Double รักร้ายคูณสอง 11

ตอนที่ 11

“ยืนแทบไม่ไหว จะเดินกลับห้องยังไง” เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกข้างใบหูจนฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นผะแผ่วผิวแก้ม หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นมารัวเร็ว บ้าชะมัด จะมาเต้นตึกตักอะไรตอนนี้กันล่ะ…

“ฉันยืนไหวค่ะ”

ฉันหันหน้าหลบสายตาคมและพยายามพูดให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะฝืนทำได้ เพราะตอนนี้ปวดหัวหนักมาก ทั้งมึนเบลอ ทั้งสับสนกับสัมผัสจากเอริคจนแทบบ้าอยู่แล้ว

“หึ งั้นก็ผลักฉันออกให้ได้ก่อนสิ โมนา”

เอริคยกยิ้มมุมปากพลางเลิกคิ้วใส่ฉันที่นอนอยู่ใต้ร่างสูงใหญ่ของเขาอย่างท้าทาย เหอะ! คิดว่าคนอย่างโมนาไม่มีปัญญาผลักเขาหรือไง เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ จะบอกให้!

ตุบๆ!

“ถอยไปค่ะ ฉันไม่มีอารมณ์เล่นตอนนี้”

“แล้วใครบอกว่าเล่นล่ะ” ฉันจิ๊ปากทันทีที่ดันและทุบแผงอกกำยำตั้งหลายครั้ง แต่เอริคกลับไม่ขยับสักนิดเดียว จนฉันต้องกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นแล้วออกแรงทุบไปบนท่อนแขนแข็งแรงอย่างหงุดหงิดแทน เอริคยังคงยกยิ้มมุมปาก และมองฉันด้วยสายตาคมเจ้าเล่ห์ เลิกคิ้วเข้มขึ้นอย่างกวนประสาทอีก น่าโมโหจริง!

“คุณสนุกมากสินะที่ได้กวนประสาทฉันแบบนี้น่ะ”

“หึ ก็นิดหน่อย”

“เหอะ ฉันจะกลับ… อื้อ!”

และพอฉันกำลังจะอ้าปากพูดร่างสูงก็โน้มลงมาประกบจูบโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ลิ้นเปียกชื้นสอดแทรกเข้ามาตวัดลิ้นเล็กด้วยความช่ำชอง ส่วนฉันก็บ้าจี้จูบตอบสัมผัสเร่าร้อนจากเอริคอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ บ้าไปแล้ว นี่ฉันต้องบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม!

“อื้อ… อ๊ะ”

ฉันครางอื้ออึงในลำคอเมื่อเริ่มจะหายใจไม่ทันที่เอริคจูบฉันด้วยความเร่าร้อนแทบไม่ให้หยุดพักหายใจหายคอ แขนเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นไปคล้องรอบลำคอแกร่ง เล็บก็เผลอจิกไปบนแผ่นกว้างอย่างไม่รู้ตัว ก่อนเอริคจะค่อยๆ ผละริมฝีปากออกเพื่อให้ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอด แต่ไม่นานก็ต้องสะดุ้งทันทีที่รู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณซอกคอเมื่อเอริคโน้มลงมาขบเม้มคล้ายจะแกล้งแหย่ให้ฉันร้องครางออกมาอย่างน่าอาย ฝ่ามือหนาลูบไล้รอบเอวบางไปมาแผ่วเบา จากนั้นริมฝีปากอุ่นก็ประกบจูบลงมาด้วยความร้อนแรง เย้ายวน และน่าหลงไหลจนฉันต้องจูบตอบเขาไปอีกครั้ง

ทำไมกันนะ… ทำไมสัมผัสจากเอริคถึงทำให้ฉันทำตามเขาอย่างง่ายดายขนาดนี้ด้วย หรือเป็นเพราะตัวฉันกับหัวใจที่เต้นระรัวไม่หยุดหย่อนกันแน่…

