Double รักร้ายคูณสอง 10

ตอนที่ 10

“เออ ใจร้อนฉิบหายเลยมึงเนี่ย”

หลังจากที่เอริคมีท่าทางหัวเสียที่ออสตินลีลาเพราะต้องการแหย่ให้เขาหัวร้อน พื่อนเขาก็ต้องส่ายหน้าเบาๆ และถอนหายใจอย่างยอมแพ้แล้วหันหลังเดินนำเราสองคนไปที่ทำงาน ฉันเลยรีบยกไม้ยกมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อยืดของเอริคแล้วรีบก้าวับๆ สับขาเดินตามออสตินด้วยความรวดเร็ว เพราะดันมีเจ้าของดวงตาคมคู่สวยกำลังจ้องฉันไม่วางตาอยู่ข้างหลังตลอดทางอยู่น่ะสิ เอริคจะจ้องอะไรขนาดนั้นไม่ทราบยะ!

“ออสตินแล้วฉันต้องทำอะไรบ้างเนี่ย”

“เธอเห็นเก้าอี้บนเวทีตรงนั้นมั้ย?”

พอเดินมาหยุดตรงหลังเวทีหน้าฟลอของผับ ฉันก็ถามออสตินที่ยืนยกยิ้มมุมปากเหมือนกำลังสนุกอะไรบางอย่าง ฉันยักไหล่ไม่ใส่ใจแล้วมองไปตามนิ้วชี้ของออสตินที่กำลังชี้ไปทางเก้าอี้สีดำตัวหนึ่งที่อยู่กลางเวทีด้านบน โดยมีแสงสลัวสีส้มส่องอยู่ ฉันพยักหน้ารับแล้วหันไปถามเขาด้วยความสงสัย

“เห็น แล้วมันยังไงอ่ะ”

“จะมีคนต้องไปนั่งบนนั้น”

“ฉันเหรอ?”

“ไอ้เอริคน่ะ”

ทันทีที่ฉันเลิกคิ้วแล้วนิ้วชี้หน้าของตัวเอง ออสตินก็ส่ายหน้าพลางบอกท่าทางอารมณ์ดี ให้ตายสิ ฉันถามว่าฉันต้องทำอะไร ไม่ได้ถามว่าเอริคต้องทำอะไรสักหน่อย! ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่าย อยากจะรีบทำรีบจบ กลับบ้าน รับเงิน แล้วก็ถอดชุดกระต่ายยั่วสวาทนี่ออกจากตัวเต็มทนแล้วนะ!

“แล้วตกลงนายจะให้ฉันต้องทำอะไรกันแน่น่ะ?”

“แค่เต้นนิดๆ หน่อยๆ ข้างไอ้เอริคเองน่า”

“อะไรนะ?!” ฉันรีบหันขวับไปมองเอริคที่ยังคงยืนเปลือยท่อนบนสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลอย่างสบายใจจนคอแทบเคล็ด

“เพลงมันแค่แป๊บเดียว เธอก็เต้นๆ ทำเป็นกระต่ายน้อยน่ารักเอง คล้ายการแสดงน่ะ สร้างความตื่นเต้นให้ลูกค้าเล็กน้อย” เล็กน้อยบ้านนายหรือไงกัน! นี่ออสตินจะให้ฉันไปเต้นเป็นกระต่ายยั่วสวาทจริงๆ เหรอเนี่ย?! ให้ตายเถอะ แล้วทำไมต้องกับเอริคด้วยเล่า นี่มันจะบ้าบิ่นน่าอายเกินไปแล้ว…

“คือ… คือฉันคิดว่ามันคง…”

“เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยล่ะ?” เยี่ยม เยี่ยมมาก! เยี่ยมสุดๆไปเลย!! ฉันเม้มริมฝีปากอย่างคิดหนัก คิดมากจนคิ้วขมวดมุ่นไปหมดแล้ว “อะไร นี่อย่าบอกนะเธอไม่กล้าทำงานนี้แล้วงั้นเหรอ?”

ฉันหันไปมองออสตินที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ท่าทางแบบนี้หมายความว่าเขากำลังยั่วโมโหฉันอยู่สินะ ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติและทำเป็นไม่ได้กลัวอย่างที่ออสตินพูด แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ตอนนี้หัวใจฉันกลับเต้นตึกตักอย่างกับมีคนมานั่งตีกลองรัวเพลงร็อคอยู่ข้างในซะงั้น บ้าชะมัด!

