เดิมพันเสน่หา 82 อุบัติเหตุทางรถยนต์

ตอนที่ 82 อุบัติเหตุทางรถยนต์

ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มร่า เขาใช้รอยยิ้มที่อ่อนโยนเพื่อปิดบังความเจ็บปวดในใจ “เลี้ยงข้าวผมได้ไหมครับ” ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่งที่สุภาพ     เหลิ่งรั่วปิงเบะปาก “ผู้ชายรวยๆ อย่างคุณ ขอร้องให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าวแบบนี้ มันจะดีหรอคะ”     “ฮ่าๆๆ…” ไซ่ตี้จวิ้นหัวเราะเสียงเบา “ผมช่วยทำให้คุณหาเงินได้ก้อนโต คุณไม่ควรเลี้ยงข้าวผมหรอ”     เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่าเขาหมายถึงโรงแรมอิมพีเรียล เธอคลายยิ้มด้วยความจริงใจ “ค่ะ ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณ แต่ฉันจะไม่พาคุณไปร้านอาหารหรูๆ หรอกนะคะ”     “ตามใจคุณเลยครับ” ไซ่ตี้จวิ้นเดินเข้าไปในลิฟต์ เขากดไปที่ชั้นล่าง     ไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก ไซ่ตี้จวิ้นจับมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ จากนั้นดึงตัวเธอเข้าไปในลิฟต์     เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มแล้วมองดูมือของเขาที่จับมือของตนเอง เธอพูดล้อเล่นกับเขา “คุณควรรักษาระยะห่างกับฉันนะคะ ไม่อย่างนั้นหนานกงเยี่ยได้เอาปืนจ่อหัวคุณแน่ ถึงเวลานั้นฉันคงช่วยอะไรคุณไม่ได้”     ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มแห้ง เขาปล่อยมือทันที นัยน์ตาของเขาฉายความเจ็บปวด “คุณกำลังหัวเราะเยาะที่ผมเป็นแค่คนไม่เอาไหนใช่ไหมครับ”     “เปล่านะคะ” เหลิ่งรั่วปิงตอบด้วยความจริงใจ สำหรับไซ่ตี้จวิ้นแล้ว เธอสมควรที่จะพูดกับเขาด้วยความจริงใจ เพราะตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้เขาก็จริงใจกับเธอมาโดยตลอด ถึงแม้เธอจะขอร้องให้เขาทำเรื่องที่ผิด แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเธอ เขาถือเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ คนหนึ่งของเธอ “ในเมืองหลง ไม่มีใครสามารถขัดคำสั่งของหนานกงเยี่ยได้ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ”     ไซ่ตี้จวิ้นพยักหน้าด้วยความซึ้งใจ รอยยิ้มของเธอทำให้เขารู้สึกถูกปลอบประโลม     เวลานี้ ลิฟต์เปิดอีกครั้ง พวกเขามาถึงชั้นใต้ดินแล้ว ไซ่ตี้จวิ้นคว้าจับข้อมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ จากนั้นพาเธอเดินออกมาจากลิฟต์ แล้วไปที่รถยนต์ของตนเอง     บนรถ เขายังคงเป็นเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน เขารัดเข็มขัดนิรภัยให้เธอด้วยความสุภาพ จากนั้นขับรถออกไป     “คุณอยากเลี้ยงอะไรผมครับ”     “ไปกินชาบูกันเถอะค่ะ อากาศหนาวๆ แบบนี้ กินชาบูอร่อยที่สุด” เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มแล้วพูดขึ้น “ส่วนจะกินร้านไหนคุณเป็นคนเลือกเองเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยรู้จักร้านอาหารในเมืองหลง แต่คุณอย่าเลือกร้านที่ดูแพงมากนะคะ” เธอไม่ได้กลับเมืองหลงมาสิบปีแล้ว อะไรหลายๆ อย่างที่นี่เปลี่ยนไปมาก ทำให้เธอไม่ชินกับถนนหนทางที่นี่     “ครับ” ไซ่ตี้จวิ้นคลายยิ้มแล้วขับรถออกไป     สุดท้ายแล้ว ไซ่ตี้จวิ้นได้เลือกร้านชาบูที่ราคาปานกลางทั้งยังดูสะอาดถูกหลักอนามัย ทั้งสองเลือกที่จะนั่งในห้องอาหาร     ถึงแม้ว่าร้านชาบูแห่งนี้จะไม่ใช่ร้านชาบูหรูของเมืองหลง แต่การบริการของร้านนี้ดีมาก อีกทั้งยังสะอาด