Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป 25

ตอนที่ 25

การที่ต้องห้อยต่องแต่งเท้าไม่ติดพื้นอยู่แบบนี้ทำให้ความพยายามในการดึงตัวเองออกจากเขาคู่งามของสัตว์ยักษ์เต็มไปด้วยความทุลักทุเลอย่างมาก ไลฟ์กัดฟันเหวี่ยงตัวไปมาอย่าวเก้ๆกังๆก่อนที่จะใช้ขาทั้งสองเกี่ยวเข้าที่โคนเขาของมอนสเตอร์ยักษ์เมื่อได้จังหวะ จากนั้นออกแรงยันตัวเองให้ขยับถอยหลังออกไปทีละนิด เลือดที่ไหลรินออกจากปากแผลทำให้เขาของสัตว์ร้ายยิ่งลื่นขึ้นจนขาทั้งสองข้างของเด็ฏหนุ่มแทบจะหลุดจากการเกี่ยวเกยกับเขาของมอนสเตอร์อยู่หลายครั้ง “บ้าเอ๊ย…เจ็บสุดๆ ไปเลยว๊อย”

ปีกคู่ยักษ์ยังคงกระพืออย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าความเร็วจะลดลง ซึ่งก็ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้ามังกรก็บินข้ามเวสต์แลนด์เข้าสู่ดินแดนของมอนสเตอร์แล้ว ส่วนฝากฝั่งของเด็กหนุ่มเองก็จำต้องออกแรงอีกเพียงไม่กี่ครั้งก็จะสามารถหลุดออกจากพันธนาการกลางเวหานี้ได้แล้วเช่นกัน ทว่าปัญหาที่ไลฟ์ต้องเผชิญคืออากาศของดินแดนแห่งนี้ เสียงหอบและอาการหายใจถี่ดังขึ้นอย่างชัดเจนจนเกิดกลายเป็นอาการคล้ายหลอดลมตีบตัน กระทั่งเวลาผ่านไปไม่นานสมองของเด็กหนุ่มก็เริ่มขาดความสามารถในการสั่งการร่างกายให้ขยับไปตามที่เขาต้องการ “หะ…หายใจ…ไม่…ออก” ร่างกายเริ่มหนักขึ้นแล้ว สายตาที่เคยมองสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนก็เพิ่มพร่ามัว “หลุดซะทีสิวะ!!!” เด็กหนุ่มกัดฟันตะโกนออกมาสุดเสียงเพื่อเรียกกำลังที่เหลืออยู่ออกมาใช้ดิ้นรนด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีขยับขายันเข้าไปที่โคนเขาของสัตว์ร้ายแล้วออกแรงดันจนร่างกำยำหลุดออกจากพันธนาการกลางเวหาร่วงลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ!!!” เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มเรียกความสนใจของมังกรยักษ์ได้ทันที “อ๊าาาา!!!” อากาศที่เป็นพิษเรียกเลือดในร่างกายของเด็กหนุ่มให้ไหลออกมาทั้งจากทางปากและจมูก ราวกับว่าปอดของเขาได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ภาพสุดท้ายที่ไลฟ์ได้เห็นคือสายตาของมังกรที่จ้องมาที่ตนด้วยดวงตาเบิกโพลง ก่อนทุกอย่างจะมืดลงและความรู้สึกต่างๆ จะหายไปกระทั่งเขาร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง

 

เสียงจอแจของผู้คนและแสงแดดอ่อนๆ พร้อมกลิ่นอายแห่งความลี้ลับของดินแดนแห่งทะเลทรายและมหาสมุทรอันเป็นบ้านเกิด ทำให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวของเมอร์เซเดสสดชื่นขึ้นอย่างมาก แต่ความรู้สึกกังวลอย่างประหลาดก็ยังคงเกาะกุมหัวใจของเด็กสาวอย่างไม่มีสาเหตุมาพักใหญ่หลังจากที่ก้าวขึ้นรถม้า

 “สีหน้าไม่ค่อยดีเลย…หลานไม่อยากกลับบ้านหรอกเหรอ” น้ำเสียงอันสดใสและอบอุ่นของหญิงสาววัยสามสิบปลายๆ ร่างสูงสะโอดสะอง เส้นผมสีดำขลับถักเปียเอาไว้อย่างเรียบร้อยงดงาม โครงหน้าละม้ายเมอร์เซเดส ดูผิวเผินหญิงสาวคนนี้จะเป็นคนที่บอบบางขัดกับชื่อเสียงที่ถูกยกย่องให้เป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่นั่งรอแยู่บนรถม้าปลุกให้เด็กสาวตื่นจากห้วงแห่งความกังวล

“อ๊ะ! …คุณน้าริเอล คือ…หนูแค่…”

ริเอลถอนหายใจเบาๆ ขยับตัวเข้าใกล้เมอร์เซเดสมอบอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นให้กับหลานสาว “ทำหน้าให้มันสดชื่นหน่อยซี่…ได้กลับบ้านทั้งที…เอ้าไหนๆ เล่าให้น้าฟังหน่อยอยู่ที่โน่นเป็นยังไงบ้าง”

หลานสาวโอบเอวน้าสาวเอาไว้แน่น “คิดถึงน้าริเอลสุดๆ เลยล่ะ”

 ริเอลยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ “เด็กน้อย…กลับมาอยู่บ้านแค่ 3 ปีเองไม่ใช่เหรอ ทำตัวให้มันสดชื่นเอาไว้สิ มีอะไรให้น้าช่วยก็บอกได้เลย”

“น้าริเอลรู้ด้วยเหรอคะว่าหนูจะกลับมา”

“รู้สิ น้าเองแหละที่ยื่นข้อเสนอก่อตั้งสถาบันเวทมนตร์ให้กับทางนั้น”

“ไม่ใช่ราชินีฟรีเซียหรอกเหรอ”

“ท่านฟรีเซียส่งสารมาน่ะ ว่าหลานปลอดภัย มีหนุ่มหล่อคอยดูแลอยู่ด้วย แล้วก็ไม่ได้อยู่ในฐานะเชลยอีกต่างหาก น้าเลยยื่นข้อเสนอไปว่าถ้าส่งตัวหลานกลับบ้านไม่ได้ก็ตั้งสถาบันเวทมนตร์ที่โน่นดีมั้ย แต่มีเงื่อนไขว่าต้องให้หลานเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารนะ แล้วทางเราจะสนับสนุนในส่วนของการฝึกสอนและตำราเวทมนตร์”

ใบหน้าของเด็กสาวแดงระเรื่อหลังจากได้ยินน้าสาวเอ่ยถึงชายหนุ่มที่คอยดูแลยามที่อยู่ต่างแดน “เขาไม่หล่อค่ะ แล้วก็กลับกันเลย หนูต่างหากที่คอยดูแลเขาน่ะ”

ลอร่ากับลอเรนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามส่ายหน้าพร้อมกับด้วยความหน่ายในความอ่อนต่อโลกของเด็กสาว ก่อนที่ลอเรนจะขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “คุณหนูคะ…แบบนี้โดนหลอกถามความลับอะไรก็บอกเขาไปง่ายๆ ซะทุกอย่างเลยสิคะเนี่ย”

เมอร์เซเดสหน้าแดงด้วยความเขินอายสุดขีด แสดงอาการเลิ่กลั่กออกมาทันที ตามด้วยเสียงหัวเราะของน้าสาว “วัยรุ่นนี่ดีจังเลยแฮะ น้าชักเริ่มอิจฉาซะแล้วสิ”

เมอร์เซเดสซุกหน้าเข้ากับอกนุ่มของน้าสาวกอดร่างระหงนั้นเอาไว้แน่นด้วยความเขินอาย ริเอลเองก็กอดหลานสาวเอาไว้อย่างอ่อนโยน “เอาเถอะน่า ได้รู้ว่าหลานสาวปลอดภัยแล้วก็มีความสุขดี น้าเองก็โล่งใจมากแล้วล่ะ” น้าสาวลูบศีรษะหลานรักอย่างอ่อนโยน “กลับบ้านไปหาพ่อกับแม่หลานก่อนนะ พักผ่อนสักสองสามวันแล้วค่อยเริ่มคัดลอกตำราก็แล้วกันเนาะ น้าสั่งให้พวกจอมเวทที่วิทยาลัยเริ่มคัดลอกบางส่วนเอาไว้บ้างแล้ว อ๋อใช่ๆ อย่าลืมแนะนำหนุ่มไม่หล่อคนนั้นให้น้ารู้จักด้วยนะ”

 

อากาศเย็นสบายใต้ร่มไม้ใหญ่ทำให้รู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ร่างกายที่ปรับสภาพเข้ากับอากาศเป็นพิษของรอตเท่น เอิร์ธแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เด็กหนุ่มก็สำลักเลือดคำโตออกมาพร้อมกับเปิดตาขึ้นช้าๆ

 “อ๊ะ ฟื้นแล้วรึขอรับ” มังกรยักษ์เอ่ยถามมนุษย์แปลกหน้าด้วยความเป็นห่วง ไลฟ์ที่แม้จะตกใจกับการที่ต้องตื่นมาพบกับมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่ใครต่อใครก็บอกว่ามันคือสัตว์ร้ายในเรื่องเล่ามานั่งจ้องตนอยู่แบบนี้ ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มเองก็แปลกใจเช่นกันที่มังกรสามารถสื่อสารกับตนด้วยภาษามนุษย์ได้ ทว่าความสับสนระคนตกใจทำให้เขานอนนิ่ง จ้องตาเจ้ามังกรไม่พูดไม่จา “อ๊ะ จริงด้วย ตกใจสินะขอรับ เอางี้ดีกว่า”

แสงสว่างวาบสาดเข้าตาของไลฟ์จนสมองสั่งให้ร่างกายต้องปิดตาทันที เด็กหนุ่มเปิดตาอีกครั้ง มังกรยักษ์หายไปปรากฏเพียงชายหนุ่มสวมแว่นตา เส้นผมสีขาวยาวสลวยมัดรวบเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ นัยน์ตาสีทองโดดเด่น ร่างสูงปราดเปรียวไม่ต่างจากชาวสโจรกาด อาจจะสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ผอมบางกว่าพอสมควร ทว่าส่วนที่โดดเด่นจนสังเกตได้ชัดเจนคือหางยาวและเขาคู่งามขนาดสมส่วนที่ประดับอยู่บนหน้าผากของเขาที่ทำให้สามารถบ่งบอกได้ว่าชายคนนี้ ไม่ใช่มนุษย์

“ขออภัยที่ทำให้ตกใจนะขอรับ ถ้าเป็นร่างนี้ ท่านคงสบายใจขึ้นแล้วใช่มั้ยขอรับ กระผมชื่อโซลาร์ขอรับ”

ไลฟ์ยันตัวลุกขึ้นนั่ง “ที่นี่…ที่ไหน”

“ที่นี่คือป่าศักดิ์สิทธิ์เอลีซไซส์ (Elyzize) ขอรับ”

“ป่า…เอลีซไซส์เหรอ”

“เอ่อ….ใช่ๆ สำหรับมนุษย์อาจจะเรียกว่ารอตเท่น เอิร์ธน่ะขอรับ”

“แล้วทำไมรอตเท่น เอิร์ธถึงร่มรื่นได้ขนาดนี้ ไม่ใช่ว่ามันเขตแห้งแล้งของมอนสเตอร์ แล้วก็…อากาศที่นี่เป็นพิษไม่ใช่เหรอ”

โซลาร์ส่ายหน้าช้าๆ “ตรงกันข้ามขอรับ อากาศที่นี่บริสุทธิ์มากจนมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้น่ะขอรับ”

“บริสุทธิ์เกินไป…ไม่ใช่เป็นพิษ…”

มังกรหนุ่มตกใจสุดขีดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังสนทนากับมนุษย์อยู่ แถมยังเป็นมนุษย์ที่ตัวเปล่า ไม่ได้สวมอุปกรณ์พิเศษแบบพวกที่เข้ามาก่อความวุ่นวายเมื่อหลายเดือนก่อนจนเผลอพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดออกมาด้วยความลนลาน “ละ…ละ…แล้ว…ทำไมท่านมนุษย์ถึงยังมีชีวิตอยู่ล่ะขอรับ ทั้งที่…ทั้งที่เมื่อครู่ก็ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้นด้วย….นะ…นี่มัน…เป็นไปได้ยังไงขอร๊าบบบบ!!!”

ไลฟ์ล้มตัวนอนลงนิ่งๆ อีกครั้ง “อย่าโวยวายได้มั้ย แกยิ่งโวยวายเสียงดังฉันยิ่งปวดหัวนะเว้ย ร้าวไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย” ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “เล่าเรื่องของที่นี่ให้ฟังหน่อยสิ แล้วเดี๋ยวจะเล่าเรื่องของฉันให้ฟัง”

มังกรหนุ่มสงบใจได้แล้วแม้จะยังมีอาการงุนงงรนรานอยู่บ้าง แต่ก็ยอมเล่าทุกอย่างให้เด็กหนุ่มฟัง

“เอลีซไซส์เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าเทพเจ้าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอาณาเขตของพวกมอนสเตอร์ขอรับ เพื่อที่จะได้แยกเหล่ามอนสเตอร์ออกจากมนุษย์และเหล่าภูตขอรับ ส่วนมังกรอย่างพวกกระผมถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่และอายุยืนที่สุดหากไม่นับเหล่าเทพเจ้านะขอรับ”

“อายุยืนที่สุดเหรอ”

“ขอรับ…ตัวกระผมเองก็อายุเจ็ดร้อยปีแล้วล่ะขอรับ”

“เจ็ดร้อยเหรอ พอๆ กับลุงเฟอัสก์เลยสินะ”

“หืม ท่านมนุษย์รู้จักกับท่านเฟอัสก์ด้วยหรือขอรับ”

“อ่า…เคยเจอตัวอยู่”

“แบบนี้นี่เอง แต่ว่านะขอรับ ท่านเฟอัสก์น่ะ อายุสามพันสี่ร้อยปีแล้วล่ะขอรับ เรียกท่านว่าลุงแบบนั้น กระผมฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ น่ะขอรับ”

ไลฟ์ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ “อะไรนะ”

“อะไรหรือขอรับ”

“ไอ้ลุงนั่นอายุเท่าไรนะ”

“สามพันสี่ร้อยปีขอรับ ทำไมหรือขอรับ” ไลฟ์ส่ายหน้าเบาๆ “แก่เหมือนกันแฮะ แล้วนายบินไปจับพวกมอนสเตอร์กลับมาทำไมเหรอ”

มังกรหนุ่มถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “ก็หน้าที่ของมังกรคือพิทักษ์ป่าแห่งนี้ขอรับ หน้าที่นี้รวมถึงการป้องกันไม่ให้มนุษย์เข้ามาทำลายที่นี่ และไม่ให้มอนสเตอร์หลุดออกไปยังแดนของมนุษย์เช่นกันขอรับ”

“ลำบากแย่เลยสินะ”

“ก็ลำบากเฉพาะตอนที่มนุษย์ยิงผมด้วยลูกศรใหญ่ๆ นั่นแหละขอรับ ใจร้ายกันจัง”

ไลฟ์เอื้อมมือไปตบไหล่มังกรหนุ่มเบาๆ “มนุษย์น่ะ เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีแต่ความหวาดกลัว กลัวสิ่งที่ตัวเองไม่มี กลัวที่ตัวเองไม่รู้ และกลัวสิ่งที่ไม่เคย พอกลัวแล้วสิ่งที่ทำได้ก็แค่ปฏิเสธ ไอ้การที่พวกนั้นยิงใส่นายนั่นก็เป็นเพราะว่าความกลัว”

มังกรหนุ่มมองหน้าไลฟ์ “อย่างนั้นหรือขอรับ กระผมเข้าใจแล้วขอรับ ว่าแต่ทำไม ท่านมนุษย์ถึงยังมีชีวิตอยู่ล่ะขอรับ”

“ฉันได้รับพรวิเศษมาน่ะ ความเป็นอมตะ”

“แล้วถ้าถูกเผาด้วยเพลิงมังกรล่ะขอรับ”

“ก็อาจจะไหม้จนเหลือแต่เศษเนื้อเกรียมๆ หรือแหลกเป็นผงขี้เถ้า แต่ก็ไม่ตายหรอก ร่างจะงอกมาใหม่อยู่ดี”

“น่าสนใจดีเหมือนกันนะขอรับ”

“เฮ้ยๆๆ หยุดเลยนะแก ไม่ตายแต่ก็เจ็บนะเฮ้ย”

“อ่าาาา ขออภัยขอรับ”

