เดิมพันเสน่หา 81 รู้สึกไปเอง? เขาเจ็บใจ

ตอนที่ 81 รู้สึกไปเอง? เขาเจ็บใจ

เหลิ่งรั่วปิงแทบจะหายใจไม่ออก เธอทรุดตัวลงนั่งบนตักของหนานกงเยี่ย ท่านั่งแบบนี้ไม่สบายเลยสักนิด เธอพยายามที่จะขัดขืนเขา แต่กลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ยิ่งเธอขัดขืนมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งกอดเธอแน่น จนสุดท้าย เธอก็ทำได้เพียงแค่ล้มเลิกความคิดของตนเอง     หนานกงเยี่ยจูบเธอด้วยความกระหาย คล้ายกับว่าเขากำลังเรียกร้องความยุติธรรมบางอย่าง จูบในครั้งนี้ของเขายาวนาน     ตอนที่ผละออกจากกัน ทั้งสองหายใจหอบเพราะขาดออกซิเจน     เหลิ่งรั่วปิงทั้งเขินและโกรธ ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ เมื่อท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกดิน     หนานกงเยี่ยยิ้มอย่างพอใจ เขาเลียริมฝีปากของตนเองที่ยังรู้สึกชาเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยรสชาติของเธอ อารมณ์ขุ่นหมองที่มีก่อนหน้านี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เขาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังรอให้ผู้ใหญ่ตบรางวัล และในที่สุดก็ได้ลูกอมไปครอบครอง     “หนานกงเยี่ย คุณ…” เหลิ่งรั่วปิงหายใจหอบ พร้อมด้วยยื่นมือออกไปจะตีเขา ทว่าหนานกงเยี่ยกลับไม่หลบและไม่หยุดเธอ ในทางกลับกันเขากลับยิ้มต้อนรับ ทำให้มือของเธอที่ตีลงไปนั้น กลายเป็นการตีที่ไม่มีน้ำหนัก คล้ายเป็นความเขินอายเสียมากกว่า     ผลลัพธ์แบบนี้ ทำให้เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกประหม่า พระเจ้าเป็นพยานได้ เธอไม่ได้คิดจะตีเขาด้วยความเขินอาย ทว่าในสายตาของหนานกวเยี่ย สิ่งที่เธอทำเป็นเพราะความเขินอายชัดๆ เขาคลายยิ้มด้วยความชอบใจ     “เหลิ่วรั่วปิง คุณยิ่งอยู่ก็ยิ่งใจกล้า ยิ่งอยู่ก็ยิ่งกล้าต่อต้านผม หืม?” หนานกงเยี่ยใช้นิ้วโป้งเกบี่ยริมฝีปากของเธอเบาๆ ถึงแม้เขาจะพูดตำหนิ แต่น้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู     เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกประหม่ากับคำพูดของเขา แต่เธอยังคงปากแข็ง “คุณยิ่งอยู่ยิ่งปัญญาอ่อนมากกว่า”     สีหน้าของหนานกงเยี่ยเคร่งขรึมทันที “คุณกล้าหาว่าผมปัญญาอ่อน!”     “คุณไม่ปัญญาอ่อนหรือไงคะ”     “ผมปัญญาอ่อนตรงไหน?”     “ปัญญาอ่อนทุกตรงนั่นแหละ…อร๊าย!” หนานกงเยี่ยโอบเอวเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ เธอเจ็บจนสูดลมหายใจเข้าแล้วร้องซี๊ด “ยังจะบอกว่าไม่ปัญญาอ่อนอีก ตอนอยู่ที่บริษัทคุณเรียกฉันไปพบแล้วลวนลามฉัน ทั้งยังเสียมารยาทกับฉันอีก     “หึๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ มือใหญ่ของเขาลูบจับเส้นผมของเธอ มันนุ่มลื่นมาก ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น “วันนี้กลับมานอนที่วิลล่าหย่าเก๋อนะ หื้ม?”     เหลิ่งรั่วปิงนั่งนิ่ง จากนั้นหันหลังให้เขา “คุณหนานกง คุณอาศัยอำนาจของคุณ จับตัวฉันกลับมาแบบนี้ก็มากพอแล้ว นี่คุณยังจะกลับคำพูด?”     