นว่าท่านประธานมองเอริคด้วยสายตาไม่พอใจ ฉันก็ยิ่งเลิ่กลั่กและอยากมุดแทรกพื้นกระเบื้องหายไปจากตรงนี้ชะมัดเลยแฮะ…

“อีกหน่อยแกก็ต้องมาทำงานที่นี่อยู่แล้วนะไอ้เอริค”

“ผมบอกตอนไหนว่าผมจะทำ ให้ไอ้โอลิเวอร์มันมาบริหารเถอะ มันเรียนด้านนี้พอดี”

“แต่แกเป็นลูกชายคนโต ยังไงแกก็ต้องมาบริหารบริษัทนี้อยู่ดี”

“ผมไม่คิดมากหรอก ผมไม่ได้จบบริหาร… ผมจบวิศวะการบิน”

“ตกลงแกจะไม่มาดูแลงานแทนฉันใช่มั้ยไอ้เอริค!” เสียงตวาดทรงพลังของท่านประธานทำฉันที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ สะดุ้งจนตัวโยน แต่พอเหลือบมองเอริคกลับเห็นว่าเขาจ้องหน้าพ่อตัวเองนิ่ง ฉันกลืนน้ำลายลงคอดังอึกอย่างหวั่นๆ กลัวว่าพ่อลูกจะมาทะเลาะกันต่อหน้า ให้ตายสิ ทำไมฉันต้องมาเจอเหคุการณ์น่าอึดอัดแบบนี้ด้วยล่ะเนี่ย ฉันยืนคิดหนักก่อนจะรวบรวมความกล้าสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเพื่อตั้งสติแล้วเดินไปสะกิดไหลเอริคเบาๆ จากนั้นก็กระซิบบอกเขาเสียงอุบอิบ

“คุณ… คุณเอริคคะ แค่สามเดือนเองค่ะ แป๊ปเดียวเอง…”

ร่างสูงขมวดคิ้วเข้มมุ่น แต่สักพักเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่าย “แค่สามเดือนใช่มั้ยพ่อ แต่ผมจะไม่ใส่สูทมาทำงาน”

“เออ แล้วแต่แก ส่วนเรื่องตารางงาน… ให้โมนาจัดการแล้วกันนะ” ท่านประธานถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วหันมาบอกฉันหลังจากตอบลูกชายของตัวเองจบ

“ดะ… ได้ค่ะ” ฉันถอยออกมายืนด้านหลังเอริคแล้วพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจพลางตอบรับท่านประธานเสียงสดใส ถึงแม้ในใจจะแอบเคืองเอริคอยู่เล็กน้อยก็ตาม

“อย่าลืมไปลากเอริคมันที่คอนโดด้วยล่ะ มันยิ่งชอบหายหัวเร็วอยู่ด้วย”

ฉันหันขวับไปมองเอริคทันที ส่วนเขาก็ทำเป็นไม่สนใจแล้วหันหน้าหนีมองหน้าต่างมองท้องฟ้าทำท่าไม่รู้ไม่ชี้แทน ฉันเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ก่อนจะหันกลับมาตอบท่านประธานสีหน้ามุ่งมั่นเต็มที่ “ได้ค่ะ ท่านประธาน”

“แล้วข้างห้องไอ้เอริคมันว่าง โมนาย้ายมาอยู่ได้เลยนะ จะได้ไม่เสียเวลาขับรถไปลากคอมัน”

ฉันกะพริบตาปริบๆ มองท่านประธานที่นั่งส่งยิ้มมาให้อย่างใจด้วยความงุนงง เดี๋ยวนะ… เมื่อกี้ฉันไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่ไหม นี่ฉันจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ข้างห้องเอริคด้วยงั้นเหรอ?!