“คะ… คุณเอริค”

“เรียกแค่ชื่อฉัน โมนา”

เสียงเข้มต่ำดังใกล้ใบหูจนฉันจั้กจี้แล้วเอริคก็ลากไล้ริมฝีปากลงมาขบเม้มบริเวณซอกคอของฉันอย่างเอาแต่ใจ จูบแผ่วเบาไปทั่วเนินอก จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับฉันนิ่งพร้อมกับยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ฉันเม้มริมฝีปากแน่นแล้วยกมือบางลูบไล้แผงอกกำยำเปลือยเปล่าด้วยความประหม่าหน่อยๆ รอยสักราชสีห์ยิ่งทำให้ฉันมึนเบลอมากขึ้นกว่าเดิม และรอยสักอันใหม่ที่เขาคงเพิ่งไปสักมามันก็ดูเข้ากับคนอย่างเอริคชะมัด…

“เอริค…”

เอริคยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อฉันเอ่ยเรียกชื่อเขาเสียงหวานแหบพร่า มือหนาถอดชุดกระต่ายที่ฉันสวมอยู่ออกให้ช้าๆ ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ หลับตาพริ้มเพราะอาการปวดหัวและประหม่าจากสัมผัสของเอริค… ความเย็นจากแอร์กระทบผิวกายฉันจนสะดุ้งเล็กน้อย พอลืมดวงตาที่ปรือก็พบกับสายตาคมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ฉันยิ้มเอื้อมมือบางไปลูบไล้สันกรามใบหน้าหล่อคมคายแผ่วเบาอย่างเย้ายวน

“เอริค”

“ดี น่ารักมาก โมนา”

ทันทีที่เสียงทุ้มเข้มพูดจบ ริมฝีปากอุ่นก็ประกบจูบลงมาอีกครั้งอย่างเร่าร้อน ลิ้นเปียกชื้นดุนดัดตวัดลิ้นเล็กไปมาจนฉันหายใจแทบไม่ทัน ก่อนเอริคจะค่อยๆ เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มรุนแรงเป็นจูบอย่างอ่อนโยนลงเพื่อให้ฉันขยับริมฝีปากอิ่มจูบตอบเขาได้ไม่ยากเย็นนัก

“อื้อ”

เอริคจูบซุกไซ้ลงไปเรื่อยๆ ฉันสะดุ้งเมื่อปลายลิ้นเปียกชื้นไล้เลียสะกิดหยอกเย้ายอดอกที่แข็งชูชันอย่างหิวกระหาย ริมฝีปากอุ่นก็ดูดดึงรุนแรงจนฉันต้องกัดริมฝีปากล่างและเผลอจิกเล็บลงไปบนบ่ากว้างเพื่อกลั้นเสียงครางน่าอาย ในสมองของฉันคิดเรื่องฟุ้งซ่านอย่างสับสนจนวุ่นวายตีกันไปหมด อาการปวดหัวก็เริ่มหนักขึ้นกว่าตอนแรก ฉันหลับตาแล้วสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างทำตัวไม่ถูก

และพอร่างสูงเห็นฉันสูดหายใจแรงแถมหัวใจยังเต้นระรัวไม่หยุดหย่อน เขาเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะยกยิ้มและประกบจูบที่ริมฝีปากฉันแผ่วเบา จากนั้นก็ไล้จูบมาที่เปลือกตาอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่ขคงดูใจเย็นไม่ได้อีกต่อไปด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ร่างกายของเอริคร้อนรุ่มกว่าฉันซะอีกให้ตายเถอะ ฉันพร่าเบลอไปหมดแล้วนะ…

“เอริค…ฉันปวดหัว”

“เธอเมา…”

“ฉันก็ว่างั้น อื้อ!”