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่กล้าสักหน่อย”

“งั้นเธอก็ทำได้น่ะสิ ดีเลย ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเธอต้องทำได้”

“เอ่อ แต่ว่านะออสติน…”

“เอาล่ะ งานจะเริ่มแล้ว เดี๋ยวไอ้เอริคขึ้นไปแล้วพอเพลงมาเธอก็เริ่มเลยนะ” ฉันพูดยังไม่ทันจบออสตินก็เดินดุ่มๆ ออกไปจากสายตาของฉันทันที ให้มันได้อย่างนี้สิ! เปลี่ยนจากไอ้หูกระต่ายงี่เง่าสีขาวนี่เป็นปี๊บคลุมหัวฉันยังจะรู้สึกดีกว่าเลยยะ!

“เวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย”

พอเห็นออสตินหันไปบอกร่างสูงที่เพิ่งสูบบุหรี่เสร็จให้ขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้สีดำบนเวที ฉันก็แอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่าเมื่อเอริคไปประจำที่ของเขา เสียงเฮฮาจากในผับดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง แต่คนที่กำลังเปลือยท่อนบนโชว์กล้ามเนื้อแน่นๆ พร้อมรอยสักเท่ๆ กลับนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน มีแต่ฉันนี่แหละที่สะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้น เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน… ในเมื่อทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินขึ้นไปบนเวที ฉันก็ขอก่นด่าดินฟ้าอากาศอย่างหงุดหงิดพลางคิดซะว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน!

“ห้ามถอดเสื้อฉันออก”

และพอเดินมายืนใกล้เอริคที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาก็เอ่ยบอกเสียงเข้มต่ำอย่างดุดัน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเฮฮาของผู้คนภายในผับดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ฉันกลืนน้ำลายดังอึก พยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบไปให้เอริค ให้ตายเถอะ ถึงเขาไม่บอกฉันก็จะไม่มีวันถอดเสื้อยืดของเขาออกหรอก!

ฉันกระแอมเรียกสมาธิ ก่อนดวงตากลมโตจะเหลือบไปเห็นแก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์บนเวทีเข้าพอดี ฉันเลยเอื้อมมือไปหยิบมากระดกลงคอสองสามช็อตบ้าจริง แสบคอชะมัด! แต่มันก็คงทำให้ฉันลืมความอายไปได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะ เอาล่ะยัยโมนา ตั้งสติดีๆ นะยะ เงินมันไม่ได้หากันได้ง่ายๆ รีบเต้นรีบจบ รับเงินแล้วกลับบ้าน ง่ายนิดเดียว!

“เหอะ”

ฉันเบนสายตาไปเจอออสตินที่ยืนอยู่ข้างเวทีบุ้ยหน้าไปทางเอริค เออได้! ยั่วก็ยั่ว ฉันมันคือกระต่ายน้อยยั่วสวาท! เมื่อไม่มีอะไรจะเสียฉันเลยเอื้อมมือบางไปแตะลงบนบ่าแกร่งแผ่วเบา เอริคหันมามองใบหน้าของฉันนิ่ง แต่ฉันก็ยังคงลูบไล้ไปมาที่ท่อนบนเปลือยเปล่าของเขาตามเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มไม่แพ้เสียงผู้คนที่กำลังสนุกสนานภายในผับ และพอลากไล้มาถึงรอยสักเท่ๆ ของเขา ฉันก็จับจ้องมองมันเหมือนมีแรงดึงดูดให้จมดิ่งลึกลงไปอยู่ในผวัง…

แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกมึนหน่อยๆ พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวไม่หยุดหย่อน มือบางยังคงลูบไล้ตามรอยสักของร่างสูงอย่างหยอกเย้า ดนตรีที่ได้ยินก็ไพเราะมากกว่าเดิมอย่างน่าแปลกใจจนทำให้ฉันต้องหลับตาพริ้ม ซึบซับจังหวะที่พริ้วไหว แล้วค่อยๆ เริ่มขยับร่างกายเต้นไปตามเสียงเพลงด้วยความเคลิบเคลิ้ม มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบแก้วเหล้าบนเคาน์เตอร์บาร์ขึ้นมากระดกอีกครั้ง จะว่าไป… มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดซะหน่อยนี่นา