หนานกงเยี่ยนั่งตัวตรง สวมกอดเธอจากด้านหลัง เขาเอาคางเกยหัวไหล่ของเธอ พร้อมพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ครับ ผมไม่ฝืนใจคุณ คุณพูดให้ผมดูแย่มากเลยนะ”     ”คุณดูดีหรอคะ”     หนานกงเยี่ยเม้มกัดใบหูของเธอ “เหลิ่งรั่วปิง คุณอย่าได้คืบเอาศอกแบบนี้สิ เอาแต่พูดให้ร้ายผมไม่จบ”     ใบหูของเธอทั้งเจ็บและชา เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกโมโห เธอเลือกที่จะไม่พูด เพราะเธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้จิตป่วยไปแล้ว ทั้งบ้าและไร้ยางอาย พูดกับคนแบบนี้มันเปล่าประโยชน์     “คุณหนานกงคะ ไม่ทราบว่าคุณยังมีเรื่องงานจะคุยกับฉันไหมคะ ถ้าไม่มีฉันขอตัวกลับก่อนได้ไหมคะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน     หนานกงเยี่ยหัวเราะเบาๆ เขาหันหน้าเหลิ่งรั่วปิงมาหาตน จากนั้นประทับจุมพิตลงมา แล้วจึงปล่อยมือ “ไปเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ผมส่งคุณกลับโรงแรมเอง”     เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่ายิ่งอยู่นาน เธอก็จะยิ่งถูกเขาแกล้ง ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่พูด รีบผละออกมาจากอ้อมกอดของเขาโดยเร็ว     เหลิ่งรั่วปิงเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานด้วยความโมโห เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไป ผู้ช่วยทั้งสองคนมองมาที่เหลิ่งรั่วปิงตาไม่กระพริบ “มองหน้าฉันทำไม ไม่อยากทำงาน?”     ผู้ช่วยทั้งสองคนดึงสติกลับมาทันที พวกเธอก้มหน้าก้มตาทำงาน ใบหน้าของพวกเธอแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย     เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว เดินไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง เธอหยิบกระจกขึ้นมาส่อง วินาทีนั้น เธอแทบอยากจะกระโจนเข้าใส่หนานกงเยี่ย ผิวของเธอเนียนมาก ทั้งยังขาวอีกด้วย แค่หยิกนิดหน่อยก็ทิ้งรอยแดงเอาไว้แล้ว เมื่อกี้หนานกวเยี่ยจูบเธออย่างเร่าร้อน ทำให้เวลานี้ริมฝีปากของเธอชุ่มช่ำ แค่มองก็รู้แล้วว่าเธอไปทำอะไร     เมื่อกี้หนานกงเยี่ยเป็นคนโทรตามเธอไปพบ เธอไปหาเขาแล้วกลับมาในสภาพนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าไปทำอะไรมา     เหลิ่งรั่วปิงจับไม้บรรทัดในมือแน่ร เธอกัดฟันกรอด ทำหน้านิ่งแล้วทำงานของตนเองต่อ เธอรู้สึกว่าหนานกงเยี่ยโรคจิต     หนานกงเยี่ยเอาแต่อมยิ้มแล้วมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตน เขาหยิบกล่องอาหารมาเปิดอีกครั้ง แล้วกินข้าวคำโตๆ นี่คงจะเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในช่วงนี้ของเขา     ตอนเย็นหลังเลิกงาน เหลิ่งรั่วปิงออกจากห้องทำงานเลทเล็กน้อย ซึ่งข้อแรกเป็นเพราะเธอไม่อยากไปเบียดเสียดบนลิฟท์กับคนอื่นๆ ข้อสองเป็นเพราะเธอกลัวคนอื่นจะเห็นว่าเธอขึ้นรถของหนานกงเยี่ย     เหลิ่งรั่วปิงรอให้ทุกคนกลับไปจนหมดก่อน เธอค่อยนั่งลิฟท์ลงมา เธอนั่งตรงมายังลานจอดรถชั้นใต้ดิน จากนั้นรีบวิ่งไปยังรถของหนานกงเยี่ย ทางด้านก่วนอวี้รอเอาไว้ตรงด้านนอกรถยนต์ เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิง เขาก็เปิดประตูรถให้กับเธอด้วยความเคารพ เมื่อเหลิ่งรั่วปิงเข้าไปนั่งในรถ เขาก็ปิดประตูลงด้วยความระมัดระวัง     ก่วนอวี้ขับรถได้นิ่มมาก อีกทั้งเขายังใส่ในรายละเอียดกดปิดที่กั้นของรถให้กับเธอ     อุณหภูมิภายในรถสูงมาก หนานกงเยี่ยสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีดำ เขานั่งพิงโซฟาด้วยความเหนื่อล้า พร้อมทั้งไขว้ขาทั้งสองครั้ง นับตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงขึ้นมาบนรถยนต์ เขาก็เอาแต่ยิ้มกรุ่มกริ่มอยู่ตลอดเวลา     เหลิ่งรั่วปิงเริ่มคุ้นชินกับความบ้าของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เธอขึ้นไปบนรถยนต์พร้อมกับถอดเสื้อกันหนาวขนของตนเองออก จากนั้นอ่านเอกสารในมือตนเองด้วยความตั้งใจ เหลิ่งรั่วปิงไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นเมียเก็บของเขาแล้ว ระหว่างเธอกับเขามีฐานะเท่าเทียมกัน เธอไม่มีวันออดอ้อนคนอย่างเขาเด็ดขาด     “อยากกินอะไร” หนานกงเยี่ยพูดขึ้น เสียงของเขาอ่อนโยนมาก     “ไม่หิวค่ะ ไม่อยากกิน” เธอไม่อยากกินข้าวกับเขา เวลานี้ผู้ชายคนนี้เกินคำบรรยายจริงๆ อยู่ห่างเขาหน่อยจะปลอดภัยที่สุด     หนานกงเยี่ยขมวดคิ้ว เขายื่นมือไปหยิบเอกสารในมือของเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่สบาย?”     การเปลี่ยนไปของเขา ทำให้เหลิ่งรั่วปิงต้องพยายามปรับตัวให้ชิน เธอคลายยิ้มบางๆ “เปล่าค่ะ ฉันแค่ไม่อยากกินเท่านั้น เมื่อตอนเย็นคุณซื้ออาหารมาให้ฉันแล้ว ฉันไม่หิว”     นัยน์ตาหนานกงเยี่ยฉายความไม่พอใจออกมา ผู้หญิงคนนี้โกหกหน้าตายจริงๆ เธอไม่ได้กินอะไรสักหน่อย เธอเอาอาหารที่เขาซื้อให้ไปให้คนอื่นกิน แต่กลับมาพูดโกหกแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากกินข้าวกับเขา     ภายในใจของหนานกงเยี่ยรู้สึกไม่สบอารมณ์ เหลิ่งรั่วปิงรังเกียจเขามากขนาดนี้!     หรือว่าเหลิ่งรั่วปิงยังมีใจให้กับไซ่ตี้จวิ้น นึกถึงคืนที่อยู่ในเมืองเฟิ่ง เธอนั่งพูดคุยกับไซ่ตี้จวิ้นด้วยความสนิทสนม พวกเขาหัวเราะและกินอาหารไปด้วยกั รอยยิ้มแบบนั้นเหลิ่งรั่วปิงไม่เคยยิ้มให้เขามาก่อน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเหลิ่งรั่วปิงไม่เคยเป็นตัวของตนเอง ถึงแม้ว่าเธอจะยิ้มให้เขา แต่จากแววตาของเธอกลับไม่ได้ยิ้ม หนานกงเยี่ยนึกถึงรูปถ่ายพวกนั้น เธอกับไซ่ตี้จวิ้นถึงขั้นใส่เสื้อคู่ ถ้าคืนนั้นเขาไม่จับตัวเธอกลับมา ตอนนี้เธอก็คงอยู่กับไซ่ตี้จวิ้น?     ไซ่ตี้จวิ้นมีเสน่ห์กว่าเขา?     ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ความหึงฟุ้งอยู่เต็มหัวใจของหนานกงเยี่ย     ด้วยเหตุนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เหลิ่งรั่วปิงอดคิดไม่ได้ว่าตนเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า ทำไมสีหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความเจ็บใจ เธอคงคิดมากไปเองแน่ๆ คนเย็นชาและสูงสง่าอย่างเขาจะรู้สึกเจ็บใจได้ยังไง     ถึงอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฐานะของเธอไม่เหมือนเดิมแล้ว