เสียงทุ้มเข้มพึมพำพลางถอนหายใจทันทีที่เขาได้ยินฉันพูดด้วยเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนฉันจะกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นเมื่อจู่ๆ เอริคก็โน้มลงไปดูดดึงยอดอกที่แข็งชูชันแรงๆ อย่างมันเขี้ยวจนฉันเจ็บจี๊ดหน่อยๆ นี่เขาแกล้งฉันอยู่หรือไงกันน่ะ!

“จะนอนมั้ย”

“ไม่… ไม่รู้สิคะ” ฉันตอบเสียงตะกุกตะกัก และถึงจะบอกเขาไปแบบนั้น แต่อีกใจก็ไม่อยากให้เอริคหยุดเลย ให้ตายสิ นี่ฉันเป็นอะไรไปน่ะ หยุดคิดเพ้อเจ้อสักทีสิโว้ยย!

“อีกสองนาทีถ้าเธอไม่หลับ ฉันจะทำต่อ”

เอริคขยับตัวมานอนตะแคงมองใบหน้าฉันที่พยายามลืมปรือตาหนักอึ้งแล้วหันมองเขากลับไปเช่นกัน เอริคขบสันกรามแน่นอย่างควบคุมอารมณ์ ฉันยิ้มบาง เอื้อมมือวางทาบทับกับแผงอกกำยำแผ่วเบา และพอรับรู้ถึงหัวใจของเขาที่เต้นแรงไม่ต่างจากฉันสักเท่าไหร่ก็พึมพำเสียงหวานเบาหวิวพร้อมกับดวงตาหรี่ปรือที่หนักอึ้งค่อยๆ ปิดลงโดยไม่รู้ตัว

“เหรอคะ เอริค…”

“แม่ง… งั้นไปเข้าห้องน้ำก่อน หลับซะ โมนา”

เอริคถอนหายใจแรงพลางสถบกับตัวเองอย่างหัวเสีย ฝ่ามือหนาเสยผมท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพฉันที่เมาจนไม่น่าจะไหวจริงๆ แถมตอนนี้ฉันยังรู้สึกมึนเบลอ ปวดหัวและง่วงนอนมาก แต่ขณะที่หลับตาอยู่ดีๆ สักพักฉันก็รับรู้ได้ว่ามีผ้าห่มผืนหนานุ่มที่ห่อหุ้มร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองไว้ก่อนจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว…

กริ๊งงง

“อื้มมม…” เสียงนาฬิกาปลุกที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงดังขึ้น ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้น แล้วแสงแดดอ่อนๆก็ส่องผ่านผ้าม่านสีครีม แต่เดี๋ยวนะ… แล้วฉันมานอนอยู่บนเตียงของตัวเองแบบนี้ได้ยังไงล่ะเนี่ย? เมื่อคืนนี้ฉันยังอยู่ที่ห้องของเอริค เอ๊ะ? พอมานึกดูดีๆ ตอนนั้นเราสองคนเกือบจะทำอะไรบ้าๆ กันอีกแล้วสิ ให้ตายเถอะ ฉันอยากทึ้งหัวตัวเองชะมัด!

“นี่มัน… ชุดนอน?”

ฉันขมวดคิ้วมุ่นก้มลงมองชุดนอนของตัวเองที่กำลังสวมอยู่ ใครเป็นคนใส่ให้ฉันกันน่ะ? แถมยังไปเอาชุดนอนลูกไม้สีชมพูตัวบางที่เจสสิกาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้วอีก ฉันอุตส่าห์เอาไปไว้ลึกสุดในตู้เสื้อผ้าเลยนะ! หรือว่า… เอริคงั้นเหรอ?!

“ให้ตายสิ”

ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสีย และรู้สึกอายหน่อยๆ เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้แล้วเริ่มจำทุกอย่างได้บ้าง เหอะ จะไม่ให้ฉันจำได้ได้ยังไงล่ะก็รอยแดงที่เอริคทำไว้มันยังเป็นจ้ำอยู่บนเนื้อตัวฉันอยู่เลยเนี่ย ฉันเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกสติตัวเอง จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ แล้วรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงานสักที หยุดคิดเรื่องเมื่อคืนได้แล้วยัยโมนาโว้ย  จำไว้สิยะ!