พวกเขาให้หม้อชาบูเล็กๆ คนละหนึ่งใบ น้ำซุปของที่นี่หอมมาก     เหลิ่งรั่วปิงถอดเสื้อกันหนาวขนของตนเองออก จากนั้นก็เริ่มตักพักและเนื้อลงในหม้อของตนเอง ไอร้อนที่ฟุ้งขึ้นมาทำให้เธอดูสวยมาก     ไซ่ตี้จวิ้นมองจนตาค้างไปครู่หนึ่ง ตอนที่เธอหันมาสบตาเขาแล้วคลายยิ้ม เขายิ้มตอบกลับเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าลงตักผักลงในหม้อของตนเอง วินาทีที่เขาก้มหน้าลง นัยน์ตาของเขาฉายความเศร้าออกมา เขาคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็ต้องได้ ตอนนี้เขาในวัยยี่สิบเจ็ด มีบริษัทไซ่เหวยเป็นของตนเอง สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ แต่เขากลับไม่สามารถรักผู้หญิงตรงหน้าได้     หนานกงเยี่ย เขาเป็นคนที่ไซ่ตี้จวิ้นไม่สามารถเอาชนะได้     “วันนี้คุณลั่วเฮิ่งติดต่อมาหาผมครับ” ไซ่ตี้จวิ้นพูดอย่างเป็นธรรมชาติ     เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม เธอไม่ได้พูดอะไร เธอรู้ดีว่าคนแก่เจ้าเล่ห์อย่างลั่วเฮิ่ง ต้องไม่มีวันเชื่อตนง่ายๆ อยู่แล้ว การที่เขาติดต่อไปหาไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง     “ผมบอกเขาแล้ว ผมจะให้ความร่วมมือกับคุณ” ไซ่ตี้จวิ้นพูดต่อ “ตอนนี้เขาอยากจะเซ็นสัญญากับบริษัทไซ่เหวยจนตัวสั่นแล้ว”     สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ไซ่ตี้จวิ้น ขอบคุณนะคะ” ประธานบริษัทระหว่างประเทศ รู้จักกับเธอในระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับยินดีช่วยเธอทำเอกสารเท็จ ยินดีแบกรับความเสี่ยง เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ     ไซ่ตี้จวิ้นนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะเรียกชื่อเขาแบบนี้ หัวใจของเขารู้สึกอ่อนปวกเปียกขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันผมจะกลับไปประเทศเอ้าตูแล้ว ก่อนจะกลับไปผมจะเซ็นสัญญาทุกอย่างให้เรียบร้อย”     ประเทศเอ้าตู เป็นประเทศที่สวยมาก เป็นประเทศที่ประชาชนมีน้ำใจ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกประทับใจกับประเทศนี้ เธอเคยคิดว่าในอนาคตตนเองจะไปใช้ชีวิตที่ประเทศเอ้าตู     “วันมะรืน ชาญเมืองทางด้านทิศตะวันตก เครื่องบินส่วนตัว” ไซ่ตี้จวิ้นมองลึกเข้าไปยังดวงตาของเหลิ่งรั่วปิง “คุณจะไปกับผมไหม”     ไปกับเขา? เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกหวั่นไหว แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอชอบเขา แต่เป็นเพราะเธออยากไปใช้ชีวิตที่ประเทศนั้น อีกทั้งไซ่ตี้จวิ้นก็มีความเป็นสุภาพบุรุษมากด้วย เขาไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกรังเกียจ แต่ว่า…     “ไม่ค่ะ ฉันยังมีเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ”     “แลนด์มาร์คเมืองหลงสำคัญมากขนาดนั้นเชียวหรอ คุณสามารถไปเป็นสถาปนิกที่ประเทศเอ้าตูได้ ผมจะทำให้คุณได้รับโอกาสมากมาย”     เหลิ่งรั่วปิงเงียบ ชาติกำเนิดของเธอเป็นความลับที่ห้ามบอกใคร ความแค้นของเธอก็เป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ ถึงแม้จะมีโอกาสดีๆ มากมายในชีวิต แต่นั่นก็ไม่สามารถเทียบกับแลน์มาร์คเมืองหลงได้เลย ถึงแม้วันข้างหน้าเธอจะไปใช้ชีวิตที่ประเทศเอ้าตู แต่ก็ไม่สามารถไปในฐานะนี้ เธอต้องเป็นตนเองอีกคนหนึ่ง ห้ามให้วิหารซีหลิงจับได้เด็ดขาด ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วระหว่างเธอกับไซ่ตี้จวิ้นก็เป็นได้แค่คนที่เดินคนละทาง     “ฉันได้ออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลงไปกว่าครึ่งแล้ว ฉันไม่อยากทำแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วทิ้งมันไป” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย “คุณไซ่ตี้จวิ้น ถึงแม้พวกเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ว่าฉันไม่เกลียดคุณ ฉันเห็นคุณเป็นเพื่อนมาโดยตลอด”     ถึงแม้เขาไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเธอ แต่ไซ่ตี้จวิ้นก็รู้สึกดีใจมาก เขาแอบสืบข้อมูลของเหลิ่งรั่วปิงมาแล้ว เธอไม่มีญาติและไม่มีเพื่อน เธอเป็นผู้หญิงเย็นชาและเก็บความในใจเอาไว้ เวลานี้เธอเห็นเขาเป็นเพื่อน เขาก็รู้สึกดีใจมากแล้ว     “รั่วปิง” ไซ่ตี้จวิ้นยื่นมือไปจับมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ “ผมอยู่ที่ประเทศเอ้าตูตลอดเวลา ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณอยากจะไปที่นั่น อย่าลืมมาหาผมนะ”     “ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า แม้ว่าเธอจะไปประเทศเอ้าตูในอีกฐานะหนึ่ง และไม่มีวันไปหาเขา แต่คำพูดของเขาก็ทำให้เธอซาบซึ้งใจมาก     หลังจากกินอาหารเสร็จก็ดึกมาแล้ว     อากาศในคืนฤดูหนาวเป็นอะไรที่หนาวมาก รถที่ขับเคลื่อนไปมาบนท้องถนนก็เหลือน้อย     ไซ่ตี้จวิ้นปรับอุณหภมูิในรถยนต์ให้อุ่น เขาชับรถกลับไปโรงแรมช้าๆ โอกาสที่จะได้อยู่กับเธอสองคนแบบนี้คงหายากแล้ว เขาพยายามจะยื้อเวลาเอาไว้     เพราะความเจ็บปวด ทำให้ไม่รู้จะพูดอะไร ไซ่ตี้จวิ้นหยิบแผ่น DVD ออกมาเปิดเพลง เขาเปิดเพลงที่เหลิ่งรั่วปิงชอบฟังตอนที่ขับรถไปเมืองหลงด้วยกัน เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำให้เขานึกถึงวันเวลาที่ได้รู้จักกับเธอ ภาพแต่ละภาพค่อยๆ หวนกลับมา เขารู้สึกเหมือนตนเองรู้จักกับเธอมานานหลายปี ระหว่างพวกเขา มีความทรงจำด้วยกันมากมาย รอยยิ้มของเธอตราตรึงอยู่ในใจของเขา     อาจจะเป็นเพราะความคิดถึงของเขามันชัดเจนเกินไป ทำให้เหลิ่งรั่วปิงสัมผัสได้ เธอเองก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน บนโลกใบนี้ นอกจากพ่อแล้ว ไซ่ตี้จวิ้นเป็นผู้ชายคนแรกที่จริงใจกับเธอ เธอคิดในใจว่าถ้าไม่มีหนานกงเยี่ย เธอจะเปิดใจให้ผู้ชายคนนี้? ไม่ เธอเองก็ไม่รู้ ชีวิตของมนุษย์เราไม่มีคำว่าถ้าหาก ความรู้สึกหวั่นไหวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ความรู้สึกของเธอที่มีต่อไซ่ตี้จวิ้นเป็นเพียงแค่ความหวั่นไหวเท่านั้น     ตอนนี้เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่หนานกงเยี่ยสามารถทำอะไรก็ได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เขาเลี้ยงดูแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เริ่มจากความรัก มันเริ่มจากความต้องการของเขาเท่านั้น     ไซ่ตี้จวิ้นเป็นผู้ชายคนแรกที่ยอมจดทะเบียนสมรสกับเธอ หนานกงเยี่ยจะดีแค่ไหน ซือคงอวี้จะดีแค่ไหน พวกเขาก็เพียงแต่ต้องการให้เธอเป็นแค่ผู้หญิงของพวกเขา พวกเขาไม่เคยพูดเรื่องแต่งงานกับเธอ     ดังนั้น ไซ่ตี้จวิ้นเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวที่สุด     รถเคลื่อนตัวอยู่บนท้องถนนท่ามกลางความมืด ไฟข้างถนนสีส้มอ่อนๆ ส่องสว่าง คนที่อยู่ในรถต่างก็นั่งเงียบ     ทันใดนั้นเอง เสียงนกหวีดดังขึ้นทำลายความเงียบ ไซ่ตี้จวิ้นหันไปมองตามต้นเสียง มีรถบรรทุกขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว รถคันนั้นสูญเสียการควบคุมแล้ว ถึงแม้ว่ารถยนต์ของเขาจะเป็นรถหรูระดับโลก แต่ถ้าถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนแบบนี้ก็พังยับแน่ๆ     แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว รถบรรทุกคันนั้นพุ่งตัวเข้ามาอย่างแรง     ไซ่ตี้จวิ้นรีบหมุนพวงมาลัยไปทางขวาอย่างรวดเร็ว     ปั้ง!     