สิทธิ์ในการออกแบบแลนด์มาร์คของเมืองหลงอยู่ในมือเธอ แม้เขาจะเอาแต่ข่มขู่ว่าจะยึดมันกลับไป แต่เธอรู้ดีว่าคนฉลาดๆ อย่างหนานกงเยี่ยไม่มีวันทำแบบนี้ ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องกลัว อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เธอกับเขาเท่าเทียมกัน ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องคอยประจบประแจงเขา     ด้วยเหตุนี้ ภายในรถจึงเงียบมาก หนานกงเยี่ยทำหน้านิ่ง ทว่าในทางกลับกันเหลิ่งรั่วปิงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาสองคนเหมือนกำบังเดิมพันกันว่าความอดทนของใครจะหมดก่อน     สุดท้ายคนที่แพ้ก็คือหนานกงเยี่ย สิ่งที่เหลิ่งรั่วปิงทำให้เขาไม่ใช่พูดคำหวาน แต่กลับเป็นความเงียบ หนานกงเยี่ยโมโหมาก เขาคว้าจับใบหน้าเล็กๆ ของเธอ จากนั้นจูบด้วยหนักหน่วง เขาอยากจะลงโทษเธอ แต่กลับไม่กล้ารุนแรงกับเธอ บรรยากาศภายในรถเคล้าไปด้วยความรักใคร่     หนานกงเยี่ยรู้ตัวแล้วว่าตนเองไม่มีวันเอาชนะเธอได้ หมากเกมส์นี้เขาแพ้ราบคาบ เขายังจำได้ดี ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันที่โรงแรมวั่นเหา เธอเงียบและสง่างาม แต่เขากลับไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ เธอคือคนเดียวที่เอาเขาอยู่หมัด     หลังจาดที่ทั้งสองผละออกจากกัน รถขับมาถึงโรงแรมวั่นเหา     เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม “ขอบคุณที่มาส่งฉันนะคะ คุณหนานกง” น้ำเสียงของเธอเย็นชาราวกับว่าไม่เคยมีการจูบเกิดขึ้น     “อืม ถ้าคุณหิวก็สั่งอาหารกับทางโรงแรมแล้วกัน” หนานกงเยี่ยไม่สบอารมณ์ แต่เขาก็จนปัญญา พวกเขาเริ่มต้นด้วยกันไม่ดีเท่าไหร่ ตอนนี้จะให้เธอจริงใจกับเขาคงเป็นไปได้ยาก     เหลิ่งรั่วปิงเอียงคอแล้วคลายยิ้ม จากนั้นก็สวมเสื้อกันหนาวของตนเอง เธอหยิบกระเป๋าและเอกสารลงจากรถ     หนานกงเยี่ยนึกว่าอย่างน้อยๆ เธอจะหันหน้ากลับมาโบกมือให้เขา แต่เธอกลับไม่ได้ทำแบบนั้น เหลิ่งรั่วปิงสยายผม กระชับเสื้อกันหนาว เดินเข้าไปในโรงแรมอย่างสง่างาม     หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความผิดหวัง “กลับวิลล่าหย่าเก๋อ”     เหลิ่งรั่วปิงขึ้นลิฟต์ตรงไปชั้น 13 ตอนที่ลิฟต์เปิดออก เธอเห็นไซ่ตี้จวิ้นยืนอยู่ตรงหน้า เขายืนพิงกำแพง เอามือไว้ในกระเป๋ากางเกง เอียงคอเล็กน้อยแล้วคลายยิ้มทีกทายเธอ     เห็นได้ชัด เขาจงใจมาดักรอเจอเธอ     เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณมาดักรอเจอฉันหรอคะ”     “ผมพักอยู่ที่โรงแรมวั่นเหาเหมือนกัน” เขาพักอยู่ที่โรงแรมนี้จริงๆ เขานั่งมองนอกหน้าต่างมานานหนึ่งชั่วโมงแล้ว จนในที่สุดเธอก็กลับมา เมื่อเห็นเธอเดินลงมาจากรถคนเดียว เขาก็รีบวิ่งออกมารอเธอที่นี่ เพราะเขาเองก็พักอยู่ชั้น 13     เหลิ่งรั่วปิงตกใจเล็กน้อย เธอไม่ได้ถามเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้เกลียดเขา การที่เขาพักอยู่ที่โรงแรมวั่นเหามันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด     “รอฉันทำไมคะ”