และไม่นานหลังจากที่ฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ตอนที่กำลังจะใส่รองเท้าส้นสูงคู่โปรดฉันก็ชะงักกับกระดาษโน้ตใบเล็กสีเหลืองที่ติดอยู่ตรงประตูหน้าห้องนอนของตัวเองทันที พอเดินไปหยิบมาอ่านก็แทบอยากจะปาใส่หน้าคนที่เขียนแรงๆ ด้วยความขุ่นเคือง

“ฉันจะไม่เข้าบริษัทและไม่อยู่ที่คอนโดสักพัก มีงานต้องเคลียร์…”

เหอะ! ถึงไม่เขียนชื่อบอกไว้ว่าใครเป็นคนเขียนโน้ตบ้าๆ นี่ ฉันก็พอจะเดาออกว่าเป็นใคร ก็จะเป็นใครไปได้ล่ะถ้าไม่ใช่เอริค! นี่เขาคิดจะทำอะไรของเขากันเนี่ย ฉันล่ะอยากจะบ้าตายชะมัดเลย!!

@บริษัท MT

ฉันเดินเข้าบริษัทด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ถึงแม้ฉันจะพยายามฉีกยิ้มให้เพื่อนร่วมงานที่เดินสวนกันไปมา แต่มันกลับฝืนอารมณ์ดีได้ยากเย็นชะมัดเมื่อนึกไปถึงกระดาษโน้ตที่เอริคเป็นคนเขียนทิ้งไว้ ให้ตายเถอะ ก่อนจะมาที่ทำงานฉันก็รีบเดินไปสำรวจที่ห้องของเขาเพื่อความแน่ใจอีกครั้งแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งเอริคก็ไม่อยู่จริงๆ หายหัวไปไหนของเขาเนี่ย!!

“คุณโมนาคะ”

ฉันชะงักกึกแล้วหันไปมองตามเสียงเรียกด้วยความสงสัยและเห็นเลวี่เดินจากโต๊ะทำงานหน้าห้องท่านประธานมาทางฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมืออีกสองสามอัน ฉันส่งยิ้มกว้างกลับไปให้เธอ ถึงแม้ในใจจะก่นด่าและขุ่นเคืองเอริคอยู่ก็ตาม ไม่ได้หรอก ฉันจะมาพาลอารมณ์เสียใส่เพื่อนร่วมงานที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ยังไงกัน

“มีอะไรรึเปล่าคะคุณเลวี่?”

“พอดีมีเอกสารที่ต้องให้คุณเอริคเซ็นอนุมัติค่ะ แฟ้มสีน้ำเงินคือรายละเอียดของหุ้นส่วนจากสาขาอิตาลี ท่านประธานอยากให้คุณเอริคตรวจดูให้หน่อยน่ะค่ะ”

“เอ่อ… ค่ะ”

เลวี่อธิบายพร้อมกับมองฉันอย่างสดใสร่าเริง ส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ทั้งๆ ที่ในหัวตอนนี้รู้สึกมึนไปหมด นึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของเอริคแล้วอยากจะข่วนให้หายหงุดหงิด งานที่เขาต้องจัดการให้เรียบร้อยมีมากมายจนมันจะกองท่วมหัวเท่าภูเขาไฟฟูจิอยู่แล้วนะ แล้วเขาหายหัวไปอยู่ไหนกัน!

“คุณโมนาเป็นอะไรรึเปล่าคะ? ไม่เข้าใจตรงไหนรึเปล่า” เลวี่มองหน้าฉันด้วยความสงสัย แต่เธอยังคงยิ้มบางมาให้อย่างร่าเริง ฉันอยากจะยิ้มได้แบบเธอบ้างจัง แต่ตอนนี้ไม่สาปแช่งเอริคก็ดีแค่ไหนแล้ว ให้ตายเถอะ!