“ดื่มเยอะไปแล้วโมนา เธอคิดว่าที่กระดกอยู่นั่นคืออะไร”

“ช่างฉันเถอะค่ะ”

เสียงทุ้มเข้มทำให้ฉันลืมตามองเขาพร้อมกับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ออสตินที่อยู่ข้างเวทีจับเสื้อตัวเองยกพรึ่บๆ จนฉันต้องขมวดคิ้วมุ่น หัวก็ปวดตุบๆ ไม่หาย และพอนึกขึ้นได้ก็มองลงไปที่เสื้อยืดสีขาวที่ฉันกำลังสวมอยู่ อย่างนี้เองสินะ… ฉันเข้าใจที่ออสตินต้องการจะบอกแล้วล่ะ

พรึ่บ!

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความใจกล้าหน้าด้านขนาดนี้มาจากไหนถึงได้ถอดเสื้อยืดออกทางศีรษะแล้วโยนลงพื้นฟลออย่างไม่สะทกสะท้านหรืออับอาย คงเป็นเพราะเหล้าหลายช็อตที่ดื่มไปนั่นก็ได้… เสียงเฮไม่ได้อยู่ในการได้ยินของฉันอีกต่อไป ตอนนี้ฉันรับรู้แค่เพียงสายตาคมวาววับอย่างเจ้าเล่ห์กำลังจ้องมองใบหน้าฉันเหมือนเขาแทบจะใช้ดวงตาคู่นั้นเจาะทะลุร่างกายฉันได้อยู่แล้ว…

“หึ เมาแล้วรึไง โมนา”

“คงงั้นมั้งคะ”

เสียงทุ้มเข้มที่ดังข้างใบหูทำให้เพิ่งรู้ว่าฉันกำลังนั่งคล่อมตักแกร่งอยู่โดยไม่รู้ตัว ฉันชะงักเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สมองก็เริ่มมึนเบลอแปลกๆ แต่พอยืนได้คงที่มากขึ้นก็โยกย้ายร่างกายตามจังหวะของเพลงนุ่มนวลเย้ายวนจนอดเต้นตามไม่ได้ มือบางลูบไล้ซิกแพคเอริคแผ่วเบาอย่างหลงไหล ร่างสูงยิ่งดูมีเสน่ห์และสวยงามเพิ่มขึ้นเมื่อมีรอยสักราชสีห์อยู่บนแผงอกกำยำของเขา… ราชสีห์ก็เหมาะกับคนอย่างเอริคเหมือนกัน ดวงตาสีฟ้าคู่สวยดุดันก็เหมือนกำลังจองจำให้ฉันหยุดนิ่ง ดำดิ่งสู่ทุกอย่างที่เขาต้องการ…

หมับ!

“โมนา เธอรู้ตัวมั้ยว่ากำลังทำอะไรอยู่” ท่อนแขนแข็งแรงโอบรัดรอบเอวบางแล้วดึงตัวฉันเข้าไปใกล้จนฉันที่กำลังมึนๆ เสียหลักล้มลงไปนั่งบนตักแกร่งอีกครั้ง ก่อนจะเลิกคิ้วพลางเอ่ยบอกเขาเสียงหวานแหบพร่าอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่

“ทำงานไงคะ”

ปวดหัวจะมัด… แล้วทำไมไฟสีเหลืองตรงเคาน์เตอร์บาร์ถึงหมุนติ้วๆ แบบนั้นล่ะ? ขวดเหล้าบนชั้นก็ดูเอียงแปลกๆ อีกต่างหาก แต่ฉันยังไม่ทันตั้งสติได่เท่าไหร่ท่อนแขนแข็งแรงก็กอดรัดเอวบางแน่นขึ้นพร้อมกับเสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกข้างใบหูอย่างเย้าแหย่จนหัวใจฉันเต้นระรัวไม่หยุดหย่อน…

“หึ หมดเวลาสนุกแล้ว  รับรู้เพียงแผงอกกำยำที่ฉันซุกใบหน้าเข้าหาความอบอุ่นแล้วยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือก็เผลอยกไปลูบไล้รอยสักราชสีห์แผ่วเบาด้วยความหลงไหล อ่า… แน่นมือดีจริงๆ เลยแฮะ

ฟุ่บ!

“อื้มม”

“ไง นอนต่อสิ”

ฉันค่อยๆ ปรือดวงตาที่หรี่ปรือขึ้นช้าๆ พลางกะพริบตาปริบๆ เมื่อแผ่นหลังกระทบกับความนุ่มนิ่ม แล้วเสียงเข้มต่ำที่เอ่ยบอกก็ทำให้ฉันหันไปมอง และเจอกับร่างสูงที่ยืนพิงกรอบบานประตูพร้อมกับมือหนายกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มอึกๆ อย่างสบายใจ แต่ให้ตายเถอะ… มึนหัวชะมัด นี่ฉันเผลอหลับไปตอนไหนเนี่ย? ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง หันไปถามเอริคด้วยความงุนงง มือก็นวดขมับตัวเองไปด้วย

“ฉัน… มาที่นี่ได้ยังไงคะ?”

“อุ้มมา”

ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับคำตอบกวนประสาทของเอริค บ้าจริง ฉันหมายถึงเขาพาฉันกลับมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่ได้ถามว่าใครอุ้มฉันมาสักหน่อยย่ะ! และฉันเริ่มรู้ตัวว่าโดนปั่นประสาทให้ปวดหัวกว่าเดิมก็ตอนที่เอริคยกยิ้มมุมปากและหัวเราะหึในลำคอแกร่งนั่นแหละ เขารู้ว่าฉันหมายถึงอะไร แต่แค่อยากแหย่ให้ฉันหงุดหงิดเฉยๆ สินะ บ้าชะมัด คนยิ่งมึนๆ เพราะเหล้าหลายช็อตนั่นอยู่นะ!

“คุณอย่าเพิ่งกวนฉันตอนนี้ได้มั้ย ปวดหัวชะมัด…”

“ทำไม เมาแล้วรึไง?” จะว่าไปฉันก็อาจจะเมาอยู่นิดหน่อยก็ได้ เพราะอาการปวดหัวกับมึนเบลอ แถมสมองยังประมวลผลได้ช้ากว่าปกติอีกต่างหาก ให้ตายสิ ปวดหัวจริง!

“ช่างเถอะค่ะ คุณยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ แล้วรถฉัน…”

“ฉันเป็นคนขับรถเธอมาเอง”

เอริควางกระป๋องเบียร์บนโต๊ะแล้วเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง สายตาคมมองใบหน้าฉันพลางยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์อีกครั้ง ส่วนฉันก็ขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยิน เพราะตอนไปที่ผับของออสตินฉันกับเอริคขับรถยนต์ของตัวเองไปคนละคันน่ะสิ

“แล้วรถคุณล่ะคะ?“

“อยู่ที่ผับไอ้ออส บอกมันไว้แล้วว่าจะกลับไปเอาพรุ่งนี้”

ฉันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ หลับตาลงนอนอีกครั้งเพราะรู้สึกมึนหัวไม่หาย แต่ก็ต้องเบิกตาด้วยความตกใจทันทีที่นึกบางอย่างขึ้นมาได้… ฉันยังทำงานให้ออสตินไม่เสร็จเลยหนิ แล้วแบบนี้งานเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ อีกอย่าง… เงินฉันจะโดนหักเหลือเท่าไหร่กันล่ะเนี่ย! อุตส่าห์ใจกล้าหน้าด้านทนใส่ชุดกระต่ายยั่วสวาทไปเต้นบนฟลอท่ามกลางฝูงชนเลยนะ! ให้ตายเถอะ ถึงจะเมาแต่ถ้าเป็นเรื่องเงินฉันก็พอจะมีสติจำได้อยู่บ้างแหละ เหอะ!

“คุณพาฉันออกมาแบบนี้ได้ยังไงคะ ฉันยังทำงานให้ออสตินจะเสร็จ…”

“เมาขนาดนั้นเธอยังจะทำอีกรึไง”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกอย่างหัวเสีย ฉันเงยหน้ามองเอริค พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ เอนตัวพิงหัวเตียงแล้วหลับตาลงพริ้มทั้งๆ ที่คิ้วขมวดกันมุ่นจากอาการมึนเบลอที่เพิ่มมากขึ้นกว่าตอนแรก

“ถึงจะยังไงคุณก็ไม่น่าพาฉันออกมา ออสตินจะหักเงินฉันมั้ยเนี่ย”

“คงเหลือแค่ครึ่งเดียว”

“ให้ตายสิ…”

คำพูดของเอริคทำให้ฉันขมวดคิ้วมุ่น กัดริมฝีปากล่างและพึมพำกับตัวเองเสียงเบาอุบอิบอย่างเซ็งๆ อย่างงี้ก็หมายความว่าฉันใส่ไอ้ชุดกระต่ายหางปุกปุยดุ๊กดิ๊กงี่เง่า ลงทุนสลัดความอายทิ้งเพื่อไปเต้นบนฟลอที่ผู้คนต่างส่งเสียงเฮอย่างสนุกสนานโดยที่ได้เงินเพียงครึ่งเดียวหรืออาจจะไม่ได้เลยงั้นเรอะ?!

“หึ แต่เธอได้ลวนลามฉันแล้วก็ถือว่าคุ้มไม่ใช่รึไง โมนา”

ฉันชะงักนิ่ง ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ แล้วหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง เอริคยิ้มมุมปากและดูเหมือนเขากำลังอารมณ์ดีหน่อยๆ ที่เห็นว่าฉันเอาแต่นั่งเม้มปากอย่างประหม่า ก่อนฉันจะกระแอมเรียกสติแล้วเถียงกลับไปแบบไม่เต็มเสียงนัก แล้วฉันเป็นอะไรทำไมต้องตัวเลิ่กลั่กกับเอริคด้วยเล่า!

“ลวนลามอะไรคะ… ฉันเปล่า”

“ลูบขนาดนั้นไม่เรียกลวนลามแล้วเรียกอะไร”

เอริคเลิกคิ้วถามอย่างกวนประสาท ฉันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความขุ่นเคืองแถมยังรู้สึกใบหน้าร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อสมองเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนที่ฉันอยู่บนฟลอด้วยชุดกระต่ายยั่วสวาทได้ทำอะไรกับเอริคบไว้บ้าง ให้ตายสิ เพราะเหล้าหลายช็อตนั่นแท้ๆ เลย ฉันถึงได้บ้าบิ่นไปทำท่าทางเย้ายวนใส่เขาแบบนั้นนั่น!

“ทำ… ทำงานไงคะ ฉันก็แค่ทำงาน…”

“หึ แน่ใจเหรอโมนา”

ร่างสูงยกยิ้มมุมปากแล้วเดินมานั่งลงบนขอบเตียงนอนใกล้ๆ ฉันที่กำลังมึนเบลอชะงัก ก่อนจะรีบขยับตัวออกห่างจากเขาเล็กน้อย เมื่อสบกับสายตาคมวาววับจ้องมองมาไม่ห่าง

“แน่ใจสิคะ แล้วคุณก็ไม่ต้องขยับมาใกล้ฉันด้วย”

ฉันรีบพูดจนลิ้นแทบพันกัน เอริคยักไหล่แล้วยกกระป๋องเบียร์ที่เขาวางไว้มาดื่มอย่างอารมณ์ดี ฉันอยากจะหายตัวไปพร้อมกับไอ้ชุดกระต่ายบ้าๆ ที่อยู่บนตัวชะมัด ไหนๆ ก็ใส่ชุดกระต่ายแล้ว ขุดหลุมกลับห้องตัวเองเลยได้ไหม!

“กลัวจะเผลอลวนลามฉันอีกรึไง”

“นี่ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่ได้ลวมลาม แค่ทำงานค่ะ… ทำงานน่ะเข้าใจมั้ย”

ถึงจะพูดเหมือนไม่ได้คิดอะไรตามที่เอริคบอกก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าเผลอไปลูบไล้เนื้อตัวเขาอีกหรือเปล่า ก็คนมันเมาๆ มึนๆ จากเหล้าหลายช็อตที่กระดกเข้าปากอย่างขาดสติ ใครมันจะไปรู้ตัวเต็มร้อยได้ล่ะ อีกอย่าง… ใครใช้ให้เอริคมีหุ่นล่ำๆ แบบนั้นกันยะ คนอะไรกล้ามแน่นชะมัด โอ๊ย! หยุดคิดฟุ้งซ่านสักทียัยโมนา!