เหลิ่งรั่วปิงแทบจะหายใจไม่ออก เธอทรุดตัวลงนั่งบนตักของหนานกงเยี่ย ท่านั่งแบบนี้ไม่สบายเลยสักนิด เธอพยายามที่จะขัดขืนเขา แต่กลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ยิ่งเธอขัดขืนมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งกอดเธอแน่น จนสุดท้าย เธอก็ทำได้เพียงแค่ล้มเลิกความคิดของตนเอง

 

 

หนานกงเยี่ยจูบเธอด้วยความกระหาย คล้ายกับว่าเขากำลังเรียกร้องความยุติธรรมบางอย่าง จูบในครั้งนี้ของเขายาวนาน

 

 

ตอนที่ผละออกจากกัน ทั้งสองหายใจหอบเพราะขาดออกซิเจน

 

 

เหลิ่งรั่วปิงทั้งเขินและโกรธ ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ เมื่อท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกดิน

 

 

หนานกงเยี่ยยิ้มอย่างพอใจ เขาเลียริมฝีปากของตนเองที่ยังรู้สึกชาเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยรสชาติของเธอ อารมณ์ขุ่นหมองที่มีก่อนหน้านี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เขาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังรอให้ผู้ใหญ่ตบรางวัล และในที่สุดก็ได้ลูกอมไปครอบครอง

 

 

“หนานกงเยี่ย คุณ…” เหลิ่งรั่วปิงหายใจหอบ พร้อมด้วยยื่นมือออกไปจะตีเขา ทว่าหนานกงเยี่ยกลับไม่หลบและไม่หยุดเธอ ในทางกลับกันเขากลับยิ้มต้อนรับ ทำให้มือของเธอที่ตีลงไปนั้น กลายเป็นการตีที่ไม่มีน้ำหนัก คล้ายเป็นความเขินอายเสียมากกว่า

 

 

ผลลัพธ์แบบนี้ ทำให้เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกประหม่า พระเจ้าเป็นพยานได้ เธอไม่ได้คิดจะตีเขาด้วยความเขินอาย ทว่าในสายตาของหนานกวเยี่ย สิ่งที่เธอทำเป็นเพราะความเขินอายชัดๆ เขาคลายยิ้มด้วยความชอบใจ

 

 

“เหลิ่วรั่วปิง คุณยิ่งอยู่ก็ยิ่งใจกล้า ยิ่งอยู่ก็ยิ่งกล้าต่อต้านผม หืม?” หนานกงเยี่ยใช้นิ้วโป้งเกบี่ยริมฝีปากของเธอเบาๆ ถึงแม้เขาจะพูดตำหนิ แต่น้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกประหม่ากับคำพูดของเขา แต่เธอยังคงปากแข็ง “คุณยิ่งอยู่ยิ่งปัญญาอ่อนมากกว่า”

 

 

สีหน้าของหนานกงเยี่ยเคร่งขรึมทันที “คุณกล้าหาว่าผมปัญญาอ่อน!”

 

 

“คุณไม่ปัญญาอ่อนหรือไงคะ”

 

 

“ผมปัญญาอ่อนตรงไหน?”

 

 

“ปัญญาอ่อนทุกตรงนั่นแหละ…อร๊าย!” หนานกงเยี่ยโอบเอวเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ เธอเจ็บจนสูดลมหายใจเข้าแล้วร้องซี๊ด “ยังจะบอกว่าไม่ปัญญาอ่อนอีก ตอนอยู่ที่บริษัทคุณเรียกฉันไปพบแล้วลวนลามฉัน ทั้งยังเสียมารยาทกับฉันอีก

 

 

“หึๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ มือใหญ่ของเขาลูบจับเส้นผมของเธอ มันนุ่มลื่นมาก ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น “วันนี้กลับมานอนที่วิลล่าหย่าเก๋อนะ หื้ม?”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงนั่งนิ่ง จากนั้นหันหลังให้เขา “คุณหนานกง คุณอาศัยอำนาจของคุณ จับตัวฉันกลับมาแบบนี้ก็มากพอแล้ว นี่คุณยังจะกลับคำพูด?”