“ก็… นิดหน่อยน่ะค่ะ”

ฉันพูดตะกุกตะกัก ไม่แน่ใจว่าควรจะถามหรือบอกเลวี่ดีหรือเปล่า แต่ในหัวฉันตอนนี้นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะไปตามตัวเอริคให้มาเซ็นเอกสารมากมายนี่ได้จากที่ไหน เอ๊ะ… บางทีเลวี่อาจจะรู้อะไรบ้างไหมนะ หรือฉันควรลองถามเธอดู?

“คุณโมนาไม่เข้าใจตรงไหนคะ เลวี่จะได้อธิบาย…”

“คือ… ไม่ใช่เรื่องงานหรอกค่ะ แหะๆ” ฉันเม้มริมฝีปาก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจถามเลวี่ออกไป เธอเลิกคิ้วมองหน้าฉันด้วยความงุนงงปนสงสัยทันที

“เรื่องอะไรเหรอคะ?”

“คุณเลวี่พอจะรู้รึเปล่าคะว่าถ้าคุณเอริคไม่เข้าบริษัทแล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน”

“เอ่อ… คุณเอริคไม่อยู่คอนโดเหรอคะ?” ฉันถามเลวี่เสียงจริงจังมากขึ้น แล้วมองหน้าเธออย่างรอคอยคำตอบ เผื่อว่าเลวี่บอกปั๊บฉันจะได้บึ่งไปลากคอเอริคเข้าบริษัทเลยไง แต่เธอกลับส่งยิ้มแห้งๆ มาให้อย่างเห็นใจทันทีที่ฉันส่ายหน้า พร้อมกับถอนหายใจอีกครั้งอย่างเซ็งๆ

“หาทุกซอกทุกมุมของห้องแล้วค่ะ นี่ถึงขั้นเปิดฝาชักโครกดูเลยนะคะเนี่ย”

ฉันพูดจริงๆ นะไม่ได้ล้อเล่น ตอนที่เข้าไปทในห้องของเอริคฉันไปดูมาหมดแล้ว ขนาดในห้องน้ำยังเปิดฝาชักโครกดูเลย อย่างกับร่างสูงใหญ่ของเขาจะลงไปยัดอยู่ในนั้นได้งั้นแหละ ฉันนี่เริ่มจะบ้าเข้าไปทุกที ให้ตายสิ

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณโมนา อืม… บางที่คุณเอริคอาจจะอยู่ที่ผับของคุณออสตินก็ได้ค่ะ อ้อ! เหมือนท่านประธานจะเคยบอกอยู่นะคะว่าคุณเอริคชอบไปอยู่บ้านพักแถวชานเมืองเหมือนกัน” เลวี่ส่งยิ้มกว้างมาให้ ฉันอยากจะกระโดดกอดเธอสักร้อยครั้ง เลวี่เหมือนนางฟ้ามาเบิกทางสว่างให้กับฉันเลย

ฉันรับแฟ้มเอกสารมาจากเลวี่ แล้วส่งยิ้มกว้างเบิกบานใจกว่าตอนแรกไปให้เธอ “ขอบคุณมากนะคะคุณเลวี่”

“ไม่เป็นไรค่ะ เลวี่ก็พอจะรู้แค่นี้ อีกอย่าง… เรียกแค่เลวี่ก็พอค่ะ”

“งั้นเลวี่ก็เรียกแค่โมนาเหมือนกันนะคะ” เลวี่หัวเราะพลางพยักหน้าเข้าใจ ฉันเลยรีบขอตัวไปตามเอริคพร้อมกับหอบแฟ้มเอกสารที่ถือติดมือไปด้วยซะเลย

ตุบ!

แฟ้มเอกสารสองสามอันโดนวางเอาไว้บนเบาะหลังรถยนต์ฮอนด้าสีขาวลูกรัก ก่อนจะตามไปด้วยกระเป๋าสะพาย แล้วฉันก็รีบสตาร์ทรถขับไปตามแผนที่ที่เลวี่เพิ่งส่งข้อความมาให้อย่างรวดเร็ว

ก่อนจะขอให้เลวี่ส่งแผนที่บ้านพักแถบชานเมืองที่เอริคชอบไปหมกตัวที่นั่น ฉันได้โทรไปถามออสตินแล้วล่ะว่าเอริคได้ไปอยู่ที่ผับของเขาหรือเปล่า ออสตินบอกว่าไม่อยู่ และฟังจากน้ำเสียงแล้วฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้โกหกจริงๆ อีกอย่างถ้าเอริคไปผับของออสติน เขาก็ต้องกลับมาที่คอนโดฯ แล้วน่ะสิ แต่นี่เขากลับเขียนโน้ตบอกเอาไว้เองนะว่าจะไม่เข้ามาที่นั่นสักพัก เหอะ ถึงคนอย่างโมนาจะบ้าแต่ก็ไม่โง่นะยะ!

ฉันขับรถตามแผนที่มาเรื่อย ๆ ข้างทางจากที่มีตึกสูงมากมายตอนนี้กลายเป็นต้นไม้เขียวขจีเต็มไปหมด รู้สึกร่มรื่นดีเหมือนกัน จากที่กำลังหงุดหงิดเอริคอยู่ตอนนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วกดเปิดเพลงสากลฟังไปพลางๆ เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“นี่ฉันเป็นเลขาจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย เฮ้ออ”

ฉันพึมพำกับตัวเองอย่างมึนงง เมื่อรู้สึกว่าชีวิตการทำงานของฉันระหว่างที่ทำงานกับเอริคมันชักจะแปลกๆ เข้าไปทุกที งานบ้านงานครัว ล้างจานก็เป็นหน้าที่ของเลขางั้นเหรอ? บ้าชะมัด ไหนจะต้องมาตามเอริคเข้าบริษัทแบบนี้อีก ฉันยังทำงานเป็นเลขาอยู่จริง ๆ ใช่ไหม!?

เอี๊ยดด

ขับรถคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่นานฉันก็หักพวงมาลัยรถยนต์ฮอนด้าสุดสวยเข้าไปในพื้นที่บ้านพักสุดกว้างขวาง และเต็มไปด้วยต้นไม้ที่แสนจะร่มรื่น มันตั้งอยู่บนภูเขาไม่สูงมากแต่ก็แอบเสียวสันหลังเล็กน้อยเมื่อมองลงไปข้างทาง

ฟิ้วว

พอเปิดประตูรถยนต์และลงมายืนมองบ้านหลังใหญ่สีขาวที่ไม่ได้ตกแต่งหรูหราอะไรมากมายนัก แต่มันกลับดูสะดวกสบายพอสมควร ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมาก็ทำเอาฉันถึงกับรู้สึกหนาวๆ เย็นๆ ขึ้นมาเล็กน้อย

“ที่นี่ลมแรงชะมัด…”

ฉันลูบแขนตัวเองป้อยๆ พลางเดินไปทางตัวบ้าน และลองเคาะประตูสองสามที แต่ไม่ว่าจะเคาะยังไงก็ไม่มีใครมาเปิดสักที เอริคไม่อยู่ที่นี่เหรอ? ไม่เอาน่า… ฉันอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกลจนก้นชาไปหมดเขาจะไม่อยู่ได้ยังไงกันน่ะ แถมพอลองเงยหน้ามองท้องฟ้าก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเริ่มมืดซะแล้ว ให้ตายสิ ฉันฟังเพลงในรถเพลินจนไม่ทันสังเกตท้องฟ้าหรืออากาศเลยเหรอเนี่ย!

“คุณเอริค!”

ฉันลองตะโกนเรียกดู แต่ก็พบเพียงความเงียบและลมที่พัดแรงอีกครั้งจนกระโปรงชุดเดรสฉันเกือบเปิดมาคลุมหัวตัวเอง ยังดีที่จับเอาไว้ได้ทัน ฉันขมวดคิ้วมุ่น ยกมือขึ้นจับลูกบิดประตูแล้วลองเปิดดู

“นี่ คุณอยู่มั้ยเนี่ย เอ๊ะ… ไม่ล็อกเหรอ?”

ฉันเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจยที่ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย คนอะไรอยู่บ้านคนเดียวประตูก็ไม่ล็อกให้เรียบร้อย ถ้าเกิดมีโจรมาปล้นจะทำยังไงยะ ว่าแต่… ตอนนี้มันใช่เรื่องที่ฉันควรมาสนใจที่ไหนกันล่ะ!

ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วลองเดินเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่มีใครอนุญาตทั้งนั้น ช่างสิ ก็ฉันมาตามเอริคจะให้มีมารยาทมากมายก็ยังไงอยู่ พอนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาฉันก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ก่อนจะชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเครื่องบินลำเล็กๆ ที่คงเป็นของเล่นวางเอาไว้บนชั้นข้างโซฟา ฉันเลิกคิ้ว ขยับเดินไปตรงบันไดชั้นสองแล้วชะเง้อมองดูใกล้ๆ อย่างสนใจหน่อยๆ เพราะมันมีเยอะมากจนเหมือนจะเปิดร้านขายของเล่น แถมยังมีอะไหล่เครื่องบินที่แยกเอาไว้อีกชั้นข้างกันอีกต่างหาก…

“เธอมาที่นี่ได้ยังไง โมนา”

จู่ๆ เสียงเข้มต่ำก็ดังขึ้นโดยไม่บอกกล่าว ฉันสะดุ้งตกใจแล้วหันไปมองร่างสูงที่มีเพียงผ้าขนหนูพันรอบเอวสอบพร้อมกับมือหนาอีกข้างกำลังเช็ดผมเปียกชื้นของเขาไป สายตาคมจดจ้องมองใบหน้าฉันนิ่ง คิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นอย่างสงสัยปนแปลกใจเล็กน้อย

“ฉันมาได้ไงก็ช่างเถอะค่ะ แต่ตอนนี้… คุณต้องกลับไปบริษัทกับฉันเดี๋ยวนี้เลย”

ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติไม่ให้สายตาล่อกแล่กแล้วเผลอไปจ้องซิกแพคแน่นๆ ของเอริค อีกอย่างคือ… ไม่ให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ด้วย ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องรู้สึกหน้าร้อนผ่าวแบบนี้ล่ะเนี่ย!

เอริคถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเขาจะเลิกคิ้วพลางยกยิ้มกวนประสาทกลับมาให้อย่างไม่สะทกสะท้าน “เธอไม่เห็นโน้ตที่ฉันเขียนไว้รึไง”

“เห็นค่ะ แต่คุณมีเอกสารที่ต้องจัดการอีกเยอะนะคะ”

ฉันเม้มริมฝีปากด้วยความประหม่าทันทีที่ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แถมเขายังพาดผ้าขนหนูที่ใช้เช็ดผมเอาไว้บนบ่าแกร่ง หยดน้ำจากเส้นผมของเขาก็หยดติ๋งลงมาเกาะตามแผงอกกำยำจนฉันต้องรีบหันหน้าไปมองอีกทาง แอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกอย่างเลิ่กลั่ก บ้าจริง ใครใช้ให้เอริคมายืนเปลือยท่อนบนโชว์ซิกแพคล่ำๆ หน้าตาเฉยแบบนี้กันยะ!

Options

not work with dark mode
Reset