“เอ่อ คือท่านประธานคะ เรื่องนั้น…”

“ฉันให้เงินเดือนเพิ่มอีกหนึ่งหมื่น ส่วนเรื่องค่าห้องค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ต้องจ่าย” ฉันรีบหุบปากฉับพลางกลืนน้ำลายลงคอดังอึก หัวสมองคิดคำนวนรวดเร็วและปากก็พูดออกไปก่อนจะประมวลผลเสร็จด้วยซ้ำ

“ตก… ตกลงค่ะท่านประธาน ไม่มีปัญหาค่ะ”

เอริคหันมามองฉันแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาจนฉันรู้สึกได้ เหอะ! จะว่าฉันเห็นแก่เงินหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะย่ะ มีแต่ได้กับได้ ค่าห้องก็ฟรีค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ต้องจ่าย แล้วคอนโดหรูขนาดนั้นฉันจะไปมีปัญญาที่ไหนมาจ่ายไหว วันนี้มันวันรับทรัพย์ของฉันจริงๆ เลยโว้ยย

“แค่นี้ใช่มั้ย ผมจะได้กลับ”

และทันทีที่ท่านประธานพยักหน้าแทนคำตอบ เอริคก็เดินดุ่มๆ ไปผลักบานประตูแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานด้วยความรวดเร็ว แต่ก่อนที่ฉันจะได้ก้าวขาเดินตามเขาไปท่านประธานก็ฉันไว้ซะก่อนจนฉันชะงักและหันไปมองท่านอย่างุนงงปนสงสัยเล็กน้อย

“โมนา”

“คะ?”

“คุณเดวิดพ่อของหนูเจนนี่เพิ่งโทรมาหาฉันมา” พอท่านประธานพูดเรื่องนี้ฉันก็รับรู้ได้โดยทันทีว่าเรื่องอะไร ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองแล้วตอบเสียงเบาอุบอิบกว่าปกติหน่อยๆ

“เอ่อ… คือ”

“เรื่องที่หนูกับไอ้เอริคนั่น… จริงรึเปล่า?”

“คือ… ใช่ค่ะ แต่เรื่องนั้นโมนาไม่ทราบว่าคุณเจนนี่เป็นคู่หมั้นของคุณเอริค แล้วอีกอย่างคือ… เอ่อ”

ฉันส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ท่านประธานที่มองมาอย่างรอคำตอบ เสียงที่เอ่ยบอกก็ตะกุกตะกักเพราะลังเลว่าควรจะบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องที่เอริคไม่ได้อยากหมั้นกับเจนนี่หรือฉันจะไม่บอกดี แต่พอมองหน้าท่านประธาน ฉันก็ต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อท่าทางท่านเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันจะพูดอยู่ก่อนแล้ว…

“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าเอริคมันไม่อยากหมั้นกับหนูเจนนี่… เรื่องนี้หนูเจนนี่เป็นคนขอให้คุณเดวิดหุ้นส่วนของบริษัทจัดการให้ ซึ่งฉันก็ไม่ได้จะบังคับอะไรมันหรอก” “อย่างนี้เองเหรอคะ.. เข้าใจแล้วค่ะ”

“แต่ฉันคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ให้หนูไปลากคอเอริคมา มันก็เป็นซะแบบนี้ให้เรียนบริหารก็ดันไปเรียนวิศวะการบิน ถึงจะเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินส่งออกก็เถอะนะ ยังดีที่ลูกชายคนเล็กของฉันมันอยากเรียนบริหาร“ ฉันยืนฟังท่านประธานพูดแล้วก็ได้แต่ยิ้มบาง ท่าทางท่านประธานคงแค่อยากจะระบายให้ใครสักคนฟังบ้างน่ะนะ เท่าที่ฉันรู้ท่านก็มีลูกชายแค่สองคนด้วยสิ

“ขอให้ท่านประธานเดินทางปลอดภัยนะคะ ส่วนเรื่องคุณเอริค… เดี๋ยวโมนาจัดการเองค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

“ขอบใจมากนะ ฉันไม่มีลูกสาวเลยพูดอะไรไปซะเยอะ… ภรรยาที่บ้านฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาจะได้คุยกันเรื่องลูกชายเท่าไหร่ด้วยสิ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“ฝากไอ้เอริคมันด้วยล่ะ”

“ค่ะ โมนาจะทำหน้าที่เลขาของคุณเอริคให้ดีที่สุดเลยค่ะ”