 

 

หนานกงเยี่ยนั่งตัวตรง สวมกอดเธอจากด้านหลัง เขาเอาคางเกยหัวไหล่ของเธอ พร้อมพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ครับ ผมไม่ฝืนใจคุณ คุณพูดให้ผมดูแย่มากเลยนะ”

 

 

”คุณดูดีหรอคะ”

 

 

หนานกงเยี่ยเม้มกัดใบหูของเธอ “เหลิ่งรั่วปิง คุณอย่าได้คืบเอาศอกแบบนี้สิ เอาแต่พูดให้ร้ายผมไม่จบ”

 

 

ใบหูของเธอทั้งเจ็บและชา เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกโมโห เธอเลือกที่จะไม่พูด เพราะเธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้จิตป่วยไปแล้ว ทั้งบ้าและไร้ยางอาย พูดกับคนแบบนี้มันเปล่าประโยชน์

 

 

“คุณหนานกงคะ ไม่ทราบว่าคุณยังมีเรื่องงานจะคุยกับฉันไหมคะ ถ้าไม่มีฉันขอตัวกลับก่อนได้ไหมคะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

 

 

หนานกงเยี่ยหัวเราะเบาๆ เขาหันหน้าเหลิ่งรั่วปิงมาหาตน จากนั้นประทับจุมพิตลงมา แล้วจึงปล่อยมือ “ไปเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ผมส่งคุณกลับโรงแรมเอง”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่ายิ่งอยู่นาน เธอก็จะยิ่งถูกเขาแกล้ง ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่พูด รีบผละออกมาจากอ้อมกอดของเขาโดยเร็ว

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานด้วยความโมโห เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไป ผู้ช่วยทั้งสองคนมองมาที่เหลิ่งรั่วปิงตาไม่กระพริบ “มองหน้าฉันทำไม ไม่อยากทำงาน?”

 

 

ผู้ช่วยทั้งสองคนดึงสติกลับมาทันที พวกเธอก้มหน้าก้มตาทำงาน ใบหน้าของพวกเธอแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย

 

 

เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว เดินไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง เธอหยิบกระจกขึ้นมาส่อง วินาทีนั้น เธอแทบอยากจะกระโจนเข้าใส่หนานกงเยี่ย ผิวของเธอเนียนมาก ทั้งยังขาวอีกด้วย แค่หยิกนิดหน่อยก็ทิ้งรอยแดงเอาไว้แล้ว เมื่อกี้หนานกวเยี่ยจูบเธออย่างเร่าร้อน ทำให้เวลานี้ริมฝีปากของเธอชุ่มช่ำ แค่มองก็รู้แล้วว่าเธอไปทำอะไร

 

 

เมื่อกี้หนานกงเยี่ยเป็นคนโทรตามเธอไปพบ เธอไปหาเขาแล้วกลับมาในสภาพนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าไปทำอะไรมา

 

 

เหลิ่งรั่วปิงจับไม้บรรทัดในมือแน่ร เธอกัดฟันกรอด ทำหน้านิ่งแล้วทำงานของตนเองต่อ เธอรู้สึกว่าหนานกงเยี่ยโรคจิต

 

 

หนานกงเยี่ยเอาแต่อมยิ้มแล้วมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตน เขาหยิบกล่องอาหารมาเปิดอีกครั้ง แล้วกินข้าวคำโตๆ นี่คงจะเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในช่วงนี้ของเขา

 

 

ตอนเย็นหลังเลิกงาน เหลิ่งรั่วปิงออกจากห้องทำงานเลทเล็กน้อย ซึ่งข้อแรกเป็นเพราะเธอไม่อยากไปเบียดเสียดบนลิฟท์กับคนอื่นๆ ข้อสองเป็นเพราะเธอกลัวคนอื่นจะเห็นว่าเธอขึ้นรถของหนานกงเยี่ย

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรอให้ทุกคนกลับไปจนหมดก่อน เธอค่อยนั่งลิฟท์ลงมา เธอนั่งตรงมายังลานจอดรถชั้นใต้ดิน จากนั้นรีบวิ่งไปยังรถของหนานกงเยี่ย ทางด้านก่วนอวี้รอเอาไว้ตรงด้านนอกรถยนต์ เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิง เขาก็เปิดประตูรถให้กับเธอด้วยความเคารพ เมื่อเหลิ่งรั่วปิงเข้าไปนั่งในรถ เขาก็ปิดประตูลงด้วยความระมัดระวัง

 

 

