ใต้เงาอสูรตอนพิเศษ 115

ตอนพิเศษ 115

ตอบพิเศษ (ต่อ)

หนังสือดีมีน้อยอย่ารอช้า!

หนังสือชื่อ ‘วันเวลาที่ได้ติดสอยห้อยตามองค์วัชระและพระชายาของข้า’ ภายในเล่มนี้มีเนื้อหาครบถ้วน รูปภาพชัดเจนด้วยฝีมือวาดภาพชั้นเซียน ผู้อ่านจะรู้สึกราวกับได้เห็นภาพจริงปรากฏตรงหน้า! ท้ายเล่มเพิ่มบทพิเศษให้อ่านอย่างจุใจ! ทุกเล่มผู้ประพันธ์จะลงนามไว้ให้เป็นที่ระลึกและจะมีของกำนัลเพิ่มให้อีกมากมาย ยินดีต้อนรับทุกการสั่งซื้อ

เนื้อหาเน้นเรื่องลับส่วนตัวขั้นสูงสุดขององค์วัชรจารย์และพระชายา ผู้บำเพ็ญเพียรอ่านแล้วพลังเพิ่มเป็นสิบเท่าในคืนเดียว มนุษย์ธรรมดาอ่านแล้วยืดอายุขัยต่อชีวิตให้ยืนยาว

ชุดแรกนี้มีเพียงเก้าสิบเก้าเล่ม!

ย้ำ! เก้าสิบเก้าเล่มเท่านั้น! เร็วได้ช้าอด ยังจะชักช้ารออะไรกันอยู่อีกเล่า!

เจ้าแมงป่องโลหิตตวัดพู่กันตัวอักษรตัวสุดท้ายบนป้ายแผ่นใหญ่เสร็จก็อ่านทวนอย่างละเอียดอีกรอบ หลังแก้ไขคำผิดจนได้ถ้อยคำที่พอใจแล้วก็โยนพู่กันทิ้งทันที

ความมุ่งมาดปรารถนาที่มีมาตลอดร้อยปีพันปี ในที่สุดก็สำเร็จจนได้ในวันนี้ เขารู้สึกถึงความสุขของการนับเงินจนปวดมือได้เลย หากยอดขายดีมากก็จะออกชุดพิเศษออกมาอีกชุด จัดทำให้พิเศษกว่าชุดแรก อาจจะทำเป็นแบบปกแข็ง เน้นกลุ่มลูกค้าที่กล้าทุ่มและเป็นนักสะสม

เจ้าแมงป่องโลหิตรู้สึกเลื่อมใสในตนเองที่ฉลาดหลักแหลมและมีหัวการค้าเป็นเลิศ เขาอ่านขาดมองทะลุว่าผู้คนบนโลกนี้ล้วนมีนิสัยสอดรู้สอดเห็นและชอบของแปลก ยิ่งตอนนี้ไป๋จุ่นมีตำแหน่งสูงส่ง ความรักที่ทั้งรันทดและงดงามยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนสนใจใคร่รู้ แต่งเพิ่มเติมสีสันให้จัดจ้านอีกนิด เชื่อได้เลยว่าต้องขายดี เงินทองไหลมาเทมาเป็นแน่

“เร็วเข้า! เอาแผ่นประกาศนี้ออกไปติดซะ” เจ้าแมงป่องโลหิตตะโกนเรียกลูกน้องให้เข้ามาเอาแผ่นประกาศไปติด ลูกน้องของมันก็คือแมงป่องหญ้าตัวหนึ่งที่แม้จะบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วแต่ก็ยังมีหางยาวให้เห็นอยู่

เจ้าแมงป่องหญ้าทาแป้งเปียกบนกำแพงอย่างรวดเร็วแล้วแปะแผ่นประกาศติดลงไปทันที อากาศวันนี้ช่างดีจริงๆ แม้เทียบกับดินแดนจงถู่แล้วจะร้อนกว่าบ้างก็ตาม เพียงไม่นานก็มีผู้คนเข้ามารุมล้อมอ่านป้ายประกาศกันอย่างหนาตาจนแทบมองแผ่นประกาศไม่เห็น ราวกับทุกคนรอแผ่นประกาศนี้อยู่แล้ว

ครู่หนึ่งก็มีลูกค้ารายแรกก้าวเข้ามาในร้าน เจ้าแมงป่องหญ้ารีบเข้าไปต้อนรับพร้อมตะโกนเสียงดัง “เถ้าแก่ มีลูกค้าแล้วขอรับ!”

แมงป่องโลหิตเดินวางมาดออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม อย่างไรนักเขียนก็สมควรต้องมีสง่าราศีของผู้มีการศึกษา พอเห็นลูกค้าก็ประหลาดใจอยู่บ้าง วันที่ร้อนขนาดนี้ ลูกค้ากลับโพกผ้าคลุมหัวมิดชิด มองเห็นเพียงนัยน์ตาคู่หนึ่งเท่านั้น เขาเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากบนชั้นแล้วเปิดพลิกอ่าน ดูจากสายตาที่จ้องเขม็งกับแววตาที่เปล่งประกายยินดีเบิกบานของลูกค้าแล้ว เจ้าแมงป่องโลหิตก็แทบข่มกลั้นความดีใจไว้ไม่อยู่ พอลูกค้าถือหนังสือมาถามราคา มันก็รีบชูสองนิ้ว

“ข้าค้าขายเป็นธรรมไม่มีหลอกลวง”

“เล่มนี้ราคาสองตำลึง?”

แมงป่องโลหิตส่ายหัว “เล่มนี้เป็นฉบับจัดทำพิเศษสุดๆ หมึกกับกระดาษที่ใช้ล้วนเป็นของดี ขายขาดราคาเดียวยี่สิบตำลึง ไม่ต้องต่อราคาให้เสียเวลา”

ลูกค้าเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ยี่สิบตำลึง! ทำไมไม่เอามีดมาปล้นข้าเสียเลยเล่า!”

แมงป่องโลหิตตวัดค้อนขวับ ความหยิ่งยโสของคนมีการศึกษาแทบจะล้นทะลักออกมา “เห็นแก่ที่ท่านเป็นลูกค้าคนแรก จะซื้อก็จ่ายเงินมา ไม่ซื้อก็เชิญกลับไป แต่อย่ามาก่อกวนการค้าการขายของข้า!”

เพราะวันนี้หนังสือเพิ่งวางจำหน่ายวันแรกจึงยังไม่มีฉบับลอกเลียนแบบออกมา ผู้ซื้อจึงได้แต่กัดฟันอดทนกับความยโสจองหองของนักเขียน “ในเมื่อข้าเป็นลูกค้ารายแรกก็ถือเสียว่าข้ามาเปิดประเดิมการขายให้เจ้า ลดราคาลงสักหน่อยแล้วกัน สิบแปดตำลึงเป็นไง?”

แมงป่องโลหิตกัดริมฝีปากครุ่นคิดก่อนจะยอมพยักหน้า “ได้! ถือว่าขายเพื่อเอาฤกษ์ดี แต่ไม่มีการเขียนชื่อผู้เขียนให้ในเล่มนะ”

ฝ่ายลูกค้าพยักหน้าตกลงทันที อย่างไรเขาก็สนแต่เนื้อหากับรูปภาพในหนังสือเท่านั้น ลายมือชื่อนักเขียนไม่สำคัญเลยสักนิด

จ่ายเงินแล้วลูกค้าก็รีบพลิกเปิดไปที่หน้าสุดท้ายทันที ฉับพลันก็หันมาโวยวายเสียงดัง “ทำไมถึงมีแค่ตอนเข้าหอเล่า! แล้วความเร่าร้อนหลังกลับมาจากสวรรค์ชั้นเย่หมอเทียนทำไมไม่เขียนออกมา! ความร้อนแรงของคนกับสัตว์อีก! แล้วยังมีจ้าวซื่อที่ถูกข่มเหงใต้ต้นไม้ด้วย ทำไมไม่วาดออกมาให้หมด!”

แมงป่องโลหิตมองลูกค้าอย่างประหลาดใจ ลูกค้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย กระทั่งจ้าวซื่อยังไม่ละเว้น ช่างไร้มโนธรรมจริงๆ!

“ทำไมท่านจึงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังมากนักเล่า?” แมงป่องโลหิตเพ่งมองลูกค้าอย่างละเอียด ทันใดนั้นมันก็ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ “ท่านเหลียนฮวาเชิงต้า! เป็นท่าน!”

ลูกค้าตกใจสะดุ้งสุดตัว แก้ตัวเสียแทบลิ้นพันกัน “เหลวไหล! เหลียนฮวาเชิงบ้าบออะไร!”

“เป็นท่านแน่ๆ ข้าไม่มีทางจำผิด!” แมงป่องโลหิตเสียงดังหนักแน่น “ข้าจำได้ว่าหางตาท่านมีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง เป็นท่าน ท่านเหลียน…อุ๊บ!”

พอมีหลักฐานยืนยันดิ้นไม่หลุด ลูกค้าก็พุ่งไปปิดปากแมงป่องโลหิตแน่น กระซิบเสียงเครียด “ข้าเป็นแค่คนอ่านทั่วไป เป็นแค่คนมาหาซื้อหนังสือธรรมดา ไม่ต้องสนใจว่าข้าเป็นใคร!”

นึกถึงหลายพันปีก่อนนั้น เจ้ากิเลนดำพลังกล้าแกร่งจนเขาสอดส่ายสายตาเข้าไปดูเรื่องราวในตำหนักสูงแทบไม่ได้เลย ต่อให้เค้นพลังสู้ปราการป้องกันของไป๋จุ่นอย่างเต็มที่ก็ได้เห็นแบบวับๆ แวมๆ การเห็นไม่ชัดแจ้งทำให้คนแอบดูเสียอารมณ์ ช่างทำให้ผู้คนคลั่งแค้นจริงๆ! วันนี้มีผู้มาเติมเต็มภาพเหตุการณ์นั้นให้สมบูรณ์ ถือว่าชดเชยความค้างคาใจตลอดหลายพันปีได้เสียที

แต่ในฐานะคนสนิทสนมคุ้นเคย มาซื้อหนังสือเรื่องลับของสหายช่างไร้มโนธรรมไม่น้อย ดังนั้นต้องไม่มีผู้รู้เห็น ท่านเหลียนชือจึงต้องข่มขู่เจ้าแมงป่องโลหิตอย่างไร้ยางอาย “เจ้าเอาเรื่องในห้องหอคนอื่นมาค้าขายสร้างกำไร ถ้าไป๋จุ่นรู้ เจ้าจะมีสภาพเป็นอย่างไรนะ”

เจ้าแมงป่องโลหิตหน้าซีดเผือดในพริบตา มันลนลานยัดเงินคืนให้อีกฝ่าย “ข้าไม่รับเงินท่านก็ได้ แม้พวกเราไม่ค้าขายกันแต่ก็ยังเป็นมิตรกันได้ ท่านคิดเห็นอย่างไรเล่า เพราะท่านเองก็มิได้มาอย่างเปิดเผยเช่นกันมิใช่หรือ”

ท่านเหลียนชือเลิกคิ้วสูง “ข้ามาเพื่อทำการตรวจสอบอย่างลับๆ ดูว่าหนังสือของเจ้ามีเนื้อหาหรือรูปภาพที่อนาจารหรือไม่ เจ้าคิดเห็นอย่างไรเล่า”

เป็นพระโพธิสัตว์ที่หน้าด้านจริงๆ!

สุภาพบุรุษจอมปลอมที่เสแสร้งว่าศีลธรรมสูงส่งช่างน่ารังเกียจเป็นที่สุดแล้ว คนจริงใจไม่พูดจาอ้อมค้อมต่อหน้า ทว่าเขากล้าพูดจาไร้ยางอายเพียงนี้ เห็นคนอื่นเป็นไอ้โง่หรือไง!

แมงป่องโลหิตแค่นเสียงหัวเราะ “ข้ารู้ว่าพระโพธิสัตว์มีจิตเมตตาเป็นที่สุดของที่สุดแล้ว ที่ท่านพูดถึงความเร่าร้อนระหว่างกิเลนกับคนหลังกลับจากสวรรค์ชั้นเย่หมอเทียน กับเรื่องพ่อบ้านใหญ่เสียความเป็นหนุ่มใต้ต้นไม้ ขอเพียงท่านเอ่ยปากว่าต้องการ ข้าก็สามารถวาดออกมาให้ท่านได้โดยไม่คิดเงิน รับรองด้วยว่าจะมีเพียงเล่มเดียวในโลกนี้ ท่านคิดเห็นอย่างไร?”

ใบหน้าใต้ผ้าคลุมหน้ามิดชิดเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “ระวังหน่อย ถ้าไป๋จุ่นรู้เข้า เจ้าถูกถลกหนังหัวแน่”

“ข้าถึงได้ทำขายแค่เก้าสิบเก้าเล่มไงเล่า หากได้ลูกค้าชั้นสูงเงินหนามาร่วมมือกัน ซื้อขายกันในกลุ่มเล็กๆ ข้าคิดว่าก็น่าจะปลอดภัยอยู่” ดวงตาแมงป่องโลหิตเป็นประกายรู้ทัน “แน่นอนว่าสำหรับพระโพธิสัตว์เหลียนชือข้าย่อมไม่คิดเงิน เพราะลูกค้าชั้นสูงที่เป็นเป้าหมายของข้าคงไม่มีผู้ใดปรากฏตัวด้วยร่างแท้จริงอย่างท่านแล้ว นั่นเป็นเพราะท่านกับสามีภรรยาคู่นั้นสนิทสนมแนบแน่นกันอย่างลึกซึ้ง ข้าเข้าใจดี”

ท่านเหลียนชือให้รู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง “ข้ายินดีที่ได้เห็นคนรักกันได้ครองคู่มีความสุขกันเสียที”

ต่างวางท่าเสียเคร่งขรึม ต่างพอใจกันถ้วนหน้า ท่านเหลียนชือซ่อนหนังสือไว้ในอกเสื้อ ความรู้สึกที่ได้ครอบครองหนังสือที่รอคอยมาเนิ่นนาน เป็นอารมณ์ที่ยากจะบรรยายโดยแท้

 

เขาจีเสียงซาน

เพิ่งลงจากเมฆมงคลก็เห็นพระชายาชือเจียเทียนเดินวนเวียนอยู่หน้าวังเยว่เลี่ยงกง ท่านเหลียนชือชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหา “พระชายาออกมาเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารหรือ?”

นางหันมามองสามีอย่างพิจารณาแล้วกล่าวตอบเสียงเรียบ “ข้าตั้งใจมาหาท่านเพื่อจะชวนสนทนาธรรมสักเล็กน้อย ท่านหายไปไหนมาล่ะ?”

“เบื้องล่างมีภูตผีปีศาจออกอาละวาดสร้างความเดือดร้อน ข้าจึงไปจัดการกำราบจนเรียบร้อยดี ข้าจำได้ว่าบอกเจ้าไว้แล้วนี่ เห็นไหมละ! เอาแต่มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรช่างเหน็ดเหนื่อยนัก ดูแลตนเองบ้าง เจ้าก็ไม่เชื่อฟังข้าบ้างเลย” ปากตอบคล้ายไม่ใส่ใจแต่ฝีเท้าเร่งรีบนัก “กลางวันข้าได้กินเต้าหู้โรยต้นหอมมาด้วย ข้าชอบ…”

“เหลียนฮวาเชิง!”

หัวใจท่านเหลียนชือกระตุกแรง “มีอะไรหรือ…”

“ท่านซ่อนสิ่งใดไว้ในอกเสื้อ?”

ท่านเหลียนชือหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าพระชายาด้วยใบหน้าใสซื่อไร้พิรุธ แววตาจริงใจ สองแขนกางออกกว้าง “ในอกข้าจะมีสิ่งอื่นใดได้เล่า นอกจากความรักเต็มอกที่มีให้เจ้าผู้เดียว”

พระชายาชื่อเจียเทียนถูกสามีบอกรักกะทันหันก็ให้งุนงงก่อนจะจับกระโปรงบิดตัวไปมาอย่างขวยเขิน พลางเดินเข้ามาใกล้ “คืนนี้ข้าจะจุดกำยานรอท่าน…”

ท่านเหลียนชือรีบส่งยิ้มประจบ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าในอกเสื้อกลายเป็นว่างเปล่า เพียงกะพริบตาหนังสือล้ำค่าก็อยู่ในมือชื่อเจียเทียนแล้ว!

“หนังสืออะไร ข้าขอดูหน่อย” พระชายาอ่านชื่อหน้าปกท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของสามี ‘วันเวลาที่ได้ติดสอยห้อยตามองค์วัชระและพระชายาของข้า’ เรื่องของไป๋จุ่นกับภรรยาของเขางั้นหรือ?”

ซวยแล้ว!

ท่านเหลียนชือแหงนหน้ามองฟ้า สองเท้าก้าวถอยห่างช้า

“หลายพันปีที่ผ่านมาท่านก็ยังหมกมุ่นกับเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อยวาง เล่มพิเศษเพิ่งวางตลาดท่านก็ถึงกับลงจากเขารีบไปซื้อทันที ดูท่าจะเป็นลูกค้าคนแรกด้วยสินะ”

ท่านเหลียนชือชะงักเท้า ไม่กล้าถอยหนีแม้ครึ่งก้าว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแล้ว “มะ… ไม่… ไม่ใช่ของข้านะพระชายา เป็นของทูตแม่น้ำเหิงเหอมอบมาให้ ตอนข้าผ่านเขาปู้โจวซานน่ะ”

พระชายาหัวเราะเสียงเยียบเย็น “เรื่องดีขนาดนี้แต่ข้ากลับไม่เคยได้รู้เลย” พูดแล้วก็เดินเข้าใกล้สามีหนึ่งก้าว ดวงตาจ้องมองใบหน้าเขาอย่างละเอียด “ใช่ว่าข้าจะดูถูกท่านหรอกนะ แต่ทุกครั้งที่ท่านไปทำเรื่องไม่ดีมาหรือพูดจาโกหก พิรุธจะเต็มหน้าอย่างที่ข้าไม่ต้องเสียเวลามองหาเลยสักนิด ไร้ฝีมือจริงๆ” กล่าวจบก็ม้วนเก็บหนังสือเข้าชายแขนเสื้อกว้างแล้วเดินจากไป

“ริบของกลาง!”

ท่านเหลียนชือก้มหน้าเดินตามหลังพระชายา อยากจะร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา “รอเจ้าอ่านจบ ให้ข้ายืมต่อได้ไหม…”

พระชายาเพียงปรายตามองอย่างเย็นชา ก็ทำเอาท่านเหลียนชือคอหดหุบปากไม่กล้าพูดมากอีกเลย

ช่างน่าเศร้าใจนัก มีภรรยาเหี้ยมหาญเกินไป สามีจึงต้องใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก กระทั่งความชอบส่วนตัวเล็กน้อยเพียงอย่างเดียวยังถูกแย่งชิงไปอีก หรือเขาสมควรต้องคิดจริงจังเรื่องสร้างที่อยู่อาศัยไว้หลบภัยบ้างแล้ว

ไม่มีหนังสือให้อ่านมิสู้ไปดูตัวจริงแทนก็ได้ คิดแล้วท่านเหลียนชือก็ออกจากวังเยว่เลี่ยงกงไปเพียงลำพัง

 

วันนี้เป็นวันหล่อรูปสำริดขององค์วัชระและพระชายา ทวยเทพทุกองค์ล้วนมีรูปหล่อของตนเองอยู่ในแดนมนุษย์

ไป๋จุ่นที่มีตำแหน่งเป็นถึงองค์วัชระสูงสุดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพระชายาของตนไม่อยู่ ไม่ว่าเหล่าฑากินีจะเร่งรัดอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ แต่บัดนี้เหยี่ยนหวู่ฟางกลับมาอยู่ข้างกายเขาแล้ว ไป๋จุ่นก็รู้สึกได้ว่าชีวิตตนเองสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน เรื่องควรทำก็ทำจนหมดสิ้น รูปปั้นขององค์วัชระในแดนมนุษย์ก็สมควรทำให้ครบถ้วนเสียที

เดิมรูปหล่อสำริดของเขากับเหยี่ยนหวู่ฟางสร้างแยกจากกัน เพราะหญิงสาวบำเพ็ญเพียรสำเร็จได้เป็นเจ้าแม่เย่อีฝอหมู่ ทั้งสองจึงต้องแยกกันทำหน้าที่ของตน

เหยี่ยนหวู่ฟางเน้นดูแลขจัดโรคระบาดและภัยพิบัติโดยเฉพาะ ปางพิโรธของนางนับว่าน่ากลัวไม่น้อย สามเศียรหกกร ทุกใบหน้ามีสามดวงตา มือทั้งหกมีศาสตราเวทและของวิเศษมากมาย ทั้งคทาวัชระ ขวานสยบมาร มีกิ่งโพธิ์เป็นตัวแทนสถานที่ที่นางถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ยังมีสองมือที่ว่างอยู่ ไป๋จุ่นจึงมอบธนูฉางเฉินเจี้ยนและลูกธนูเทพของตนให้ หญิงสาวรับไว้แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน

“แล้วท่านล่ะ?”

ศาสตราเวทระหว่างสามีภรรยาแน่นอนว่าสามารถใช้ร่วมกันได้ “หลอมรูปปั้นเจ้าเสร็จก่อนค่อยหลอมของข้าทีหลัง”

เมื่อช่างหลอมสำริดเริ่มหล่อรูปปั้น ไป๋จุ่นก็ยืนกำกับตรวจตราทุกรายละเอียดอย่างใกล้ชิดไม่ยอมห่าง

“ตาเล็กไปไม่เหมือน แก้ใหม่!”

“ให้ปากอวบอิ่มอีกนิดสิ จะได้ดูเป็นสตรีมากขึ้น แก้ใหม่!”

“มือสั้นเกินไป มองแล้วอ้วนน่าเกลียด แก้ใหม่!”

ถึงขั้นนี้ช่างหล่อก็แทบจะร้องไห้แล้ว! “ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ปล่อยให้พวกข้าได้แสดงฝีมือให้เต็มที่เองเถิด”

ไป๋จุ่นจึงยอมปิดปากเงียบแล้วถอยห่างไปยืนดูอยู่ด้านข้างแทน แต่พอถึงรูปหล่อของตนก็ก้าวเข้ามาอีก

“ข้าไม่ใช่เทพตะขาบ! จะให้มีมือมากมายไปทำไม! หล่อส่วนใบหน้าข้าให้ประณีตที่สุดด้วย เอาให้หล่อเหลาทะลุสวรรค์ไปเลยยิ่งดี”

เมื่อหล่อเสร็จ รูปหล่อของไป๋จุ่นจึงมีความเป็นเซียนสูงส่งและมีความงดงามอ่อนช้อยแฝงอยู่ เพราะเขาไม่ต้องการให้รูปหล่อออกมาเป็นบุรุษที่ดูแกร่งกร้าวเกินไป

“ให้พวกเขาหล่อรูปพวกเราสองสามีภรรยาประกบกันอีกสักรูปเถอะ ให้มนุษย์ธรรมดาเหล่านั้นได้มองดูด้วยความเคารพเลื่อมใส”

ช่างฝีมือรีบพยักหน้า “ดีขอรับ ดีขอรับ ตำนานความรักอันงดงามของท่านทั้งสองเล่าขานกันอย่างแพร่หลายในแดนมนุษย์ พวกหนุ่มสาวล้วนขอพรเรื่องความรักและการแต่งงานจากพวกท่านทั้งนั้น”

“เยี่ยมไปเลย” ไป๋จุ่นยินดียิ่งนัก เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วดึงให้เหยี่ยนหวู่ฟางนั่งบนต้นขาแกร่ง จับมือนางให้โอบรอบคอเขาไว้ จัดท่าให้ทั้งสองหันหน้ามองกัน จากนั้นจึงสั่งช่างฝีมือ

“จำไว้ว่าต้องหล่อเขาบนหัวของข้าให้ดี เพราะมันคือสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความรักที่ลึกซึ้งของข้า”

ท่านเหลียนชือที่อยู่นอกประตูได้ยินก็รีบยื่นหน้าเข้าไปแอบดู ช่างเป็นภาพที่อุจาดตาจริงๆ ในฐานะที่เป็นบุรุษ หนังหน้าจะต้องหนาขนาดนี้เลยหรือไง! มองดูเขามหึมาคู่นั้นของไป๋จุ่นแล้ว แสดงว่าสองวันนี้ไม่ได้ว่างเว้นอีกแล้วล่ะสิ

นับตั้งแต่เหยี่ยนหวู่ฟางหวนคืนกลับมา หัวที่แห้งเหี่ยวไร้เขามาแปดพันปีนั่นก็ไม่เคยได้ว่างอีกเลย มีบางครั้งเขารู้สึกเหนื่อยแทนนัก สามร้อยหกสิบห้าวันไม่มีหยุดพัก ร่างกายจะทนรับไหวได้หรือ ช่างน่าขายหน้าเสียจริง! เป็นถึงองค์วัชระสูงส่ง แต่กลับอวดเรื่องกิจในห้องหอผ่านเขาบนหัวอยู่ทุกวัน ไม่กลัวผู้อื่นจะแอบหัวเราะนินทาลับหลังบ้างหรือไง

ท่านเหลียนชือจิตใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ขมขื่น นึกถึงหนังสือที่แมงป่องโลหิตเสี่ยงชีวิตแอบดูแล้ววาดเป็นรูปภาพออกมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้มีวาสนาแอบดูด้วย ยังไม่ทันได้อ่านก็โดนริบเสียแล้ว หัวใจเขาปวดร้าวราวถูกจับบิดอย่างไม่ปรานี

นับตั้งแต่ทวยเทพทำพิธีมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ไป๋จุ่น อีกฝ่ายก็มีบุญบารมีและพลังอำนาจทัดเทียมพระโพธิสัตว์อย่างเขาแล้ว

ท่านเหลียนชือเคยลองใช้เนตรสวรรค์ตรวจวาสนาของคนทั้งสอง แต่พบว่าเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์

อันที่จริงที่เขาอยากแอบดูมิใช่เพราะมีจิตใจลามก เขาก็แค่เป็นห่วงเหยี่ยนหวู่ฟางจนไม่อาจตัดใจได้ อย่างไรนางก็เคยเป็นศิษย์ที่มีแววจะบำเพ็ญเพียรสำเร็จมากที่สุด ไม่คิดเลยว่าจะเสียท่าให้กิเลนเฒ่าเจ้าเล่ห์ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอยู่นาน

ต่อมาได้เห็นทั้งคู่มีความสุข เขาก็ดีใจไปด้วย แต่ทุกครั้งที่ไป๋จุ่นเสพสุขจนอิ่มหนำเป็นต้องโอ้อวดให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยเขาบนหัวขนาดมหึมา นี่มันเกินไปไหม!

ท่านเหลียนชือแอบมองทั้งสองอีกครั้ง เห็นการเข้าขากันอย่างดียิ่งของสามีภรรยา ทั้งคู่แนบชิดสนิทแน่นไร้ช่องว่าง กระทั่งช่างหล่อสำริดยังหน้าแดงก่ำไปหมด ท่านเหลียนชือได้แต่เบ้ปากแล้วเบือนหน้าหนีอย่างทนดูต่อไปไม่ไหว รอจนกระทั่งช่างหล่อสำริดทำรูปหล่อออกมาจนเสร็จ เหยี่ยนหวู่ฟางจึงค่อยมองเห็นเขา นางส่งยิ้มให้อย่างสำรวมดังเคย

ท่านเหลียนชือพยักหน้าเบาๆ “เสร็จแล้วหรือ?”

หญิงสาวออกจะกระดากอายอยู่บ้าง “เรื่องหล่อรูปถ่วงเวลามาเนิ่นนาน วันนี้จึงค่อยเจียดเวลาออกมาได้ อาจารย์มาหาอาจุ่นหรือ?”

ท่านเหลียนชือเหลือบมองเขาคู่โตบนหัวไป๋จุ่นตาขุ่นขวางก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว “ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับไป๋จุ่นสักหน่อย”

ใต้เงาอสูร

ใต้เงาอสูร

Score 10
Status: Completed

เหยียนตูเป็นเมืองลึกลับที่ตั้งมั่นมากว่าสามพันปี ไม่เคยมีมนุษย์สักคนก้าวเท้าเข้าไปเหยียบ ร่ำลือกันว่าประมุขของที่นี่เป็นมารเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่โหดเหี้ยมอำมหิต กินเด็กทารกเป็นอาหาร เขาสวมเสื้อคลุมตัวยาวปกปิดร่างกายและใบหน้าจนไม่มีใครสามารถคาดเดาอายุ

อาจเป็นเพราะเขาอัปลักษณ์ อาจเป็นเพราะแก่ชรา อาจเป็นเพราะพิกลพิการน่าเกลียด ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ทั้งมนุษย์และปีศาจล้วนหวาดกลัวดินแดนใต้เงาหมอกที่ดุจดังขุมนรกแห่งนี้! เหยี่ยนหวู่ฟาง… เป็นหมอวิเศษจากดินแดนอู่จินซ่าถู นางจำต้องเดินทางไปเหยียนตูเพื่อสืบหาเบาะแสของโรคประหลาดที่รักษาไม่หายโรคหนึ่ง คนไข้ของนางทุกคนอาการสาหัส และไม่ว่าจะรักษาอย่างไร พวกเขาล้วนตายภายในสามเดือนโดยไม่มีข้อแม้! ทุกคนมีความคล้ายคลึงกันสองประการคือเป็นบุรุษรูปงาม และเป็นชาวเมืองเหยียนตู ที่น่าสงสัยคือ… พวกเขาตายเอง หรือว่าต้อง ‘คำสาปขี้อิจฉา’ ของมารเฒ่าอัปลักษณ์ตนนั้นกันแน่?!

Options

not work with dark mode
Reset