การสนทนาของทั้งสองถูกขัดจังหวะด้วยมังกรตัวเล็กกว่าโซลาร์เกือบเท่าตัว มังกรตัวนั้นบินร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล แต่เมื่อเห็นไลฟ์เข้า พฤติกรรมประหลาดของเจ้ามังกรน้อยดูจะสร้างความเหนื่อยหน่ายให้กับไลฟ์อย่างมาก เมื่อมังกรตัวโตพยายามที่จะแอบอยู่ข้างหลังของโซลาร์ในร่างมนุษย์ราวกับว่าตัวเองนั้นเป็นมังกรตัวน้อยหลอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่

“ไม่เอาสิลูนาร์ อย่าเสียมารยาทกับแขกสิขอรับ”

มังกรลูนาร์ได้ยินที่โซลาร์พูดก็เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์เด็กหญิงวัยไม่น่าจะเกินสิบขวบ มีเขา และที่ปลายหางผูกริบบิ้นเอาไว้ เส้นผมสีขาวสลวย นัยน์ตาสีทองรวมถึงเขาคู่งามบนหน้าผาก ซึ่งสีตาและเส้นผมดูจะเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์นี้เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์

“พี่ชาย มนุษย์คนนี้เป็นแขกเหรอ”

โซลาร์พยายามจะแนะนำให้น้องสาวได้รู้จักกับแขกของเขา ทว่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็ดันลืมถามชื่อของเด็กหนุ่มเสียอย่างนั้น

“เอ่อ ท่านมนุษย์ผู้นี้…เอ่อ…ลืมถามชื่อล่ะขอรับ”

“ไลฟ์ ฉันชื่อไลฟ์”

“ท่านไลฟ์ขอรับ เด็กน้อยนี่คือลูนาร์ น้องสาวของกระผมขอรับ”

มังกรน้อยลูนาร์ที่แอบอยู่ด้านหลังของพี่ชายก้าวออกมาทักทายกับแขกอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“สวัสดีนะมนุษย์ นี่ๆ ร่างนี้น่ะ เหมือนมนุษย์สุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่าาาาา”

ไลฟ์มองที่เขาและหางผูกริบบิ้นของมังกรน้อยแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “เด็กหนอเด็ก”

มังกรน้อยลูนาร์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่เด็กนะ ลูนาร์น่ะ ลูนาร์อายุสองร้อยปีแล้วนะ”

“ดูยังไงก็เด็กชัดๆ”

มังกรน้อยไม่สบอารมณ์อย่างมากที่มนุษย์คนนี้ยืนกรานว่าเธอเองเป็นเด็ก อยากจะระบายอารมณ์กับชายคนนี้สักตุ๊บสองตุ๊บ เพียงแต่บรรยากาศรอบๆ ตัวของมนุษย์ผู้นี้มันช่างชวนให้รู้สึกเป็นอันตรายอย่างน่าประหลาด นางจึงได้แต่ยืนกอดอกด้วยความหงุดหงิด

“มังกรน่ะ ร่างมนุษย์จะเติบโตขึ้นทุกๆ ยี่สิบห้าปีแค่เพียงสองร้อยปีแรกน่ะขอรับ หากเทียบกับมนุษย์แล้ว ร่างจำแลงนี้ก็คงประมาณแปดขวบเท่านั้นขอรับ”

ไลฟ์เองที่ได้ยินก็ขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ “แล้วมันเด็กละมั้ยวะนั่นน่ะ”

“แต่อายุไม่เด็กแล้วนะขอรับ”

“พฤติกรรมก็ยังเด็กอยู่ดีนั่นแหละว้า ว่าแต่ฉันจะกลับไปที่แอวินได้ยังไงล่ะเนี่ย”

“เรื่องนั้นไม่น่าจะใช่ปัญหานะขอรับ กระผมจะบินไปส่งท่านเอง”

“อ่า งั้นก็ไม่ต้องเข้าใกล้เขตแอวินมากก็แล้วกัน”

โซลาร์มองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย ไลฟ์ที่ดูจะรับรู้ถึงความข้องใจของมังการหนุ่มก็รีบอธิบายทันที

“เข้าใกล้มากก็โดนยิงไม่ใช่รึไง ถึงนายจะไม่เจ็บแต่พวกนั้นก็อาจจะยิงมาโดนฉันก็ได้น่ะ”

มังกรหนุ่มหยักหน้าเป็นสัญญาณเข้าใจในสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมา “หืม…อย่างนั้นเองหรอกหรือขอรับ”

แม้ไลฟ์จะพูดออกมาตรงๆ ว่าเขาเองไม่อยากจะเจ็บตัว แต่ดูเหมือนโซลาร์ที่ไม่เคยได้พบเจอมนุษย์เลยหลายร้อยปีจะตีความคำพูดของเด็กหนุ่มออกไปอีกทางหนึ่ง และด้วยความเข้าใจผิดนี้ เขาเองก็ต้องการจะตอบแทนความอ่อนโยนของมนุษย์ผู้นี้ด้วยอาหารสักมื้อ

“เอางี้มั้ยขอรับ นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว อย่างน้อยก็ค้างคืนที่นี่สักคืนไม่ดีกว่าหรือขอรับ ส่วนอาหารก็ไม่ต้องห่วงนะขอรับมอนสเตอร์หลายๆ สายพันธุ์มนุษย์สามารถทานเนื้อของมันได้ขอรับ”

ไลฟ์ที่ได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “อะไรนะ!!”

“กระผมบอกว่า มนุษย์สามารถทานเนื้อของมอนสเตอร์ที่นี่ได้ขอรับ”

ได้ยินว่าเนื้อมอนสเตอร์สามารถกินได้แบบนี้ ไลฟ์เองก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาทันที “เอาเป็นว่าแค่อาหารก็พอ กลับตอนกลางคืนก็ดีเหมือนกัน”

“เช่นนั้นก็รออยู่ตรงนี้สักครู่นะขอรับ เดี๋ยวกระผมกลับมา”

พูดจบโซลาร์ก็แปลงร่างกลับเป็นมังกรแล้วบินจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนลูนาร์ก็ฉวยโอกาสตอนที่ไลฟ์จำต้องยกมือขึ้นมาป้องฝุ่นที่ฟุ้งกระจายจากแรงกระพือปีกของพี่ชาย คว้าหินขึ้นมาก้อนหนึ่งขว้างใส่เจ้ามนุษย์ที่บังอาจดูแคลนมังการอย่างนาง เมื่อฝุ่นจางหายปรากฏว่าไลฟ์คว้าก้อนหินขนาดเหมาะมือที่พุ่งฝ่าม่านฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

“เฮ้ยๆ เธอนี่นะ รู้รึเปล่าขว้างหินใส่กันแบบนี้มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่ทำน่ะ”

ลูนาร์อ้าปากจะเถียง แต่ไลฟ์ก็ขัดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ทำตัวให้มันสมกับอายุหน่อยสิเฮ้ย แล้วก็นะ จะไปไหนก็ไปไป๊”

ก่อนที่การถกเถียงจะยืดยาวไปกว่านี้ ไลฟ์สัมผัสได้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งตัวคว้าเอวมังกรน้อยแล้วกระโจนออกจากจุดที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว

ตูม!!!! ลูกไฟขนาดมหึมาพุ่งกระแทกพื้นดินตรงจุดที่ไลฟ์และลูนาร์ยืนเถียงกันอยู่ ความร้อนมหาศาลจากลูกไฟเผาไหม้บริเวณโดยรอบเป็นจุณ พื้นที่ซึ่งลูกไฟตกใส่ก็กลายเป็นหลุมลึกและกว้าง เมื่อเด็กหนุ่มเงยขึ้นไปมองเจ้าของเงาที่ทอดผ่านตนก็พบกับภาพของมังกรตัวยักษ์ที่มขนาดใหญ่ไซส์เดียวกับโซลาร์ปรากฏอยู่บนฟ้า เกล็ดสีดำสนิทที่ต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นช่างงดงามอย่างน่าประหลาด

มังกรน้อยอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ท่านแม่เฒ่า!!!”

มังกรดำเตรียมพ่นไฟโจมตีอีกครั้ง ทว่าลูนาร์ร้องปรามเอาไว้ได้ทัน “ท่านแม่เฒ่าใจเย็นๆ ก่อนค่ะ มนุษย์คนนี้เป็นแขกของพี่โซลาร์”

มังกรดำได้ยินคำบอกเล่าของลูนาร์แล้วก็ร่อนลงพื้นอย่านุ่มนวล ไลฟ์ที่หิ้วลูนาร์เหน็บนางเอาไว้ที่เอวก็ค่อยๆ ปล่อยตัวให้มังกรในร่างมนุษย์เด็กน้อยเป็นอิสระ

“ลูนาร์เรื่องมันเป็นมายังไงเล่าให้ข้าฟังได้มั้ย”

มังกรดำสังเกตเห็นอาการตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวของมังกรน้อยก็ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง

“เล่ามาเถอะเด็กน้อย ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก”

ไลฟ์ที่เห็นว่ามังกรน้อยไม่รู้เรื่องทั้งหมดจึงขัดขึ้น

“เอ่อ…ขอโทษท่านผู้เฒ่า เด็กคนนี้ไม่รู้อะไรมากหรอก เพราะตอนเจอกันฉันก็อยู่ตรงนี้มานานแล้ว”

มังกรดำหันมาจ้องที่ผู้มาเยือนทันทีที่ได้ยินเสียง “เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”

ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความเขินเล็กน้อย “คือ…เอ่อ…ฉันติดมากับเขาของมอนสเตอร์ตัวใหญ่ๆ ขนสีน้ำตาลเทาตอนที่โซลาร์จับมันกลับมาจากแอวินน่ะ แล้วเดี๋ยวโซลาร์กลับมาเขาก็จะพาฉันกลับไปส่งที่แอวินแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ติดมากับเขาของแบลนเซอร์เหรอ”

“ใช่ ฉันโดนเขาของมันเสียบทะลุไหล่ขวาน่ะ…เดี๋ยวนะ…ไอ้ตัวนั้นมีชื่อด้วยเหรอ”

“ตัวใหญ่ๆ ขนเป็นผลึกแก้วสีน้ำตาลเทา เขาโค้งมันวาวใช่รึเปล่า”

มังกรดำตัวนี้บรรยายลักษณะของมอนสเตอร์ตัวนั้นได้ชัดเจนที่สุด “อ่า…ตรงทุกอย่างเลยแฮะ”

มังกรน้อยลูนาร์ขัดขึ้นด้วยความลืมตัว “ถ้าเจ้ามีปัญญาล่ะก็นะเนื้อของมันอร่อยมากเลยล่ะ”

มังกรดำจ้องไปที่มนุษย์อีกครั้งอย่างไม่วางตา ก่อนจะกลายร่างเป็นหญิงสูงวัย ลักษณะประมาณวัยเจ็ดสิบปลายๆ

“มนุษย์…ข้าสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างในตัวของเจ้า บางอย่างที่ข้าคุ้นเคย…คล้ายยัยหนูฟาโนราห์…หรืออาจจะเจ้าเด็กบ้าเฟอัสก์…มันหมายความว่ายังไงกัน”

“เรื่องนั้นน่ะ…ฉันได้พรวิเศษมาจากทั้งสองเทพนั่นน่ะ”

“พรวิเศษ…”

“ความเป็นอมตะกับสมรรถนะร่างกายที่เหนือมนุษย์น่ะ”

“แล้วทำไมเด็กพวกนั้นถึงมอบพรวิเศษให้เจ้ากัน”

“ท่านผู้เฒ่าคงเคยได้ยินเรื่องสงครามมาบ้างใช่มั้ย”

“มนุษย์ก็ทำสงครามกันอยู่ทุกยุคทุกสมัยไม่ใช่รึไง ข้าจะไปสนใจทำไม”

“เอาเป็นว่าฉันมันคนดวงซวย หลงไปเจอเทพเจ้าที่กำลังอับจนหนทางทั้งสอง แล้วก็โดยยัดเยียดพรวิเศษมาให้น่ะ พูดง่ายๆ ก็แค่เป็นเครื่องมือสำหรับหยุดสงครามเท่านั้นแหละ”

“เครื่องมือหยุดสงครามเหรอ”

“ก็มันจบด้วยมือฉันนี่แหละ”

“ฟังดูยิ่งใหญ่จังเลยนะ”

“ไม่เลย ฉันแค่คนดวงซวยอย่างที่บอกไปนั่นแหละ แล้วที่ต้องมาอยู่ที่นี่ ตรงนี้ก็เพราะดวงซวยติดมากับเขาของไอ้แบลนอะไรนั่นเหมือนกัน”

“เจ้าหนู ฉันขอถามอะไรสักอย่างหนึ่งสิ”

ไลฟ์ยืนนิ่งไม่ตอบคำถาม เพราะคิดว่าถ้ายังไงมังกรเฒ่าก็ต้องถามอยู่ดี และคำถามที่จะถามนั่นก็ต้องสร้างความวุ่นวายให้กับเขาอีกแน่นอน

“ถ้าเจ้ามีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เจ้าจะเอาไปใช้ทำอะไร”

“นั่นไงเล่า เรื่องวุ่นวายอีกแล้ว….ฉันไม่เอาด้วยหรอก แค่นี้ก็ใช้ชีวิตลำบากพออยู่แล้ว ได้ไปจะเอาไปใช้อะไรได้อีก ฉันแค่อยู่อย่างสงบ ทำงานแก้เบื่อไปเรื่อยๆ รอวันที่เทพเจ้าจะยึดเอาพรวิเศษคืนไปก็แค่นั้นแหละ ไม่ได้อยากจะเป็นคนยิ่งใหญ่อะไรแบบนั้นหรอก”

จากคำตอบของเด็กหนุ่มแม่เฒ่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าทำไมเทพเจ้าทั้งสองถึงยัดเยียดพรวิเศษให้กับมนุษย์คนนี้

“ท่านแม่เฒ่าจะสอนเวทมนตร์ให้กับมนุษย์เหรอคะ”

“ไม่ต้องเลย…ว่าแต่คนธรรมดาไม่มีคุณสมบัติก็เรียนเวทมนตร์ได้ด้วยเหรอ”

ลูนาร์ได้ยินคำพูดของไลฟ์ก็ขัดขึ้นอีกครั้ง “คุณสมบัติเหรอ…มนุษย์นี่งี่เง่าจริง”

“หมายความว่ายังไง”

“นี่ฟังให้ดีเลยนะเจ้ามนุษย์ เวทมนตร์ที่แกรู้จักน่ะ มันคือเวทมนตร์ของภูต ระดับมันต่างกับเวทมนตร์ของมังกรมากเลยล่ะ”

“เวทมนตร์ของมังกร…มันยังไงกัน”

แม่เฒ่าเห็นว่าปล่อยให้ลูนาร์อธิบายคงไม่รู้เรื่องง่ายๆ แน่จึงอธิบายทุกอย่างด้วยตัวเอง

“สำหรับมังกรแล้วเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีระดับสูงกว่าภูต ดังนั้นระดับของเวทมนตร์ก็ของมังกรก็จะสูงกว่า พูดง่ายๆ ก็คือหากใช้เวทมนตร์เดียวกัน เวทมนตร์ของมังกรจะทรงพลังกว่า แล้วเวทมนตร์ของภูตก็จะมีข้อจำกัดคือต้องเป็นผู้มีสายเลือดของภูตเท่านั้นถึงจะเป็นผู้มีคุณสมบัติใช้เวทมนตร์”

“แล้วเคยมีมนุษย์ใช้เวทมนตร์ของมังกรรึเปล่า”

“ในอดีตเคยมีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่มันนานมากแล้ว”

“งั้นปัจจุบันก็อย่าให้มีเลย”

“เข้าใจแล้วล่ะ ถ้างั้นข้าไปก่อนก็แล้วกันนะ ระวังเด็กคนนี้ด้วยล่ะ เธอไม่เคยเจอมนุษย์อาจจะอยากกินเนื้อหวานๆ ของเจ้าขึ้นมาเมื่อไรก็ไม่รู้”

“ยัยนี่ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ไม่ต้องห่วง”

“ก็พอจะรู้อยู่หรอก แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี”

“เข้าใจแล้ว”

มังกรเฒ่ากลับร่างมังกรแล้วบินจากไป ปล่อยให้ไลฟ์อยู่กลับลูนาร์ตามลำพังอีกครั้ง เด็กหนุ่มออกเดินไปรวบรวมเศษกิ่งไม้เพื่อก่อกองไฟ และนี่เองที่ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าต้นไม้ และพืชพันธุ์ต่างๆ ของที่นี่สูงใหญ่กว่าในเขตแดนของมนุษย์อย่างมาก สิ่งนี้คงจะเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีถึงคำพูดของโซลาร์ที่ว่าอากาศที่นี่บริสุทธิ์จนมนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ ไลฟ์หอบกิ่งไม้ขนาดเหมาะมือมากองสุมเอาไว้ก่อนจะหยิบหินไฟที่เขาพกติดตัวเอาไว้ตลอดออกมาเตรียมก่อกองไฟ แต่ลูนาร์เข้ามาขัดจังหวะเอาไว้

“จะทำอะไรน่ะ”

“ก่อไฟ”

“ทำไมต้องลำบากขนาดนั้นล่ะ”

“แล้วจะทำยังไง”

ลูนาร์พ่นไฟใส่กองไม้เบาๆ กองไม้ก็ติดไฟทันที

“แค่นี้เอง ง่ายๆ ”

“อ่า..นั่นสินะ มังกรพ่นไฟได้”

“สะดวกใช่มั้ยล่ะ”

“ชักอยากจะใช้เวทมนตร์ได้ขึ้นมาแล้วสิ”

“ฉันสอนให้เอามั้ย”

“ไม่เอาล่ะ”

“ทำไมล่ะ”

“ถ้าฉันอยากเรียน ฉันว่าให้พี่ชายเธอสอนดีกว่า”

“งั้นฟังให้ดีนะ นะฉันจะสอนใช้เวทมนตร์ให้เอง ถ้านายยังไม่เข้าใจพี่โซลาร์ก็สอนนายไม่ได้หรอก”

ไลฟ์ถอนหายใจแรงเบาๆ ดูแล้วคงไม่มีทางเลือกต้องนั่งฟังลูนาร์พล่ามเรื่องยากๆ อีกนาน แล้วลูนาร์ก็เริ่มสอนวิธีการใช้เวทมนตร์

“การใช้เวทมนตร์น่ะ นายต้องตั้งจิต เค้นพลังที่มีอยู่ในตัวออกมา วาดภาพในหัวแล้วนึกให้ออกว่าต้องการจะให้พลังรูปแบบไหน เอ้าลองทำดูสิ”

ไลฟ์นั่งเพ่งสมาธิคล้ายกับตอนที่ฝึกกับเฮสต์และ ผบ.สตราซ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก่อนจะได้ถามไถ่อะไร โซลาร์ก็กลับมาพร้อมมอนสเตอร์ตัวใหญ่

“กลับมาแล้วขอรับ”

เมื่อโซลาร์สังเกตเห็นไลฟ์กำลังพยายามทำอะไรบางอย่างอยู่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่า น้องสาวจอมป่วนของเขาต้องพยายามสอนเวทมนตร์ให้กับเด็กหนุ่มโดยที่ไม่รู้ถึงเงื่อนไขบางอย่างสำหรับเวทมนตร์ของมังกรแน่ๆ

“พยายามจะใช้เวทมนตร์หรือขอรับ”

ไลฟ์เงยหน้ามองมังการหนุ่ม “อ่า”

“ไม่ได้ผลหรอกขอรับ เพราะเวทมนตร์ของมังกรน่ะมันมีเงื่อนไขอยู่นะขอรับ”

“เงื่อนไขเหรอ”

“ขอรับ เงื่อนไขก็คือมนุษย์ต้องผูกพันธะกับมังกรก่อนน่ะขอรับ”

“ยังไง”

โซลาร์ยิ้มเจื่อนๆ “เรื่องนั้นน่ะ…เอ่อออ….”

ไลฟ์ยังคงจ้องหน้ามังการหนุ่มเพื่อเค้นเอาคำตอบ ซึ่งโซลาร์รู้ดีว่าเขาคงไม่มีทางเลี่ยงจึงจำใจต้องตอบคำถามเสียงอ่อย

“ต้อง…เอ่อ….จูบ….น่ะขอรับ”

“พอหยุดเลย ไม่ต้องแล้ว”

ทว่ามังกรน้อยลูนาร์กลับแทรกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “อะไรนะต้องจูบเหรอ”

ไลฟ์ลุกขึ้นเดินหนีออกมาจากจุดที่นั่งอยู่ทันที เด็กหนุ่มสาวเท้าตรงไปที่ซากมอนสเตอร์ยักษ์อย่างรวดเร็ว ทว่ามังกรน้อยเองก็ไวอย่างน่าเหลือเชื่อพุ่งเข้ามาดักหน้าเด็กหนุ่มเอาไว้

“นี่ๆ เจ้ามนุษย์ จูบคืออะไรเหรอ”

ไลฟ์เอื้อมมือไปผลักศีรษะของมังกรน้อยออกไปพ้นทาง แล้วออกเดินต่อ “ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่า”

ลูนาร์ไม่สบอารมณ์กับการที่ถูกมองเป็นเด็กจึงตัดสินใจจู่โจมมนุษย์ผู้อวดดีอีกครั้ง มังกรน้อยกระโดดสุดกำลังเหวี่ยงเท้าหมายจะเตะเข้าที่ก้านคอของเด็กหนุ่ม แต่ไลฟ์สามารถหลบลูกเตะได้อย่างง่ายดาย แถมยังใช้ความเร็วคว้าข้อเท้าของลูนาร์เอาไว้แล้วหมุนตัวใช้แรงแตะของคู่ต่อสู้เป็นประโยชน์ โยนร่างเล็กๆของลูนาร์ลิ่วออกไปก่อนที่นางจะร่วงลงกับพื้นเสียงดังสนั่น

ตึง!!! โซลาร์ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ ถึงกับหน้าถอดสี ‘น่ากลัว’ แต่ก็จำต้องเดินเข้าไปอุ้มน้องสาวขึ้นมา

“หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วนะเรา”

“เจ็บอะ”

ไลฟ์ที่ไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็พูดขัดขึ้นอย่างหน้าตาเฉย “นี่โซลาร์ ย่างเจ้านี่ทีสิ”

โซลาร์ปล่อยน้องสาวลงแล้วชี้นิ้วไปซากของมอนสเตอร์ เปลวไฟค่อยๆ ไหม้ซากสัตว์ยักษ์ทีละนิด และในเวลาไม่นาน มอนสเตอร์ย่างอาหารมื้อแรกของมนุษย์ที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ในรอบหลายร้อยปีก็พร้อมทาน

ไลฟ์ชักมีดสั้นที่พกติดข้อเท้าเอาไว้ออกมาแล่เนื้อย่างชิ้นใหญ่ออกมา แล้วเริ่มมื้อเย็นทันที

“ว่าแต่ท่านไลฟ์ขอรับ ไปรู้เรื่องเวทมนตร์มาได้ยังไงหรือขอรับ”

ไลฟ์ที่กำลังเพลินกับมื้อเย็นก็หยุดกินชั่วขณะ “แม่เฒ่ามังกรดำเล่าให้ฟังน่ะ”

“หืม…ท่านแม่เฒ่าอันโดรเมดาน่ะหรือขอรับ”

“ไม่รู้สิ ไม่ได้ถามชื่อ”

“มังกรดำตัวใหญ่ๆ สินะขอรับ”

“นั่นแหละ”

“ท่านแม่เฒ่าอันโดรเมดาน่ะ นางเป็นมังกรสายพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุดน่ะขอรับ เกล็ดของนางเป็นสีดำมันวาว ทว่ายามที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงเต็มที่ เกล็ดของนางจะส่องประกายราวกับอัญมณี”

“เหรอ”

“แต่ว่า ท่านแม่เฒ่าอันโดรเมดาน่ะ นางเป็นมังกรที่พิเศษมากๆ ขอรับ”

“ยังไง”

“นางเป็นมังการที่อายุยืนที่สุดในประวัติศาสตร์ขอรับ”

“อายุยืนที่สุด”

“ขอรับ มังกรน่ะมีอายุขัยประมาณห้าพันปีขอรับ แต่ท่านแม่เฒ่าน่ะ นางอายุห้าพันสามร้อยปีแล้วขอรับ”

“มิน่าล่ะถึงเรียกป้าฟาโนราห์ว่ายัยหนู”

“โอ้ ท่านฟาโนราห์ก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะขอรับ น่าจะสามพันหกร้อยปีเห็นจะได้แล้วขอรับ”

“ก็ผู้หญิงนี่นะ ยังไงก็อยากจะดูดีที่สุด ให้ตายเถอะ ความพอดีมันอยู่ตรงไหนวะนั่นน่ะ ว่าแต่แม่เฒ่าไม่เห็นพูดถึงเงื่อนไขอะไรเลยนะเรื่องเวทมนตร์นั่นน่ะ”

“น่าจะหมายถึงเงื่อนไขสำหรับเวทมนตร์ของภูติน่ะขอรับ เทียบกันแล้ว เวทย์ของมังกรใครก็สามารถใช้ได้หากผูกพันธะ ไม่จำเป็นต้องสืบทอดทางสายเลือดแบบภูติน่ะขอรับ”

“อ่า เข้าใจแล้ว เอาล่ะ ฉันอิ่มแล้วล่ะ ถ้านายช่วยไปส่งฉันหน่อยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งเลย”

“ด้วยความยินดีขอรับ”

โซลาร์เดินถอยห่างจากไลฟ์ออกไปหลายก้าวก่อนจะกลับสู่ร่างมังกรอีกครั้ง มังกรหนุ่มใช้อุ้งเท้าหน้าคว้าตัวไลฟ์เอาไว้และเริ่มออกบินทันที พร้อมเสียงของมังกรน้อยที่ตะโกนบอกลา

“โชคดีนะมนุษย์!!!!”

บินมาได้ครู่ใหญ่ก็มาถึงเขตของเวสต์ แลนด์ โซลาร์ที่สามารถมองเห็นในเวลากลางคืนได้ราวกับเป็นกลางวัน เขาก็บอกให้ไลฟ์รู้

“ท่านไลฟ์ขอรับ เขตชายแดนของแอวินอยู่ข้างหน้าแล้วขอรับ”

“อ่า ปล่อยฉันลงตรงนี้แหละ”

“แต่ถ้าลงตอนนี้ต้องเดินอีกราวๆ หนึ่งชั่วโมงเลยนะขอรับ”

“งั้นไปอีกนิดแล้วกัน”

“ได้เลยขอรับ” โซลาร์กระพือปีกอีกสองสามครั้งก็ร่อนลงส่งไลฟ์ลงบนพื้นอย่างปลอดภัย

“เดินอีกประมาณสิบนาทีก็ถึงเขตของแอวินแล้วล่ะขอรับ”

“ขอบคุณมากๆ นะ ถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะได้เจอกันอีก”

“ยินดีที่ได้พบนะขอรับ”

“เออจริงสิ ถ้ามอนสเตอร์หลุดมาใกล้แอวินมากเกินไปก็ไม่ต้องตามมาหรอก ฉันจะจัดการพวกนั้นเอง”

“เข้าใจแล้วขอรับ” โซลาร์บินจากไป ส่วนไลฟ์ก็มุ่งหน้าสู่แอวินเพียงลำพัง

Options

not work with dark mode
Reset