”หึ แต่ถ้าเธออยากจะลูบอีกครั้งฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ”

เอริควางกระป๋องเบียร์ไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วขยับเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันสะดุ้งแล้วรีบขยับตัวหนีเขาอีกครั้ง แถมสายตาคมเจ้าเล่ห์ที่จ้องร่างงกายฉันที่ยังคงสวมชุดกระต่ายยั่วสวาทก็ทำให้ฉันรู้สึกอายขึ้นมาทันที แต่สักพักฉันก็สูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่และทำใจกล้าเงยมองสบกับสายตาคมอย่างไม่ยอมแพ้

“ถึงจะลูบเนื้อตัวคุณกี่ครั้งฉันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกค่ะ ถอยไปได้แล้ว คุณเอริค”

“งั้นถ้าไม่จริงแล้วจะหนีทำไม?”

ร่างสูงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยคล้ายกำลังขบขันกับท่าทางเลิ่กลั่กเหมือนกระต่ายตื่นตูมเจอราชสีห์กำลังขย้ำ และมันช่างสวนทางกับคำพูดของฉันเมื่อกี้จริงๆ เหอะ สงสัยฉันจะเมาจริงๆ ถึงมาเปรียบเทียบกับอะไรแบบนี้ทั้งๆ ที่ยังใส่ชุดกระต่ายยั่วสวาทบ้าบอนี่อยู่ ให้ตายเถอะ!

“ฉันว่าฉันกลับห้องตัวเองดีกว่า”

ฉันรีบสะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อเจ้อของตัวเองแล้วรีบบอกเอริค จากนั้นก็ขยับลุกจากเตียงด้วยความรวดเร็ว แต่ดันลืมไปว่าตัวเองสติไม่คงทีเท่าไหร่นักเพราะเมาแถมยังปวดหัวตุบๆ ไม่หาย และการลุกเร็วๆ แบบนั้นจึงทำให้ฉันเซหน้ามืดโลกหมุนไปตามระเบียบ!

หมับ!

“เมาแล้วยังทำปากเก่งอีก”

ฉันที่หลับตาเตรียมตัวหัวทิ่มพื้นแล้วรับชะตากรรมอันน่าอนาถค่อยๆ ลืมดวงตาที่หรี่ปรือขึ้นแล้วกะพริบตาปริบๆ มองเจ้าของท่อนแขนแข็งแรงที่โอบกอดเอวบางไว้จากทางด้านหลังอย่างมึนเบลอ และการที่พยายามฝืนความเมามันทำให้ฉันหนักหัวมากกว่าเดิมซะอีก ทุกครั้งฉันเป็นคนเมาที่ยังพอมีสติแต่ก็ไม่อาจจะไม่ดีเท่าไหร่ พูดคุยพอรู้เรื่องแต่มันก็ไม่นานอยู่ดี เพราะสุดท้ายฉันก็มีสภาพที่คุยแบบเบลอๆ แถมยังจำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง บ้าชะมัดเลย… ตอนนี้ฉันปวดหัวตุบๆ ชะมัด

“ฉัน… จะกลับห้อง”

พรึ่บ! ตุบ!

แต่จู่ๆ เสียงหวานแหบพร่ายังพูดไม่ทันจบ ทั้งฉันและเอริคก็ล้มลงไปนอนบนเตียงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะการที่ฉันขยับตัวไปมองเอริคโดยที่เขาโอบกอดเอวบางไว้แน่น ทำให้การทรงตัวของฉันโงนเงนไม่มั่นคง และเอริคที่ไม่รู้ว่าฉันจะหันไปมองเสียหลักตามลงมาคร่อมทับร่างกายฉันไว้ ยังดีหน่อยที่เขาเอามือหนายันกับที่นอนเพื่อไม่ให้ร่างสูงใหญ่ทาบทับลงมาบนตัวฉันมากนัก ฉันกะพริบตา มองสบกับสายตาคมดุดันด้วยความมึนเบลอไม่หาย ให้ตายสิ… ทำไมตอนนี้ฉันถึงไม่อาจละสายตาไปดวงตาคมคู่สวยของเอริคได้เลย…

Options

not work with dark mode
Reset