เล่ห์รักกลกาล 210 วีรบุรุษแบกหม้อดำ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน

ตอนที่ 210 วีรบุรุษแบกหม้อดำ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน

หน้าประตูห้องซือหม่าหรุ่ย

 

 

นอกจากเจ้าเมืองหลินที่เป็นผู้นำแล้ว ยังมีคนอีกไม่น้อยที่เบียดกันอยู่ ซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ครึ่งค่อนคืน ไม่อนุญาตให้ใครก้าวผ่านไปได้สักคนเดียว

 

 

ภายในห้อง อาการของจิ่วหุนถือว่าพ้นขีดอันตราย เพียงแต่สลบไสลไม่ได้สติ

 

 

ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย “หาทางออกได้หรือยัง”

 

 

 “ตอนนี้ยังไม่มีวิธีที่สมบูรณ์แบบ”

 

 

เยี่ยเม่ยเผยความหนักใจออกมาตามตรง วิธีในตอนนี้ยากจะคิดได้จริงๆ เพราะว่าเหตุผลทั้งหลายที่มีอยู่ เซียวเยว่ชิง รวมถึงพวกจงรั่วปิงเอ่ยออกมาหมดแล้ว คนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูในเวลานี้ต่างก็เป็นคนที่ฟังเหตุผลไปจนหมดสิ้นก็ยังไม่ยินยอม

 

 

นางมองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง “ยามนี้มีเพียงสองตัวเลือกเท่านั้น อย่างแรกคือส่งตัวจิ่วหุนไปให้พวกเขา สองคือข้าคุ้มครองจิ่วหุน ฝ่าวงล้อมออกไป ต่อสู้กับพวกเขาถึงที่สุด”

 

 

นางคิดไม่ถึงว่า หมากกระดานนี้ของเป่ยเฉินอี้จะบีบคั้นนางให้อยู่ในสภาพนี้ได้

 

 

บอกได้เลยว่านับตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งที่นางเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง

 

 

แต่ว่าซือหม่าหรุ่ยฟังความหมายซ่อนเร้นในคำพูดของเยี่ยเม่ยออก “วิธีที่สมบูรณ์แบบไม่มี ความหมายก็คือแผนรับมือที่พอใช้ได้เจ้าคงมีอยู่ใช่หรือไม่”

 

 

 “ถูกต้อง”

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้านิ่งๆ

 

 

ตอนนี้เองหน้าประตูพลันมีเสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นมา

 

 

คนด้านนอกจำนวนไม่น้อยล้วนหลบไปด้านข้าง เอ่ยปากว่า “ท่านอ๋องอี้”

 

 

ในน้ำเสียงของทุกคนล้วนแฝงไปด้วยความเลื่อมใส ทั้งเคารพทั้งหวาดกลัว แตกต่างกับยามพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีแต่ความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง

 

 

เป่ยเฉินอี้ยังสวมอารมณ์สีดำ ปักลายขวางสีแดง แสดงให้เห็นความลุ่มลึกที่อยู่ในความสูงศักดิ์ของเขา

 

 

ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติยากหยั่งความคิดได้ ทำให้คนมองจับความรู้สึกบนใบหน้าไม่ออก เขาเดินเข้ามาถึงหน้าประตูห้อง “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าเข้าไปได้หรือไม่”

 

 

 “หึ…” เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง

 

 

กวาดตาไปหาซือหม่าหรุ่ย “ฟ้าสางแล้ว เจ้าเอาพิษที่หน้าประตูออกเถอะ”

 

 

อย่างไรเสียเวลาที่นัดหมายกับทุกคนไว้ก็มาถึงแล้ว

 

 

 “ได้” ซือหม่าหรุ่ยเปิดประตูออก สาดผงยาสีขาวลงบนพื้น ไอพิษที่หน้าประตูพลันสลายไป

 

 

เยี่ยเม่ยไม่เดินออกมา ส่งเสียงนิ่งว่า “อี้อ๋องมีอะไรอยากพูด ก็เชิญเข้ามา”

 

 

คนหน้าประตูไม่มีใครกล้าแย้ง อย่างไรเสียหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องอะไรที่อี้อ๋องทำล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อราชสำนักเป่ยเฉินทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงหลงคิดว่า เขาเข้าไปเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยเม่ยส่งตัวจิ่วหุนออกมา

 

 

ความจริงเหล่าทหารทั้งหลายไม่มีใครยินยอมลงมือกับเยี่ยเม่ย ไม่ว่าจากผลการทำศึกที่ชายแดนของนาง รวมถึงความสามารถ ล้วนทำให้คนไม่มีความมั่นใจจะลงมือ ดังนั้น อี้อ๋องไปเกลี้ยกล่อมก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

 

 

เป่ยเฉินอี้เดินเข้าห้องไป

 

 

เยี่ยเม่ยใช้สายตาเย็นชามองไปทางเขา “ไม่ทราบว่าอี้อ๋องมาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เพื่อสิ่งใด”

 

 

 “ข้ามาก็เพื่อช่วยเหลือตัวข้าเอง” เป่ยเฉินอี้ใบหน้ายิ้มแย้ม บอกว่ามาช่วยเหลือ ทว่าสีหน้าไม่แสดงออกว่าตกอยู่ในยามวิกฤตเลยสักน้อย กลับเป็นดวงตาเรียวยาวคู่นั้นเผยความโอหังที่กุมชัยชนะเป็นมั่นเป็นเหมาะเสียมากกว่า

 

 

เยี่ยเม่ยฟังถ้อยคำนี้แล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองสมควรชื่นชมความฉลาดของบุรุษผู้นี้หรือไม่ “หืม? มาเพื่อช่วยเหลือตัวท่านเอง ท่านรู้ว่าข้าคิดหาวิธีคลี่คลายไม่ออก ทว่ามีแผนการลากท่านให้ตกที่นั่งลำบาก กลายเป็นเป้าหมายของทั้งหมดกับพวกเราด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

 

เมื่อครู่นางบอกกับซือหม่าหรุ่ย ก็คือ…ไม่มีวิธีการที่สมบูรณ์พร้อม แต่หนทางที่ลากให้เป่ยเฉินอี้ลงน้ำไปกลับพอมีอยู่

 

 

เป่ยเฉินอี้ผงกหัว เดินเข้าไปนั่งตรงข้ามเยี่ยเม่ย ในความสูงศักดิ์ของเขาแฝงไปด้วยความโอหังของราชันย์ เสียงทุ้มดังขึ้น “ไฉน แม่นางเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินอี้ต้องดำเนินมาถึงขั้นเจ้าไม่ตายข้าก็ม้วยด้วย ความจริงยังมีวิธีที่ง่ายดายอยู่วิธีหนึ่ง สามารถคลี่คลายปัญหาในยามนี้ได้ หากทำเช่นนี้เจ้ากับข้าต่างก็ลดความยุ่งยากไปได้ จะไม่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ”

 

 

 “ขอเชิญพูดมา” เยี่ยเม่ยแปลกใจจริงๆ ว่าเขาจะเสนอความเห็นอะไรออกมา

 

 

เป่ยเฉินอี้ดวงตาทอรอยยิ้ม จ้องมองเยี่ยเม่ย “วิธีการนี้ไม่ใช่แม่นางเยี่ยเม่ยจะคิดไม่ถึง เพียงแต่ไม่ยินยอมลากผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง ด้วยไม่ใช่หรืออย่างไร”

 

 

เขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยก็นิ่งไปทันที

 

 

ถูกแล้ว วิธีการมี แต่วิธีการนี้…ไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่น

 

 

ระหว่างที่เยี่ยเม่ยสงบเงียบ เป่ยเฉินอี้เอ่ยปากอย่างว่องไว “บางทีไม่ถึงเวลาครึ่งเค่อ[1] คนที่จะช่วยแม่นางเยี่ยเม่ยคลี่คลายปัญหาก็จะมาถึงแล้ว เป่ยเฉินอี้ไม่ถือสาที่จะรอเป็นเพื่อนแม่นางเยี่ยเม่ยสักครู่ ถือว่าเป็นการช่วยแม่นางเยี่ยเม่ยรวมถึงช่วยเหลือเป่ยเฉินอี้ด้วย”

 

 

เมื่อเขาเอ่ยออกมา สายตาของเยี่ยเม่ยที่มองเขายิ่งเย็นยะเยือกขึ้น

 

 

ในขณะนี้เอง

 

 

นอกประตูมีไอมารส่งเข้ามา ติดตามมาด้วยความกดดันรุนแรง เหล่าทหารด้านนอกเมื่อมองผู้มาเนื้อตัวเริ่มสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

ต่างก็พากันค้อมเอวคารวะ “องค์ชายสี่”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่มองคนทั้งหลาย สาวเท้าเนิบๆ เดินเข้าห้องซือหม่าหรุ่ย ด้วยพื้นฐานวรยุทธ์ของเขา ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเห็น ก็รู้ว่าคนน่ารังเกียจบางคนอยู่ในห้องกับเยี่ยเม่ยด้วย

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่เดินเข้ามา น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นช้าๆ “เช้าตรู่ขนาดนี้ได้กลิ่นไม้กวนอาจม คาดว่าเสด็จอาคงอยู่ที่นี่สินะ”

 

 

คนทั้งหมด “…”

 

 

ไม่รู้ว่าองค์ชายสี่กับอี้อ๋องมีความแค้นอะไรกัน องค์ชายสี่ถึงต้องด่าว่า อี้อ๋องเป็นไม้กวนอาจม

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้ว สายตาทอความขบขันมองเป่ยเฉินอี้

 

 

ไม้กวนอาจม

 

 

คำอธิบายนี้ไม่เลวเลย ก็เหมือนเรื่องของจิ่วหุน เพราะความชอบก่อเรื่องเกรงว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายของเป่ยเฉินอี้ เที่ยวแสดงความคิดช่วยผู้อื่นทำร้ายจิ่วหุน นั่นยังไม่ใช่ไม้กวนอาจมอีกหรือ   

 

 

คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รวมถึงสายตาขบขันของเยี่ยเม่ย หาได้ทำให้อารมณ์ของเป่ยเฉินอี้เปลี่ยนแปลงสักน้อย

 

 

เขายังคงรักษาท่าทางสูงศักดิ์เอาไว้ แววตาลุ่มลึกเกินหยั่งมองไปที่ประตู “ดูท่า วีรบุรุษแบกหม้อดำ[2]มาแล้ว”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าประตูมา ย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของเป่ยเฉินอี้

 

 

เขายิ้มบางๆ เดินเข้ามาถึงข้างกายเยี่ยเม่ย 

 

 

สีหน้าเยี่ยเม่ยไม่น่าชมเป็นอย่างยิ่งมองเป่ยเฉินอี้นิ่งๆ “ข้าเข้าใจความหมายของท่าน ท่านบอกว่าเวลานี้ต้องมีใครสักคนออกมาแบกหม้อก้นดำ แบกรับความรับผิดชอบในเรื่องที่จิ่วหุนทำทั้งหมดไว้ เช่นนี้จิ่วหุนก็จะรอดแล้ว เพียงแต่คนที่ออกมาแบกรับจำเป็นต้องมีความสามารถมากพอ ทำให้คนทั้งหลายไม่กล้าแตะต้องเขา ถึงคงความปลอดภัยของคนที่ออกมารับผิดได้ เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่”

 

 

เป่ยเฉินอี้พยักหน้า เอ่ยว่า “ไม่ผิด เชื่อว่าหลานสี่ของข้า คงยินยอมทำเพื่อแม่นางเยี่ยเม่ย”

 

 

มองไปทั่วทั้งชายแดน คนที่สามารถออกมาแบกรับความผิดนี้ได้ นอกจากเป่ยเฉินอี้แล้วก็มีเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น

 

 

เป่ยเฉินอี้ย่อมไม่ยินยอมแบกรับความผิด

 

 

อย่างนั้นก็มีแต่…

 

 

คิดไม่ถึงว่า

 

 

น้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นมาว่า “ไม่ เยี่ยนไม่ยินยอม เยี่ยนยังคิดว่าสมควรมอบตัวจิ่วหุนออกไป เพื่อจบเรื่องนี้ไปเสีย ไม่ควรให้ผู้บริสุทธิ์อย่างเยี่ยนแบกรับความผิดนี้”

 

 

เยี่ยเม่ยหันขวับมองเขา “ท่านพูดว่าอะไรนะ”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมุมปากกระตุก ฝืนแค่นเสียงกระแอมไอ “ไม่มีอะไร เยี่ยนบอกว่าการทำเพื่อน้องภรรยา ถือเป็นเกียรติของเยี่ยน”

 

 

 

 

[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับสิบห้านาที

 

 

[2] แบกหม้อดำ หมายถึงแพะรับบาป

เล่ห์รักกลกาล

เล่ห์รักกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 121 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ขณะเดินทางกลับจากทำภารกิจ เฮลิคอปเตอร์ที่ เยี่ยเม่ย นักฆ่าสาวจากโลกปัจจุบันนั่งก็ปะทะเข้ากับพายุและเกิดการขัดข้องจนตกลงไปในน้ำวนบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นั่นยังไม่น่าแปลกเท่าไหร่ สิ่งที่ประหลาดกว่านั้นคือเธอกลับทะลุมิติเข้ามาอยู่ในยุคโบราณที่ไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์หน้าไหนๆ และได้พบกับเขา ชายหนุ่มฉายาปีศาจร้ายกระหายเลือดผู้เป็นองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์เป่ยเฉิน เป่ยเฉินเสียเยี่ยน การพบกันของทั้งคู่เป็นจุดเริ่มต้นในการไขปริศนาความทรงจำที่หายไปของเยี่ยเม่ย เพราะอะไรเธอถึงต้องมาที่นี่และตัวเธอเกี่ยวข้องอย่างไรกับโลกนี้ ปริศนานี้เธอจะต้องไขมันให้ได้

กล่าวกันว่าความบังเอิญไม่มีในโลก หรือบางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของเธอ?

Options

not work with dark mode
Reset