ก่วนอวี้ขับรถได้นิ่มมาก อีกทั้งเขายังใส่ในรายละเอียดกดปิดที่กั้นของรถให้กับเธอ

 

 

อุณหภูมิภายในรถสูงมาก หนานกงเยี่ยสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีดำ เขานั่งพิงโซฟาด้วยความเหนื่อล้า พร้อมทั้งไขว้ขาทั้งสองครั้ง นับตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงขึ้นมาบนรถยนต์ เขาก็เอาแต่ยิ้มกรุ่มกริ่มอยู่ตลอดเวลา

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเริ่มคุ้นชินกับความบ้าของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เธอขึ้นไปบนรถยนต์พร้อมกับถอดเสื้อกันหนาวขนของตนเองออก จากนั้นอ่านเอกสารในมือตนเองด้วยความตั้งใจ เหลิ่งรั่วปิงไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นเมียเก็บของเขาแล้ว ระหว่างเธอกับเขามีฐานะเท่าเทียมกัน เธอไม่มีวันออดอ้อนคนอย่างเขาเด็ดขาด

 

 

“อยากกินอะไร” หนานกงเยี่ยพูดขึ้น เสียงของเขาอ่อนโยนมาก

 

 

“ไม่หิวค่ะ ไม่อยากกิน” เธอไม่อยากกินข้าวกับเขา เวลานี้ผู้ชายคนนี้เกินคำบรรยายจริงๆ อยู่ห่างเขาหน่อยจะปลอดภัยที่สุด

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้ว เขายื่นมือไปหยิบเอกสารในมือของเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่สบาย?”

 

 

การเปลี่ยนไปของเขา ทำให้เหลิ่งรั่วปิงต้องพยายามปรับตัวให้ชิน เธอคลายยิ้มบางๆ “เปล่าค่ะ ฉันแค่ไม่อยากกินเท่านั้น เมื่อตอนเย็นคุณซื้ออาหารมาให้ฉันแล้ว ฉันไม่หิว”

 

 

นัยน์ตาหนานกงเยี่ยฉายความไม่พอใจออกมา ผู้หญิงคนนี้โกหกหน้าตายจริงๆ เธอไม่ได้กินอะไรสักหน่อย เธอเอาอาหารที่เขาซื้อให้ไปให้คนอื่นกิน แต่กลับมาพูดโกหกแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากกินข้าวกับเขา

 

 

ภายในใจของหนานกงเยี่ยรู้สึกไม่สบอารมณ์ เหลิ่งรั่วปิงรังเกียจเขามากขนาดนี้!

 

 

หรือว่าเหลิ่งรั่วปิงยังมีใจให้กับไซ่ตี้จวิ้น นึกถึงคืนที่อยู่ในเมืองเฟิ่ง เธอนั่งพูดคุยกับไซ่ตี้จวิ้นด้วยความสนิทสนม พวกเขาหัวเราะและกินอาหารไปด้วยกั รอยยิ้มแบบนั้นเหลิ่งรั่วปิงไม่เคยยิ้มให้เขามาก่อน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเหลิ่งรั่วปิงไม่เคยเป็นตัวของตนเอง ถึงแม้ว่าเธอจะยิ้มให้เขา แต่จากแววตาของเธอกลับไม่ได้ยิ้ม หนานกงเยี่ยนึกถึงรูปถ่ายพวกนั้น เธอกับไซ่ตี้จวิ้นถึงขั้นใส่เสื้อคู่ ถ้าคืนนั้นเขาไม่จับตัวเธอกลับมา ตอนนี้เธอก็คงอยู่กับไซ่ตี้จวิ้น?

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นมีเสน่ห์กว่าเขา?

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ความหึงฟุ้งอยู่เต็มหัวใจของหนานกงเยี่ย

 

 

ด้วยเหตุนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เหลิ่งรั่วปิงอดคิดไม่ได้ว่าตนเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า ทำไมสีหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความเจ็บใจ เธอคงคิดมากไปเองแน่ๆ คนเย็นชาและสูงสง่าอย่างเขาจะรู้สึกเจ็บใจได้ยังไง

 

 

ถึงอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฐานะของเธอไม่เหมือนเดิมแล้ว สิทธิ์ในการออกแบบแลนด์มาร์คของเมืองหลงอยู่ในมือเธอ แม้เขาจะเอาแต่ข่มขู่ว่าจะยึดมันกลับไป แต่เธอรู้ดีว่าคนฉลาดๆ อย่างหนานกงเยี่ยไม่มีวันทำแบบนี้ ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องกลัว อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เธอกับเขาเท่าเทียมกัน ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องคอยประจบประแจงเขา

 

 

ด้วยเหตุนี้ ภายในรถจึงเงียบมาก หนานกงเยี่ยทำหน้านิ่ง ทว่าในทางกลับกันเหลิ่งรั่วปิงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาสองคนเหมือนกำบังเดิมพันกันว่าความอดทนของใครจะหมดก่อน

 

 

สุดท้ายคนที่แพ้ก็คือหนานกงเยี่ย สิ่งที่เหลิ่งรั่วปิงทำให้เขาไม่ใช่พูดคำหวาน แต่กลับเป็นความเงียบ หนานกงเยี่ยโมโหมาก เขาคว้าจับใบหน้าเล็กๆ ของเธอ จากนั้นจูบด้วยหนักหน่วง เขาอยากจะลงโทษเธอ แต่กลับไม่กล้ารุนแรงกับเธอ บรรยากาศภายในรถเคล้าไปด้วยความรักใคร่

 

 

หนานกงเยี่ยรู้ตัวแล้วว่าตนเองไม่มีวันเอาชนะเธอได้ หมากเกมส์นี้เขาแพ้ราบคาบ เขายังจำได้ดี ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันที่โรงแรมวั่นเหา เธอเงียบและสง่างาม แต่เขากลับไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ เธอคือคนเดียวที่เอาเขาอยู่หมัด

 

 

หลังจาดที่ทั้งสองผละออกจากกัน รถขับมาถึงโรงแรมวั่นเหา

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม “ขอบคุณที่มาส่งฉันนะคะ คุณหนานกง” น้ำเสียงของเธอเย็นชาราวกับว่าไม่เคยมีการจูบเกิดขึ้น

 

 

“อืม ถ้าคุณหิวก็สั่งอาหารกับทางโรงแรมแล้วกัน” หนานกงเยี่ยไม่สบอารมณ์ แต่เขาก็จนปัญญา พวกเขาเริ่มต้นด้วยกันไม่ดีเท่าไหร่ ตอนนี้จะให้เธอจริงใจกับเขาคงเป็นไปได้ยาก

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเอียงคอแล้วคลายยิ้ม จากนั้นก็สวมเสื้อกันหนาวของตนเอง เธอหยิบกระเป๋าและเอกสารลงจากรถ

 

 

หนานกงเยี่ยนึกว่าอย่างน้อยๆ เธอจะหันหน้ากลับมาโบกมือให้เขา แต่เธอกลับไม่ได้ทำแบบนั้น เหลิ่งรั่วปิงสยายผม กระชับเสื้อกันหนาว เดินเข้าไปในโรงแรมอย่างสง่างาม

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความผิดหวัง “กลับวิลล่าหย่าเก๋อ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงขึ้นลิฟต์ตรงไปชั้น 13 ตอนที่ลิฟต์เปิดออก เธอเห็นไซ่ตี้จวิ้นยืนอยู่ตรงหน้า เขายืนพิงกำแพง เอามือไว้ในกระเป๋ากางเกง เอียงคอเล็กน้อยแล้วคลายยิ้มทีกทายเธอ

 

 

เห็นได้ชัด เขาจงใจมาดักรอเจอเธอ

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณมาดักรอเจอฉันหรอคะ”

 

 

“ผมพักอยู่ที่โรงแรมวั่นเหาเหมือนกัน” เขาพักอยู่ที่โรงแรมนี้จริงๆ เขานั่งมองนอกหน้าต่างมานานหนึ่งชั่วโมงแล้ว จนในที่สุดเธอก็กลับมา เมื่อเห็นเธอเดินลงมาจากรถคนเดียว เขาก็รีบวิ่งออกมารอเธอที่นี่ เพราะเขาเองก็พักอยู่ชั้น 13

 

 

เหลิ่งรั่วปิงตกใจเล็กน้อย เธอไม่ได้ถามเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้เกลียดเขา การที่เขาพักอยู่ที่โรงแรมวั่นเหามันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด

 

 

“รอฉันทำไมคะ”

เดิมพันเสน่หา

เดิมพันเสน่หา

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset