Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป 26

ตอนที่ 26

ดินแดนที่เงียบสงบไม่มีแม้แต่สายลมพัดผ่าน อุณหภูมิยามค่ำคืนที่ต่ำจนติดลบของเวสต์แลนด์ดูจะเป็นอุปสรรคมหาโหดสำหรับมนุษย์ทั่วไป แม้ระยะทางในการเดินเท้าควรจะใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาที แต่ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้ไลฟ์ต้องใช้เวลาไปเกือบๆ หนึ่งชั่วโมงในการเดินเท้าผ่านดินแดนรกร้างแห่งนี้ เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่ป้อมสังเกตการณ์ ตามด้วยระฆังสัญญาณเตือนภัยปลุกเหล่านักรบเข้าประจำตำแหน่งของตน พร้อมธนูและลูกศรในมือ ทว่าในสถานการณ์อันตึงเครียด ผู้พันฟราวซ์กลับสั่งลดอาวุธ พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของไลฟ์ที่สุดชายขอบของเวสต์แลนด์ เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนแน่นิ่งกับพื้นทันทีที่เข้าสู่อาณาเขตของเมืองแอวิน

“นั่นมันคนไม่ใช่รึไง ไปเร็ว รีบไปพาตัวเขาเข้ามา”

สิ้นคำสั่ง บรรดาทหารชั้นผู้น้อยต่างแสดงอาการหวาดวิตกและลังเล “แต่…ผู้พันครับ…นั่นน่ะ”

“อะไร”

“อาจจะเป็นมอนสเตอร์ก็ได้นะครับ” ผู้พันฟราวซ์หันไปคว้าคบเพลิงแล้วรีบลงจากกำแพงด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ ท่ามกลางเหล่าทหารใต้บังคับบัญชา ที่พากันวิ่งตามผู้พันออกไปที่นอกกำแพงด้วยอาการลนลาน แสงจากคบไฟต้องร่างของเด็กหนุ่มที่นอนนิ่งหมดสติอยู่กับพื้น ผู้พันฟราวซ์ที่รู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใครก็เร่งฝีเท้าพลางสั่งการให้ทหารพาตัวเขากลับเข้าไปในเมืองทันที

เสียงกระซิบกระซาบที่แม้จะฟังไม่ได้ศัพท์สำหรับคนทั่วไป แต่กลับชัดเจนจนจับใจความได้สำหรับคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล ข้อถกเถียงที่ว่าเขาเป็นอสูรร้ายหรือไม่ ปลุกให้ไลฟ์ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวสุดขีด เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ สูดหายใจยาวๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งด้วยอย่างช้าๆ เหล่าทหาร นักวิจัยและผู้คนมุงดูชายผู้เดินเท้ากลับออกมาจากทุ่งร้างอยู่ห่างๆ ก็แตกฮือ

“ไงไอ้หนุ่ม ดีขึ้นรึยัง”

เด็กหนุ่มหันไปหยิบเหยือกน้ำใกล้มือขึ้นมาซดอึกใหญ่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง “อย่าเสียงดังได้มั้ยหัวหน้า…ปวดหัวปวดตาสุดๆ เลยตอนนี้น่ะ”

“เออ พักผ่อนไปแล้วกันวันนี้”

“อ่า ขอบคุณมากๆ”

“แล้วทำไมนายถึงไปโผล่ตรงนั้นได้วะ”

“ฉันโดนมอนสเตอร์มันลากเข้าไปน่ะ แต่ว่าสลัดหลุดออกมาได้ก่อนจะเข้าเขตรอตเท่นเอิร์ธ แล้วก็เดินเท้ามาเรื่อยๆ นั่นแหละ”

“เออ ไม่เป็นไรก็ดีแล้วนอนพักซะ ถ้าหายดีแล้วก็เล่าให้ฟังด้วยแล้วกันว่าไอ้เวสต์แลนด์นั่นมันเป็นยังไง”

ไลฟ์ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าเอาไว้ “ก็เห็นอยู่ตรงหน้าทุกวันไม่ใช่รึไงเล่า”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่ามันไม่มีอะไรเลยไง นอกจากสภาพอากาศที่โคตรจะโหดร้ายเท่านั้น กลางวันร้อนจัด กลางคืนก็หนาวซะจนร้าวไปถึงกระดูก แถมยังไม่มีลมพัดสักแอะ”

ยังไม่ทันที่ฟราวซ์จะสอบถามอะไรต่อ แขกไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัว “ท่านไลฟ์!!!” ลีเลียสาวใช้ของเจ้าหญิงวิ่งเข้ามาในเรือนพยาบาลด้วยอาการเร่งร้อน

“เฮ้ ลีเลียมีอะไรรึเปล่า” ฟราวซ์ทักทายหญิงสาวอย่างเป็นมิตร ลีเลียที่ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นอยู่ในเรือนพยาบาลแห่งนี้นอกจากคนป่วยก็หน้าแดง แสดงอาการเขินอายขึ้นมาเอาดื้อๆ “สวัสดีค่ะท่านฟราวซ์ คือว่าฉัน”

“เอ๋อ เจ้านี่น่ะเหรอ” ลีเลียพยักหน้าตอบรับ ฟราวซ์ก็ส่งยิ้มตอบรับ พลางลุกขึ้นด้วยเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาว

“เอาเป็นว่า ฉันต้องไปแล้วล่ะ ไอ้พวกลูกน้องฉันคงกำลังทำงานกันเหลาะแหละอยู่ ต้องไปไล่จี้กันสักหน่อย พักเยอะๆ นะไอ้หนุ่ม”

หลังจากฟราวซ์ออกไปจากเรือนพยาบาลแล้วความเงียบสงบกลับมาอีกครั้ง ลีเลียค่อยๆ เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงพยาบาลโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่เพียงไม่นานความเงียบในเรือนพยาบาลก็หายไปเมื่อคนที่ต้องการพักผ่อนกลับเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

“จะนั่งอยู่อย่างงั้นไปถึงเมื่อไรกัน”

ลีเลียหน้าถอดสี เพราะไม่คิดว่าคนที่นอนเอาผ้าคลุมหน้าอยู่จะยังไม่หลับ อีกทั้งกลัวว่าจะถูกไล่ออกไปจากที่แห่งนี้ “ตะ…ตื่นอยู่หรอกเหรอคะ”

“ก็ยังไม่ได้หลับซะหน่อยนี่”

“ขออภัยด้วยค่ะ”

“ไม่ต้องขอโทษก็ได้ ไม่ได้รบกวนอะไร”

“แต่…”

“แล้วต้องการอะไร”

“คือ…ดิฉันแค่เป็นห่วงน่ะค่ะ”

“ก็ย่างที่เห็นนี่แหละ ปวดหัวนิดหน่อยแต่ก็ปลอดภัยดี ขอบคุณที่เป็นห่วง”

คำขอบคุณง่ายๆ ที่ฟังดูหมือนจะบอกปัดเรื่องวุ่นวายออกไปห่างตัวของไลฟ์ กลับทำให้อีกฝ่ายใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด “คือว่า…”

“ทำไมเหรอ”

“จะให้ดิฉัน…เอ่อ…ส่งข่าวไปที่…”

“ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างฉันก็ปลอดภัยดี แค่ตอนนี้หิวมากแค่นั้นเอง”

ลีเลียแกะห่อผ้าที่หิ้วติดมือมาด้วย “ถ้าไม่รังเกียจ เชิญทานนี่ก็ได้นะคะ”

กลิ่นหอมของซุปเนื้อร้อนๆ ที่บรรจุในหม้อดินขนาดพกพาปลุกสัมผัสทั่วร่างของเด็กหนุ่มให้ตื่นตัวเต็มที่ ทำให้คนป่วยเพราะความขี้เกียจ ดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความหิวทำให้เด็กหนุ่มลืมอาการปวดหัวไปสนิท

“อ่า พอดีเลย ขอบคุณมากๆ นะ” ไลฟ์ขยับตัวหยิบช้อนและหม้อซุปมาจัดการอย่างรวดเร็ว

“ค่อยๆ ทานก็ได้ค่ะ”

เด็กหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาทานซุป หยุดมือเงยหน้าขึ้น ฉีกขนมังเข้าากคำใหญ่แล้วส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายก่อนจะหันไปจัดการกับซุปตรงหน้าต่อ “ไม่ได้หรอก ของอร่อยแบบนี้ต้องรีบกินต้อนยังร้อนๆ อยู่”

พอซุปหมด ไลฟ์ที่เงยหน้าขึ้นมาเจอกับรอยยิ้มของลีเลีย ซึ่งเขาเห็นภาพของเมอร์เซเดสทับซ้อนกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าชั่วขณะ พลางงึมงำออกมาเบาๆ ‘รอยยิ้มนั่น คล้ายกันจนน่ากลัวเลยแฮะ’

“มีอะไรเหรอคะ”

“เอ๋อ เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก”

แม้ลีเลียจะมั่นใจว่าไลฟ์พูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร จึงได้แต่ปล่อยผ่านไป “ว่าแต่…ท่านไลฟ์ต้องการอะไรเพิ่มเติมรึเปล่าคะ”

“ตอนนี้ยังหรอก แล้วเธอล่ะ วันนี้ว่างเหรอ”

“วันนี้ว่างค่ะ”

“เหรอ งั้นช่วยอะไรหน่อยสิ ออกไปดูให้หน่อยว่าเสียงเอะอะโวยวายข้างนอกนั่น มันอะไรกัน”

“คงเป็นพวกมอนสเตอร์ที่ข้ามเขตมาน่ะค่ะ”

“แต่เสียงมันใกล้มากเลยนะ ออกไปดูให้หน่อยเถอะ ฉันขอเตรียมตัวสักครู่ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะตามออกไป”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

ไลฟ์รั้งตัวหญิงสาวเอาไว้อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ลีเลียจะออกจากเรือนพยาบาลไป “เออเดี๋ยวก่อนสิ”

“อะไรเหรอคะ”

“เย็นนี้ว่างรึเปล่า”

“ว่างค่ะ”

“เหรอ งั้น…ถ้าว่างก็ช่วยไปกับฉันหน่อยแล้วกันนะ”

“ไปไหนเหรอคะ”

“เอาเป็นว่าตอนนี้ยังคิดไม่ออก เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที”

“เอ่อ…รับทราบค่ะ”

 

ต้นเหตุของเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่นอกกำแพงเมืองนั้น จับใจความได้เพียงแค่คำว่า “สัตว์มายา” รอยยิ้มของชายปริศนาฝุดขึ้นที่ชายป่าติดกับเขตแดนของเวสต์แลนด์ เฝ้ามองฝูงมอนสเตอร์ที่บุกประชิดกำแพงเมืองอย่างสมใจ แม้จะถูกสังหารลงตัวแล้วตัวเล่า ฝูงมอนสเตอร์ก็สามารถคืนชีพขึ้นใหม่ด้วยเศษซากของตัวมันเอง ขณะที่ผู้พันฟราวซ์รับรู้ถึงตัวตนที่ซ่อนอยู่ชายป่าจึงมุ่งหน้าไปที่นั่นสุดฝีเท้า

ไลฟ์ที่ตามมาถึงจุดเกิดเหตุก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของผู้ใช้สัตว์มายาทันทีเช่นกัน ทว่าไม่สามารถปลีกตัวออกไปจากฝูงสัตว์มายาที่เข้าจู่โจมเมืองได้ ฝั่งของฟราวซ์ที่เข้าถึงตัวผู้ใช้สัตว์มายาก็ต้องเผชิญกับคาถาลวงสัมผัส ส่วนไลฟ์เองที่หันไปสั่งการให้เหล่าทหารจัดการกับสัตว์มายาแล้วก็มุ่งหน้าไปหาฟราวซ์อย่างรวดเร็ว

ภาพมายาและการลวงสัมผัสที่ผู้พันต้องเจอนั้นสร้างปัญหากับสภาพจิตใจของนักรบเจนศึกนายนี้อย่างมาก จากป่าทึบรอบตัวกลายเป็นสนามรบแห่งแรกที่เขาเข้าร่วม ภาพของพวกพ้องที่ทยอยล้มตายไปต่อหน้าโดยที่เขาเองไม่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ปรากฏให้เห็น และทุกครั้งที่เขาเหวี่ยงดาบคู่กายจู่โจมข้าศึก ก็กลายเป็นว่าเขาลงมือฟันใส่ตัวเองอีกคนหนึ่ง กระทั่งไลฟ์เข้ามาถึงตัว

ภาพของผู้พันหนุ่มเหวี่ยงดาบในมือสะเปะสะปะ เด็กหนุ่มตัดสินใจกระโดดถีบเข้าไปที่กลางหลังของฟราวซ์สุดแรง ผู้พันหนุ่มล้มกลิ้งอย่างไม่เป็นท่า ก่อนจะตั้งหลักได้แล้วหันคมดาบใส่ไลฟ์ทันที แต่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าไลฟ์ฉวยโอกาสที่ฟราวซ์ยังยืนได้ไม่เต็มเท้าเหวี่ยงหมัดซ้ายเข้าปลายคางของผู้พันหนุ่มจนล้มฟุบลงกับพื้นนอนหมดสติไปในที่สุด

ไลฟ์ยืนนิ่งสูดหายใจลึก เอ่ยปากทักทายผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงไปด้วยความเบื่อหน่าย “ภาพลวงตาเหรอ”

ชายปริศนาส่งเสียงออกมาโดยไม่เปิดเผยตัวตน “น่าประทับใจดีใช่รึเปล่าล่ะ”

“น่าประทับใจเหรอ….งี่เง่ารึไงแกน่ะ”

“แหมๆ น่าผิดหวังจังเลยแฮะ”

“ไม่รู้หรอกนะว่าแกหวังอะไร แต่ถ้าไม่รีบถอยกลับไปล่ะก็ ฉันเชือดแกแน่”

ผู้ใช้ภาพมายาถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง “เฮ้อ…ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเซดี้จะหลงเสน่ห์ผู้ชายไร้รสนิยมแบบนายซะได้”

“เซดี้เหรอ…ใครวะนั่นน่ะ”

“เอ๋…นายไม่ได้เรียกเธอว่าเซดี้หรอกเหรอ…”

“งั้นก็ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง ฉันไม่รู้จักคนชื่อนั้น”

“งั้นเอาใหม่ ฉันผิดหวังจริงๆ ที่เมอร์เซเดสหลงสเน่ห์คนหน้าตาธรรมดาแถมยังไร้รสนิยมอย่างนาย”

“แล้วยัยนั่นมาเกี่ยวอะไรด้วยวะ”

“ก็คงไม่เกี่ยว ถ้าฉันไม่รักเธอน่ะนะ งั้นเอาให้กระจ่างเลยแล้วกันนะ ฉันรักเซดี้ รักเธอมานานแล้ว รักเธอก่อนที่นายจะมาแย่งเธอไปจากฉันซะอีก”

“เหรอ แล้วยัยนั่นเคยบอกว่าชอบ เคยพูดสักคำมั้นว่ารักแกรึเปล่าล่ะ”

“ไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะพูดอะไร ฉันแค่มาทวงสิทธิ์ของฉันคืนด้วยการฆ่านายซะที่นี่ ตรงนี้”

ไลฟ์เปิดประสาทสัมผัสรับรู้ถึงจิตสังหารของผู้ใช้ภาพมายา ก่อนจะก้มลงหยิบก้อนหินขนาดเหมาะมือขึ้นมาแล้วสะบัดข้อมือขว้างไปทางขวามือของตน “ไอ้งี่เง่า”

โอ๊ย! เข้าเป้า ก้อนหินพุ่งใส่กลางอกของผู้ใช้ภาพมายา เผยตัวตนให้เห็นเป็นชายหนุ่มร่างผอมสูง ผิวสีน้ำตาล เส้นผมสลวยสีดำเงางาม ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา ดวงตาสีน้ำตาลเทาแวววาวโดดเด่น ทรุดลงกุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวด เป็นโอกาสให้ไลฟ์เข้าประชิดตัว เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าผู้ใช้คาถาลวงตา จ้องมองด้วยสายตาอันเยือกเย็น “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกคิดอะไรอยู่ แกจะหลงรักยัยนั่นมานานแค่ไหนมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยซ้ำ เพราะสิ่งสำคัญคือตอนนี้ ณ เวลานี้ ยัยนั่นเลือกที่จะรักใคร”

ผู้ใช้คาถาลวงตาขยับตัวช้าๆ เงยหน้าจ้องมองแววตาของไลฟ์ หมายจะฉวยโอกาสจู่โจม ทว่าต้องถอดใจเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันน่าสยดสยองที่ปกคลุมอยู่รอบตัวของชายผู้กระชากหัวใจของหญิงสาวที่เขาหลงรักไปครอบครอง แรงกดดันที่ส่งมาเป็นสิ่งยืนยันว่าหากไม่ล่าถอยกลับไป ชายคนนี้สามารถดับลมหายใจของตนได้ในพริบตา ผู้ใช้คาถาลวงตาค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วก้าวถอยหลังออกจากจุดนั้น

“เอาเป็นว่า ครั้งนี้ฉันมาเพื่อทักทาย แต่ถ้าเจอกันครั้งหน้า ฉันฆ่านายแน่”

ไลฟ์ที่ยืนนิ่งจ้องมองผู้บุกรุกที่ค่อยๆ ก้าวถอยหลังห่างออกไปร่วมสิบก้าว พูดจาใหญ่โตราวกับว่าครั้งนี้แค่จะทดสอบฝีมือของเขา ยิ่งกระตุ้นให้เขาแผ่จิตสังหารที่รุนแรงกว่าเดิมออกไปแทนคำตอบว่าหากยังวุ่นวายกับตนไม่เลิก ก็คงต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง ซึ่งก็ได้ผลผู้ใช้คาถามายาดูจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่เพราะก้อนหินเมื่อครู่ทำให้ไลฟ์คิดว่านั่นเป็นผลจากอาการบาดเจ็บเท่านั้น และในอึดใจต่อมา ชายแปลกหน้าก็หายตัวไปราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

เมื่อผู้บุกรุกจากไป ไลฟ์ก็รีบเข้าไปดูอาการของผู้พันฟราวซ์ที่นอนฟุบอยู่บนพื้นทันที “หัวหน้า!!!” ฟราวซ์ยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติทำให้ไลฟ์ไม่มีทางเลือกนอกจากแบกผู้พันกลับเข้าไปในเมือง

Options

not work with dark mode
Reset