ให้คุ้มกับเงินเดือนที่เพิ่มเป็นสองเท่าเลยค่ะท่านประธาน! หุหุ

พอกลับจากที่ทำงานมาหอพักฉันก็จัดการเก็บของใช้จำเป็นแพ็กใส่กล่องทันที พรุ่งนี้เป็นวันหยุดฉันเลยคิดว่าเอาเวลาย้ายของไปคอนโดหรูที่ท่านประธานให้เข้าไปอยู่ก็น่าจะดี ฉันจัดการโทรบอกพ่อแม่พี่น้องเพื่อนและเครือญาติหมดแล้วว่าจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ใหม่ พ่อกับแม่ที่ได้ยินว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรก็ไม่ถามอะไรต่อสักคำ และได้แต่พูดว่าฉันได้เจ้านายประเสริฐจริงๆ

เหอะ เจ้านายน่ะใช่อยู่หรอก แต่คนที่ฉันต้องไปเป็นเลขาน่ะลูกชายเจ้านายไง ช่างห่างไกลกับคำว่าลูกชายนักธุรกิจเจ้าของบริษัทใหญ่ระดับประเทศเลย ให้ตายสิ

“เฮ้ออ… เหนื่อยชะมัด”

ฉันใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผม ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องที่บ่งบอกว่าตอนนี้เกือบจะสองทุ่มเข้าไปแล้ว และฉันเลยสะดุ้งลุกขึ้นพรวดยืนเบิกตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เดล่ากับเลโอเพิ่งโทรนัดให้ไปฉลองที่พวกนั้นกลับมาจากเรียนต่อปริญญาโทที่ฝรั่งเศส แล้วฉันจะมัวยืนบื้อรออะไรล่ะยะ! รีบไปอาบน้ำแต่งตัวสิโว้ยยย

@G Pub

“ช้านะยะ” พอฉันโผล่มาถึงผับเดล่าเพื่อนสนิทตั้งแต่มหาวิทยาลัยก็เปิดปากบ่นใส่ทันที ฉันยิ้มแห้งกลับไปพร้อมกับรับแก้วเบียร์มาจากเลโอญาติของเดล่าแล้วหันไปบอกเพื่อนสาวถึงเหตุผลที่ฉันมาถึงที่นี่ช้าอย่างรู้สึกผิดหน่อยๆ

“โทษที พอดีฉันเก็บของนานไปหน่อยน่ะ”

“เห… แต่งตัวเซ็กซี่แบบนี้นี่คิดจะอ่อยฉันหรือไงโมนา”

“ฉันไม่คิดสั้นขนาดนั้นหรอกเลโอ ไม่เจอกันนานไอ้นิสัยเจ้าชู้นี่มันยังไม่หายอีกเหรอ” ฉันถอนหายใจใส่เลโอเพื่อนจอมเจ้าชู้อย่างเหนื่อยหน่าย และคำพูดของฉันก็ทำให้เขาหัวเราะแข่งกับเสียงเพลงภายในผับพลางยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน

“พอดียังไม่เจอคนถูกใจไง โอ๊ะ… ฉันไปหาสาวๆ ตรงนั้นหน่อยดีกว่า”

ฉันส่ายหน้าอย่างเอือมระอาให้กับท่าทางกะล่อนมือไวของเลโอที่ชอบหว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงไปทั่ว เหอะ ถ้าวันไหนเจอแฟนสาวๆ ที่เขาแอบควงตีปากแตกฉันไม่ช่วยนะบอกไว้ก่อน

“แล้วนี่… เจสสิก้าไม่มาด้วยเหรอ?”

ฉันหันไปถามเดล่าแล้วมองไปรอบๆ อีกครั้งเพราะไม่เจอเพื่อนอีกคน ก่อนเธอจะชะงักแล้วพยักเพยิดไปมองทางด้านหลังฉัน และพอฉันลองมองตามสายตาของเดล่าก็เจอกับเจสสิก้าที่ใส่เดรสสั้นรัดรูปสีแดงจนหน้าอกหน้าใจแทบจะทะลักออกมา

“นั่นไง พูดถึงก็มาเลย”

“โมนา เดล่า!”

ทันทีที่ยัยเจสสิก้าเจอกับพวกฉันมันก็รีบเดินดุ่มๆ มาหาจนผู้ชายรอบข้างมองตามร่างอวบอึ๋มน้ำลายแทบหก นี่ฉันไม่ได้พูดเว่อร์อะไรเลยนะ ก็ฉันแอบเห็นผู้ชายที่ยืนใกล้ยัยเจสสิก้าแอบเช็ดปากตัวเองจริงๆ

“แกไม่ต้องรีบเดินก็ได้ยัยเจส เดี๋ยวนมก็หกหรอก” และเดล่าก็ได้พูดแทนฉันไปแล้ว แต่เจสสิก้ากลับยักไหล่และเบ้ปากอย่างโนสนโนแคร์

“พวกนั้นก็ได้แค่มองนั่นแหละย่ะ ว่าแต่พวกสองคนแกเถอะ… ไม่เจอกันนานฉันคิดถึงจะแย่”

“ฉันก็คิดถึงแกสองคนเหมือนกัน อยู่ที่นั่นไม่มีคนพาแรดเลยอ่ะ เจอแต่เลโอน่าเบื่อชะมัด”

“กลับมาแล้วฉันจะพาแรดเต็มที่เลย!” เจสสิก้าหันไปบอกเดล่าที่กำลังยกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างกับอดอยากเหมือนที่ฝรั่งเศสไม่มีเบียร์ให้มันดื่มอย่างงั้นแหละ ส่วนยัยเจสสิก้าก็โผเข้ากอดพวกฉันสองคนแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ เรื่องแรดไว้ใจเจสได้เลยสินะ ฉันควรดีใจไหมเนี่ยที่มีเพื่อนแรดขนาดนี้น่ะ…

“เจสเบียร์จะหกใส่นมแกแล้วเนี่ย”

ฉันพูดเตือนสติมันทันที กอดเฉยๆ ไม่พอ มันจะเต้นไปด้วยทำไมโว้ย เจสิก้าหัวเราะคิกคักก่อนจะปล่อยฉันกับเดล่าออกแล้วยกเบียร์ในแก้วตัวเองขึ้นดื่มบ้าง

“แหม แกนี่ก็สวยตลอดเลยนะยัยโมนา เห็นแล้วหมั่นไส้”

ฉันหันไปยกยิ้มบางพลางยักไหล่แบบที่มันชอบทำอย่างไม่แคร์เช่นกัน “สวยก็ผิดเหรอ”

“ไม่ผิดหรอก แต่ฉันแค่ไม่เห็นแกจะมีแฟนหรือคบกับใครสักทีเนี่ยสิ”

“ฉันก็ยังไม่อยากมีน่ะ แค่เรื่องงานก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว”

“จริงอ่ะ? ไม่ใช่ยังไม่ลืมแดเนียลเหรอ”

“คนแบบนั้นฉันลืมไปนานแล้วล่ะ”

คำพูดแซวแกมหยอกเล่นของเดล่าทำให้ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่าย แฟนเก่าเฮงซวยที่จะหลอกฟันฉันแถมยังไม่นอนกับผู้หญิงอื่นแบบนั้น่ะ… ไม่รู้ว่าฉันจะไปอาลัยอาวรเพื่ออะไร ไร้สาระชะมัด แค่ได้ยินชื่อฉันก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีอยากจะอ้วกแล้วอ่ะคิดดูสิ

“ฉันเชื่อก็ได้ แกไม่ต้องทำท่าทางเหม็นเบื่อขนาดนั้นก็ได้น่า” เดล่ากับเจสสิก้าหัวเราะชอบใจ นี่ฉันแสดงอาการขนาดนั้นเลยหรือไงกันน่ะ แต่จู่ๆ ยัยเจสสิก้าก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี ฉันเลิกคิ้วงุนงง อะไรของมันอีกล่ะเนี่ย…

“เอ่อ… โมนา ถ้าฉันบอกอะไรแกอย่าโมโหนะ”

“เป็นอะไรของแก?”

“แกดูเอาเองแล้วกัน”

ฉันหันไปมองตามนิ้วชี้ของเดล่าที่ชี้ไปทางด้านหลังฉันก่อนจะเบิกตาโพลงและกะพริบปริบๆ เมื่อให้แน่ใจอีกครั้ง ชัดเจน… ชัดเจนเต็มสองตา พวกมันเห็นผีจริงๆ ผีเน่าที่มาคู่กับโล่งผุน่ะสิ ให้ตายเถอะ เพิ่งพูดถึงไม่ทันขาดคำทำไมฉันต้องมาเจอด้วย ตายยากตายเย็นชะมัดเลยโว้ยย!

“แดเนียลคบกับยัยเอ็มม่าเหรอ… ก็เหมาะสมกันดีนะฉันว่า” เจสสิก้ายกยิ้มขึ้นอย่างเยาะเย้ย ส่วนฉันก็หันหน้ากลับมายกเบียร์ดื่มนิ่งๆ ไม่ได้สนใจสองคนนั้น ปล่อยให้คบกันล่ะดีแล้วยัยเอ็มม่าก็ร้ายใช่เล่นซะที่ไหน เหอะ

“แต่แดเนียลมองมาทางแกด้วยล่ะโมนา” เดล่าสกิดไหล่ฉันจนฉันต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหันไปมองด้านหลัง และเห็นว่าแดเนียลกำลังมองมาที่ฉันตามที่เดล่าบอกจริงๆ ขนาดมียัยเอ็มม่าเกาะแขนเป็นปลิงยังจะกล้ามองมาอีกนะ

“ถ่านไฟเก่ายังร้อนอยู่มั้ยนะ”

“ฉันจับใส่หม้อถ่วงน้ำไปละ มันไม่มีวันร้อนขึ้นมาหรอก” ยัยเจสสิก้านี่ก็ขยันแกล้งฉันดีจริงๆ แต่พอได้ยินคำพูดของฉันพวกมันสองคนก็ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างชอบอกชอบใจ ฉันยกยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วดื่มเบียร์ของตัวเองต่อ

“คุยอะไรกันอยู่เหรอสาวๆ ท่าทางน่าสนุกดีหนิ”

“ไม่มีอะไร แค่เห็นแดเนียลเลยเม้าส์อะไรกันนิดหน่อยน่ะ” เลโอเดินมานั่งลงข้างเดล่าแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย พอเดล่าบอกเขาก็หันไปมองตามสายตาเธอแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ทันที

“ฉันว่าชวนมันมานั่งด้วยกันหน่อยเป็นไง ไหนๆก็คนรู้จักที่เคยอยู่มหา’ลัยเดียวกัน”

“เดี๋ยวเลโอ… ให้ตายสิ”

ฉันยังอ้าปากพูดไม่ทันจบ เลโอก็เดินเข้าไปหาแดเนียลแล้วลากเขามาจนได้ แถมยังมีปลิงอย่างยัยเอ็มม่าติดหนึบมาด้วยอีกต่างหาก บ้าชะมัด วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย!

“ไงโมนา ไม่เจอกันนานเลยนะ”

“นายก็เหมือนกัน ท่าทางจะสบายดีนะ แดเนียล”

และยังไม่ทันที่ฉันจะได้ยกเบียร์ในแก้วขึ้นดื่ม เสียงของแดเนียลก็ทำให้ฉันต้องถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะหันไปยกยิ้มตอบกลับเขาไปพร้อมกับแหล่มองไปทางยัยเอ็มม่าที่เกาะแขนแดเนียลแน่นเหมือนกลัวว่าฉันจะเข้าไปแย่ง เหอะ ไม่ต้องกลัวหรอกย่ะ ฉันไม่มีวันไปแย่งผู้ชายแบบนี้เด็ดขาด!

“สบายดี แต่เธอ… สวยขึ้นนะ” ฉันขยับตัวหนีมือของแดเนียลที่ยกขึ้นมาจะจับที่ผมฉัน ใครใช้ให้เลโอมันไปพามาเนี่ย อยากจะข่วนหน้าหล่อๆ ของมันให้หายหงุดหงิดชะมัด!

“แดเนียล ทำอะไรคะ!”

“อะไรเอ็มม่า ไม่ได้ทำอะไร”

”ไม่เอาน่าๆ นานๆ ทีจะเจอกันอย่าทำให้บรรยากาศเสียเลยเอ็มม่า” ยัยเอ็มม่าตะโกนเสียงแหลมแถมยังมองไปยังแดเนียลอย่างงอนๆ แล้วหันขวับจ้องฉันด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ส่วนแดเนียลมองเธอคล้ายรำคาญเล็กน้อย แต่ยัยนั่นก็ยังคงดึงแขนเขาไปใกล้มากกว่าเดิมจนเลโอต้องเอ่ยบอกเพื่อให้ทุกคนใจเย็นลงเอ็มม่าถึงยอมหุบปากลงสักที

“นี่โมนา แล้วแฟนเธอไม่มาด้วยงั้นเหรอ”

แต่เงียบปากได้ไม่นานยัยเอ็มม่าก็หันมาถามฉันด้วยสีหน้าเยาะเย้ยหน่อยๆ จนฉันขมวดคิ้วพลางกัดเม้มปากอย่างหงุดหงิดทันที ถ้ามีก็คงหนีบมาด้วยแล้วล่ะย่ะ ไม่เห็นเหรอว่าฉันไม่มีแฟนน่ะ ไม่มีตาดูหรือไงยะ! ฉันแอบโวยอยู่ในใจก่อนจะสูดหายใจเฮือกให้หายหงุดหงิดแล้วพึมพำบอกอย่างจำใจ “คือฉัน..”

“อย่าบอกนะว่าเธอยังไม่มีแฟนเพราะยังอยากได้แดเนียลอยู่น่ะ… แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะว่าแดเนียลรักฉันมาก เขาคงไม่กลับไปหาเธอหรอก” ฉันชะงัก อ้าปากพะงาบๆ นั่งฟังยัยเอ็มม่าร่ายยาวแล้วก็ต้องกรอกตาไปมาอย่างเอือมๆ นี่เธอคิดว่าฉันอยากได้แดเนียลกลับคืนมากหรือไง ให้ตายสิ ฉันไม่แย่งแฟนเธอหรอกย่ะ

“นี่เอ็มม่าฉันว่าเธอ…”

และในขณะที่เจสสิก้ากับเดล่ากำลังจะตอกกลับยัยเอ็มม่าแทน สายตาของฉันก็ไปเจอกับผู้ชายร่างสูงหุ่นดีกล้ามแน่นที่ถึงแม้ว่าจะเห็นแค่ด้านหลังก็รู้ว่าหล่อและเท่มากแค่ไหน เพราะตลอดทางที่เขาเดินผ่านผู้หญิงนี่หันไปจ้องเขากันตาเป็นประกายเชียวล่ะ

“เขามาแล้ว”

“เอ๊ะ… อะไรของแกน่ะโมนา” เดล่าหันมาถามฉันที่จู่ๆ ก็พูดโพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างมึนงง ทุกคนที่นั่งอยู่ก็มีท่าทางสงสัยไม่ต่างกันว่าที่ฉันเพิ่งพูดออกไปมันหมายถึงอะไร

“แฟนฉันมาแล้ว”

“เดี๋ยวนะโมนา ก็ไหนเมื่อกี้แกบอกว่า…“

ฉันยกยิ้มมุมปากแล้วกระดกแก้วเบียร์ในมือจนหมด จากนั้นก็เดินเข้าไปหาผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยโดยไม่ได้สนใจเสียงถามด้วยความสงสัยของเพื่อนที่ตะโกนตามหลังสักนิดเดียว คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้ทั้งแดเนียลและยัยเอ็มม่าหุบปากจนเหมือนเป็นใบ้ไปเลย เหอะ!

“นี่”

พอเดินมาใกล้ร่างสูงฉันก็เอื้อมมือไปสะกิดไหล่กว้างของเขาเบาๆ เป็นการทักทาย เขาหันกลับมามองหน้าฉันนิ่งๆ คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย “โมนา”

และทันทีที่สายตาคมดุดันคู่สวยสบกับดวงตากลมโต ฉันก็ส่งยิ้มกว้างไปให้เขา ยกแขนขึ้นคล้องรอบคอแกร่งอย่างสนิทสนม ลองแอบชำเลืองมองไปทางโต๊ะที่เพื่อนๆ ของฉันนั่งอยู่ก็เห็นว่าทุกคนกำลังทำสีหน้าอึ้งๆ ตามคาด… ฉันยิ้มพอใจแล้วหันกลับมาเงยมองใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยบอกเสียงหวานแหบพร่าอย่างหยอกเย้าหน่อยๆ…

“ช่วยมากับฉันหน่อยได้มั้ยคะ… คุณเอริค”

Options

not work with dark mode
Reset