วินาทีนั้น รถบรรทุกขนาดใหญ่ชนเข้ากับฝั่งคนขับ รถของไซ่ตี้จวิ้นหมุนตลบหลายรอบ ชนเข้ากับเสากั้นข้างถนนจนรถยนต์ถึงกับพังยับ ทว่ารถบรรทุกไม่ได้หยุดจอด มันหายไปท่ามกลางความมืด     ณ ชั้นบนสุดของโรงแรมหรู หญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มือของเธอจับกล้องส่องทางไกลเอาไว้ เธอมองเห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่าง วินาทีที่รถพุ่งชนกัน มุมปากของเธอแสยะยิ้ม นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด     ลู่หวาหนงเก็บแว่นสองทางไกล เธอถอดชุดนอนของตนเองออก เดินเปลือยเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับแช่น้ำอุ่นในอ่างแล้วหัวเราะเสียงดัง เสียงของเธอเหมือนเสียงหัวเราะจากนรถ  แม้ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะโชคดีมีชีวิตรอด แต่ถ้าหนานกงเยี่ยรู้ว่าแกแอบไปเจอผู้ชายคนอื่นตอนกลางดึกแบบนี้ เขาก็ไม่มีวันไว้ชีวิตแก ไม่ว่าอย่างไรแกก็ตายในมือของฉันลู่หวาหนง!     การชนอย่างแรงเมื่อครู่ทำให้เหลิ่งรั่วปิงเวียนศีรษะ หลังจากที่เธอนั่งพักเพื่อดึงสติตนเองกลับมา เธอก็รีบหันไปมองไซ่ตี้จวิ้น     ไซ่ตี้จวิ้นฟุบตัวอยู่บนพวงมาลัย หน้าผากของเขามีเลือดไหลออกมา ตัวของเขาสั่นเทา เหมือนกำลังอดทนกับความเจ็บปวด     “คุณไซ่ตี้จวิ้น คุณเป็นยังไงบ้างคะ” เหลิ่งรั่วปิงรีบเรียกเขา เธอไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าไหร่ แค่ฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้น เธอจำได้ดีว่าวินาทีที่อันตรายที่สุด เขาหมุนเปลี่ยนพวงมาลัยเพื่อที่จะปกป้องเธอ ไม่อย่างนั้นคนที่จะถูกรถบรรทุกชนเข้าเต็มๆ ก็คือเธอ     คนเราจะเปิดเผยธาตุแท้ของตนเองออกมาในวินาทีที่อันตรายที่สุด และวินาทีนั้นไซ่ตี้จวิ้นเลือกที่จะเสียสละตนเองเพื่อปกป้องเธอ     เวลานี้ เธอยังจะต้องสงสัยอีกหรอว่าเขาจริงใจกับเธอไหม     น้ำตาของเหลิ่งรั่วปิงร่วงลงมา เธอไม่ได้ร้องไห้านานแล้ว     ไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนเหลิ่งรั่วปิง อาจจะเป็นเพราะไม่มีแรงหรืออาจจะเป็นเพราะยังไม่มีสติ แต่เขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ไซ่ตี้จวิ้นคลายยิ้มบางๆ “อย่ากังวลไปเลย ผมไม่ตายหรอก”     ถึงแม้เขาจะพยายามฝืนยิ้ม แต่สีหน้าที่ซีดขาวของเขา ทำให้เหลิ่งรั่วปิงรู้ว่าเขากำลังอดทนกับความเจ็บปวด     “เจ็บตรงไหนบ้างคะ” เหลิ่งรั่วปิงถามด้วยความเป็นห่วง     “ขา” ไซ่ตี้จวิ้นชี้ไปที่ขาด้านขวาของตนเอง เวลานี้ทางด้านซ้านของรถยนต์พังยับ ขาของเขาติดอยู่ในรถ     เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่ผู้หญิงบอบบาง เธอเคยตกอยู่ในสถานการณ์ขับขันมากมาย เธอรู้ดีว่าต้องช่วยชีวิตคนอย่างไร เหลิ่งรั่วปิงรีบเปิดประตูรถ จากนั้นวิ่งไปอีกด้านหนึ่ง เธอเปิดประตูฝั่งคนขับ “เอาขาออกมาก่อนค่ะ”     “ครับ” นัยน์ตาของไซ่ตี้จวิ้นฉายความชื่นชม เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะใจกล้ามากขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะเอาแต่ร้องไห้แล้ว แต่เธอกลับมีสติและรีบมาช่วยเขา

ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มร่า เขาใช้รอยยิ้มที่อ่อนโยนเพื่อปิดบังความเจ็บปวดในใจ “เลี้ยงข้าวผมได้ไหมครับ” ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่งที่สุภาพ

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเบะปาก “ผู้ชายรวยๆ อย่างคุณ ขอร้องให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าวแบบนี้ มันจะดีหรอคะ”

 

 

“ฮ่าๆๆ…” ไซ่ตี้จวิ้นหัวเราะเสียงเบา “ผมช่วยทำให้คุณหาเงินได้ก้อนโต คุณไม่ควรเลี้ยงข้าวผมหรอ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่าเขาหมายถึงโรงแรมอิมพีเรียล เธอคลายยิ้มด้วยความจริงใจ “ค่ะ ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณ แต่ฉันจะไม่พาคุณไปร้านอาหารหรูๆ หรอกนะคะ”

 

 

“ตามใจคุณเลยครับ” ไซ่ตี้จวิ้นเดินเข้าไปในลิฟต์ เขากดไปที่ชั้นล่าง

 

 

ไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก ไซ่ตี้จวิ้นจับมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ จากนั้นดึงตัวเธอเข้าไปในลิฟต์

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มแล้วมองดูมือของเขาที่จับมือของตนเอง เธอพูดล้อเล่นกับเขา “คุณควรรักษาระยะห่างกับฉันนะคะ ไม่อย่างนั้นหนานกงเยี่ยได้เอาปืนจ่อหัวคุณแน่ ถึงเวลานั้นฉันคงช่วยอะไรคุณไม่ได้”

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มแห้ง เขาปล่อยมือทันที นัยน์ตาของเขาฉายความเจ็บปวด “คุณกำลังหัวเราะเยาะที่ผมเป็นแค่คนไม่เอาไหนใช่ไหมครับ”

 

 

“เปล่านะคะ” เหลิ่งรั่วปิงตอบด้วยความจริงใจ สำหรับไซ่ตี้จวิ้นแล้ว เธอสมควรที่จะพูดกับเขาด้วยความจริงใจ เพราะตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้เขาก็จริงใจกับเธอมาโดยตลอด ถึงแม้เธอจะขอร้องให้เขาทำเรื่องที่ผิด แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเธอ เขาถือเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ คนหนึ่งของเธอ “ในเมืองหลง ไม่มีใครสามารถขัดคำสั่งของหนานกงเยี่ยได้ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ”

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นพยักหน้าด้วยความซึ้งใจ รอยยิ้มของเธอทำให้เขารู้สึกถูกปลอบประโลม

 

 

เวลานี้ ลิฟต์เปิดอีกครั้ง พวกเขามาถึงชั้นใต้ดินแล้ว ไซ่ตี้จวิ้นคว้าจับข้อมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ จากนั้นพาเธอเดินออกมาจากลิฟต์ แล้วไปที่รถยนต์ของตนเอง

 

 

บนรถ เขายังคงเป็นเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน เขารัดเข็มขัดนิรภัยให้เธอด้วยความสุภาพ จากนั้นขับรถออกไป

 

 

“คุณอยากเลี้ยงอะไรผมครับ”

 

 

“ไปกินชาบูกันเถอะค่ะ อากาศหนาวๆ แบบนี้ กินชาบูอร่อยที่สุด” เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มแล้วพูดขึ้น “ส่วนจะกินร้านไหนคุณเป็นคนเลือกเองเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยรู้จักร้านอาหารในเมืองหลง แต่คุณอย่าเลือกร้านที่ดูแพงมากนะคะ” เธอไม่ได้กลับเมืองหลงมาสิบปีแล้ว อะไรหลายๆ อย่างที่นี่เปลี่ยนไปมาก ทำให้เธอไม่ชินกับถนนหนทางที่นี่

 

 

“ครับ” ไซ่ตี้จวิ้นคลายยิ้มแล้วขับรถออกไป

 

 

สุดท้ายแล้ว ไซ่ตี้จวิ้นได้เลือกร้านชาบูที่ราคาปานกลางทั้งยังดูสะอาดถูกหลักอนามัย ทั้งสองเลือกที่จะนั่งในห้องอาหาร

 

 

ถึงแม้ว่าร้านชาบูแห่งนี้จะไม่ใช่ร้านชาบูหรูของเมืองหลง แต่การบริการของร้านนี้ดีมาก อีกทั้งยังสะอาด พวกเขาให้หม้อชาบูเล็กๆ คนละหนึ่งใบ น้ำซุปของที่นี่หอมมาก

 

 

เหลิ่งรั่วปิงถอดเสื้อกันหนาวขนของตนเองออก จากนั้นก็เริ่มตักพักและเนื้อลงในหม้อของตนเอง ไอร้อนที่ฟุ้งขึ้นมาทำให้เธอดูสวยมาก

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นมองจนตาค้างไปครู่หนึ่ง ตอนที่เธอหันมาสบตาเขาแล้วคลายยิ้ม เขายิ้มตอบกลับเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าลงตักผักลงในหม้อของตนเอง วินาทีที่เขาก้มหน้าลง นัยน์ตาของเขาฉายความเศร้าออกมา เขาคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็ต้องได้ ตอนนี้เขาในวัยยี่สิบเจ็ด มีบริษัทไซ่เหวยเป็นของตนเอง สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ แต่เขากลับไม่สามารถรักผู้หญิงตรงหน้าได้

 

 

หนานกงเยี่ย เขาเป็นคนที่ไซ่ตี้จวิ้นไม่สามารถเอาชนะได้

 

 

“วันนี้คุณลั่วเฮิ่งติดต่อมาหาผมครับ” ไซ่ตี้จวิ้นพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม เธอไม่ได้พูดอะไร เธอรู้ดีว่าคนแก่เจ้าเล่ห์อย่างลั่วเฮิ่ง ต้องไม่มีวันเชื่อตนง่ายๆ อยู่แล้ว การที่เขาติดต่อไปหาไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง

 

 

“ผมบอกเขาแล้ว ผมจะให้ความร่วมมือกับคุณ” ไซ่ตี้จวิ้นพูดต่อ “ตอนนี้เขาอยากจะเซ็นสัญญากับบริษัทไซ่เหวยจนตัวสั่นแล้ว”

 

 

สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ไซ่ตี้จวิ้น ขอบคุณนะคะ” ประธานบริษัทระหว่างประเทศ รู้จักกับเธอในระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับยินดีช่วยเธอทำเอกสารเท็จ ยินดีแบกรับความเสี่ยง เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะเรียกชื่อเขาแบบนี้ หัวใจของเขารู้สึกอ่อนปวกเปียกขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันผมจะกลับไปประเทศเอ้าตูแล้ว ก่อนจะกลับไปผมจะเซ็นสัญญาทุกอย่างให้เรียบร้อย”

 

 

ประเทศเอ้าตู เป็นประเทศที่สวยมาก เป็นประเทศที่ประชาชนมีน้ำใจ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกประทับใจกับประเทศนี้ เธอเคยคิดว่าในอนาคตตนเองจะไปใช้ชีวิตที่ประเทศเอ้าตู

 

 

“วันมะรืน ชาญเมืองทางด้านทิศตะวันตก เครื่องบินส่วนตัว” ไซ่ตี้จวิ้นมองลึกเข้าไปยังดวงตาของเหลิ่งรั่วปิง “คุณจะไปกับผมไหม”

 

 

ไปกับเขา? เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกหวั่นไหว แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอชอบเขา แต่เป็นเพราะเธออยากไปใช้ชีวิตที่ประเทศนั้น อีกทั้งไซ่ตี้จวิ้นก็มีความเป็นสุภาพบุรุษมากด้วย เขาไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกรังเกียจ แต่ว่า…

 

 

“ไม่ค่ะ ฉันยังมีเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ”

 

 

“แลนด์มาร์คเมืองหลงสำคัญมากขนาดนั้นเชียวหรอ คุณสามารถไปเป็นสถาปนิกที่ประเทศเอ้าตูได้ ผมจะทำให้คุณได้รับโอกาสมากมาย”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเงียบ ชาติกำเนิดของเธอเป็นความลับที่ห้ามบอกใคร ความแค้นของเธอก็เป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ ถึงแม้จะมีโอกาสดีๆ มากมายในชีวิต แต่นั่นก็ไม่สามารถเทียบกับแลน์มาร์คเมืองหลงได้เลย ถึงแม้วันข้างหน้าเธอจะไปใช้ชีวิตที่ประเทศเอ้าตู แต่ก็ไม่สามารถไปในฐานะนี้ เธอต้องเป็นตนเองอีกคนหนึ่ง ห้ามให้วิหารซีหลิงจับได้เด็ดขาด ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วระหว่างเธอกับไซ่ตี้จวิ้นก็เป็นได้แค่คนที่เดินคนละทาง

 

 

“ฉันได้ออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลงไปกว่าครึ่งแล้ว ฉันไม่อยากทำแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วทิ้งมันไป” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย “คุณไซ่ตี้จวิ้น ถึงแม้พวกเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ว่าฉันไม่เกลียดคุณ ฉันเห็นคุณเป็นเพื่อนมาโดยตลอด”

 

 

ถึงแม้เขาไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเธอ แต่ไซ่ตี้จวิ้นก็รู้สึกดีใจมาก เขาแอบสืบข้อมูลของเหลิ่งรั่วปิงมาแล้ว เธอไม่มีญาติและไม่มีเพื่อน เธอเป็นผู้หญิงเย็นชาและเก็บความในใจเอาไว้ เวลานี้เธอเห็นเขาเป็นเพื่อน เขาก็รู้สึกดีใจมากแล้ว

 

 

“รั่วปิง” ไซ่ตี้จวิ้นยื่นมือไปจับมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ “ผมอยู่ที่ประเทศเอ้าตูตลอดเวลา ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณอยากจะไปที่นั่น อย่าลืมมาหาผมนะ”

 

 

“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า แม้ว่าเธอจะไปประเทศเอ้าตูในอีกฐานะหนึ่ง และไม่มีวันไปหาเขา แต่คำพูดของเขาก็ทำให้เธอซาบซึ้งใจมาก

 

 

หลังจากกินอาหารเสร็จก็ดึกมาแล้ว

 

 

อากาศในคืนฤดูหนาวเป็นอะไรที่หนาวมาก รถที่ขับเคลื่อนไปมาบนท้องถนนก็เหลือน้อย

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นปรับอุณหภมูิในรถยนต์ให้อุ่น เขาชับรถกลับไปโรงแรมช้าๆ โอกาสที่จะได้อยู่กับเธอสองคนแบบนี้คงหายากแล้ว เขาพยายามจะยื้อเวลาเอาไว้

 

 

เพราะความเจ็บปวด ทำให้ไม่รู้จะพูดอะไร ไซ่ตี้จวิ้นหยิบแผ่น DVD ออกมาเปิดเพลง เขาเปิดเพลงที่เหลิ่งรั่วปิงชอบฟังตอนที่ขับรถไปเมืองหลงด้วยกัน เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำให้เขานึกถึงวันเวลาที่ได้รู้จักกับเธอ ภาพแต่ละภาพค่อยๆ หวนกลับมา เขารู้สึกเหมือนตนเองรู้จักกับเธอมานานหลายปี ระหว่างพวกเขา มีความทรงจำด้วยกันมากมาย รอยยิ้มของเธอตราตรึงอยู่ในใจของเขา

 

 

อาจจะเป็นเพราะความคิดถึงของเขามันชัดเจนเกินไป ทำให้เหลิ่งรั่วปิงสัมผัสได้ เธอเองก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน บนโลกใบนี้ นอกจากพ่อแล้ว ไซ่ตี้จวิ้นเป็นผู้ชายคนแรกที่จริงใจกับเธอ เธอคิดในใจว่าถ้าไม่มีหนานกงเยี่ย เธอจะเปิดใจให้ผู้ชายคนนี้? ไม่ เธอเองก็ไม่รู้ ชีวิตของมนุษย์เราไม่มีคำว่าถ้าหาก ความรู้สึกหวั่นไหวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ความรู้สึกของเธอที่มีต่อไซ่ตี้จวิ้นเป็นเพียงแค่ความหวั่นไหวเท่านั้น

 

 

ตอนนี้เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่หนานกงเยี่ยสามารถทำอะไรก็ได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เขาเลี้ยงดูแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เริ่มจากความรัก มันเริ่มจากความต้องการของเขาเท่านั้น

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นเป็นผู้ชายคนแรกที่ยอมจดทะเบียนสมรสกับเธอ หนานกงเยี่ยจะดีแค่ไหน ซือคงอวี้จะดีแค่ไหน พวกเขาก็เพียงแต่ต้องการให้เธอเป็นแค่ผู้หญิงของพวกเขา พวกเขาไม่เคยพูดเรื่องแต่งงานกับเธอ

 

 

ดังนั้น ไซ่ตี้จวิ้นเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวที่สุด

 

 

รถเคลื่อนตัวอยู่บนท้องถนนท่ามกลางความมืด ไฟข้างถนนสีส้มอ่อนๆ ส่องสว่าง คนที่อยู่ในรถต่างก็นั่งเงียบ

 

 

ทันใดนั้นเอง เสียงนกหวีดดังขึ้นทำลายความเงียบ ไซ่ตี้จวิ้นหันไปมองตามต้นเสียง มีรถบรรทุกขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว รถคันนั้นสูญเสียการควบคุมแล้ว ถึงแม้ว่ารถยนต์ของเขาจะเป็นรถหรูระดับโลก แต่ถ้าถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนแบบนี้ก็พังยับแน่ๆ

 

 

แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว รถบรรทุกคันนั้นพุ่งตัวเข้ามาอย่างแรง

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นรีบหมุนพวงมาลัยไปทางขวาอย่างรวดเร็ว

 

 

ปั้ง!

 

 

วินาทีนั้น รถบรรทุกขนาดใหญ่ชนเข้ากับฝั่งคนขับ รถของไซ่ตี้จวิ้นหมุนตลบหลายรอบ ชนเข้ากับเสากั้นข้างถนนจนรถยนต์ถึงกับพังยับ ทว่ารถบรรทุกไม่ได้หยุดจอด มันหายไปท่ามกลางความมืด

 

 

ณ ชั้นบนสุดของโรงแรมหรู หญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มือของเธอจับกล้องส่องทางไกลเอาไว้ เธอมองเห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่าง วินาทีที่รถพุ่งชนกัน มุมปากของเธอแสยะยิ้ม นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด

 

 

ลู่หวาหนงเก็บแว่นสองทางไกล เธอถอดชุดนอนของตนเองออก เดินเปลือยเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับแช่น้ำอุ่นในอ่างแล้วหัวเราะเสียงดัง เสียงของเธอเหมือนเสียงหัวเราะจากนรถ  แม้ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะโชคดีมีชีวิตรอด แต่ถ้าหนานกงเยี่ยรู้ว่าแกแอบไปเจอผู้ชายคนอื่นตอนกลางดึกแบบนี้ เขาก็ไม่มีวันไว้ชีวิตแก ไม่ว่าอย่างไรแกก็ตายในมือของฉันลู่หวาหนง!

 

 

การชนอย่างแรงเมื่อครู่ทำให้เหลิ่งรั่วปิงเวียนศีรษะ หลังจากที่เธอนั่งพักเพื่อดึงสติตนเองกลับมา เธอก็รีบหันไปมองไซ่ตี้จวิ้น

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นฟุบตัวอยู่บนพวงมาลัย หน้าผากของเขามีเลือดไหลออกมา ตัวของเขาสั่นเทา เหมือนกำลังอดทนกับความเจ็บปวด

 

 

“คุณไซ่ตี้จวิ้น คุณเป็นยังไงบ้างคะ” เหลิ่งรั่วปิงรีบเรียกเขา เธอไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าไหร่ แค่ฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้น เธอจำได้ดีว่าวินาทีที่อันตรายที่สุด เขาหมุนเปลี่ยนพวงมาลัยเพื่อที่จะปกป้องเธอ ไม่อย่างนั้นคนที่จะถูกรถบรรทุกชนเข้าเต็มๆ ก็คือเธอ

 

 

คนเราจะเปิดเผยธาตุแท้ของตนเองออกมาในวินาทีที่อันตรายที่สุด และวินาทีนั้นไซ่ตี้จวิ้นเลือกที่จะเสียสละตนเองเพื่อปกป้องเธอ

 

 

เวลานี้ เธอยังจะต้องสงสัยอีกหรอว่าเขาจริงใจกับเธอไหม

 

 

น้ำตาของเหลิ่งรั่วปิงร่วงลงมา เธอไม่ได้ร้องไห้านานแล้ว

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนเหลิ่งรั่วปิง อาจจะเป็นเพราะไม่มีแรงหรืออาจจะเป็นเพราะยังไม่มีสติ แต่เขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ไซ่ตี้จวิ้นคลายยิ้มบางๆ “อย่ากังวลไปเลย ผมไม่ตายหรอก”

 

 

ถึงแม้เขาจะพยายามฝืนยิ้ม แต่สีหน้าที่ซีดขาวของเขา ทำให้เหลิ่งรั่วปิงรู้ว่าเขากำลังอดทนกับความเจ็บปวด

 

 

“เจ็บตรงไหนบ้างคะ” เหลิ่งรั่วปิงถามด้วยความเป็นห่วง

 

 

“ขา” ไซ่ตี้จวิ้นชี้ไปที่ขาด้านขวาของตนเอง เวลานี้ทางด้านซ้านของรถยนต์พังยับ ขาของเขาติดอยู่ในรถ

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่ผู้หญิงบอบบาง เธอเคยตกอยู่ในสถานการณ์ขับขันมากมาย เธอรู้ดีว่าต้องช่วยชีวิตคนอย่างไร เหลิ่งรั่วปิงรีบเปิดประตูรถ จากนั้นวิ่งไปอีกด้านหนึ่ง เธอเปิดประตูฝั่งคนขับ “เอาขาออกมาก่อนค่ะ”

 

 

“ครับ” นัยน์ตาของไซ่ตี้จวิ้นฉายความชื่นชม เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะใจกล้ามากขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะเอาแต่ร้องไห้แล้ว แต่เธอกลับมีสติและรีบมาช่วยเขา

เดิมพันเสน่หา

เดิมพันเสน่หา

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset