เจาะเวลาสู่ต้าถัง 28

ตอนที่ 28
 เจ็บใจที่ตัวเองไม่ตาย

 

 

 

การเต้นรำเหล่านางรำเบื้องหน้านั้นเร่าร้อนและปลดปล่อยมาก แม้มีเพียงทำนองกลองมือประกอบก็ไม่ทำให้รู้สึกจำเจ เพียงแค่จังหวะทำนองที่เรียบง่ายไม่กี่ตัวที่ซ้ำไปซ้ำมา เคาะจังหวะที่เร็วและเบา เท้าของนางรำพลิกไปมาอยู่บนพื้นไม้ ชุดกระโปรงบานปลิวพลิ้วไหว ไม่ได้ให้ความรู้สึกบวมป่องเลยแม้แต่น้อย ราวกับผีเสื้อที่กำลังเริงระบำ

 

 

นี่คือเสื้อผ้าของราชวงศ์ถังที่ดูใกล้เคียงกับเสื้อผ้าในยุคปัจจุบันมากที่สุดเท่าที่อวิ๋นเยี่ยเคยเห็นมา ด้านหลังศีรษะของนางรำผูกโบหลากสี สีที่ต่างกัน สั้นยาวไม่เท่ากัน ร่างกายส่วนบนสวมเสื้อเอวลอย ซึ่งสามารถปกปิดได้เพียงแค่ทรวงอกที่อวบอิ่มเท่านั้น เผยให้เห็นผิวสีขาวราวกับหิมะ กางเกงที่สวมไว้ส่วนล่างของร่างกายนั้นบานใหญ่มาก แม้จับนางรำสองหรือสามคนใส่เข้าไปก็ไม่เป็นปัญหา แต่ความน่าสนใจกลับอยู่ตรงที่ข้อเท้าที่บิดเข้าอย่างรวดเร็ว ดุนให้เท้าสีขาวดั่งหิมะที่เรียวเล็กโดดเด่นขึ้น

 

 

สวี่จิ้งจงนั่งกระสับกระส่าย หลังจากได้เห็นวิธีการพูดคุยระหว่างอวิ๋นเยี่ยและเยี่ยถัวแล้ว เขารู้สึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่งกับความจาบจ้วงของตนเอง อวิ๋นเยี่ยนั้นไม่ได้เตรียมที่จะพูดคุยดีๆ กับเยี่ยถัวมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดูเหมือนว่าเขาต้องการกระตุ้นให้ชายร่างกำยำที่อยู่ตรงนี้โกรธมาโดยตลอด คนที่เป็นอันตรายต่อตัวเองอย่างที่สุด สวี่จิ้งจงไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมีความเมตตาเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้ามาตั้งแรกแล้ว เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ตัวเองติดตามอวิ๋นเยี่ยมา อวิ๋นเยี่ยทำให้ราชาปีศาจตนนี้กลายเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีก ไม่มีคำขอโทษ ไม่ได้รู้สึกผิด เป็นเพียงการเยาะเย้ยที่ทำให้สวี่จิ้งจงรู้สึกเย็นวาบจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

 

อวิ๋นเยี่ยยังไม่ได้สติอีกหรือว่าตนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายรอเขาลงมือ เหตุใดตัวเองจะต้องมารับเคราะห์กับเรื่องนี้ด้วย การอยู่กับอวิ๋นเยี่ยนั้นอันตรายเกินไป เขาเป็นคนบ้าชัดๆ เยี่ยถัวที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็เป็นคนบ้าอีกคน ระหว่างคนบ้าด้วยกันอาจมีนิสัยอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายกัน เพียงแต่สงสารตัวเองที่เป็นคนปกติดีที่ต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่างคนบ้า หากครั้งพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้ จะต้องอยู่ให้ห่างจากอวิ๋นเยี่ยให้มาก ตัวเองรับมือกับคนปกติได้ไม่มีปัญหา แต่การรับมือกับคนบ้านั้นยังไม่มีความมั่นใจ การออกห่างให้ไกลก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

 

 

เสียงกลองหยุดการเต้นจบลง อวิ๋นเยี่ยปรบมือเบาๆ ส่งเสียงปรบมืออย่างปีติยินดีเป็นที่สุดสำหรับการแสดงของศิลปิน ไม่ปรบมือให้ไม่ได้ กลุ่มหญิงสาวงดงามเช่นนี้ หากถูกเยี่ยถัวจับนึ่งแล้วยกเข้ามาก็คงไม่ดีแน่ คนวิปริตที่เอาแต่คิดเรื่องความเป็นอมตะตลอดทั้งวัน คนธรรมดาทั่วไปในสายตาเขาก็ไม่แตกต่างจากวัวและแกะสักเท่าไร อย่างไรเสียเราก็ยังคงต้องระวังไว้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ทำร้ายใคร มีเจ้าสารเลวตู้อวี้คนนั้นคนเดียวก็พอแล้ว ฉันไม่กล้าเจริญรอยตามเขา

 

 

เยี่ยถัวมองดูอวิ๋นเยี่ยตลอดเวลา ยิ่งดูยิ่งสับสน ไม่ว่าตัวเองจะสร้างแรงกดดันมากเพียงไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแรงกดดันเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีอยู่เลย แสดงท่าทีตลอดเวลาว่าเขาต่างหากที่เป็นเจ้าบ้าน “รูปขอมรรคผล” ที่วาดโดยจิตรกรซึ่งอยู่ข้างหลังเหล่านั้นคือประสบการณ์ในการแสวงหาความเป็นอมตะของพวกเขาที่วาดตามคำบอกกล่าวจากปากของเขาเอง น้ำสีดำเข้มของสระสวรรค์สงบนิ่งราวกับกระจก พวกเขาดูลึกลับมากถึงเพียงนี้ สิบเจ็ดคนกระโดดลิงโลดตะโกนโห่ร้องอยู่บนขอบสระสวรรค์ ฉลองการมาถึงแดนสวรรค์ของพวกเขา ยังไม่ได้พบนางฟ้าที่งดงาม ก็ทำให้เกิดสวรรค์พิโรธอย่างน่าหวาดกลัว หิมะสีขาวระหว่างชั้นฟ้าถล่มลงมาหาพวกเขา เพียงชั่วพริบตาหกคนถูกหิมะกลืนกิน ตนเองนั้นได้พึ่งพาร่างกายที่กำยำแข็งแรงล้มลุกคลุกคลานหนีออกจากหุบเขานั้น จึงได้รอดพ้นจากภัยครั้งนั้น

 

 

เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง หิมะได้ปกคลุมไปทั่วสระสวรรค์และไม่หลงเหลือภาพเดิมอีกต่อไป

 

 

“อวิ๋นโหว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีสระน้ำอมฤตเช่นนี้อยู่บนภูเขาคุนหลุน ที่นั่นอย่าว่าแต่ร่องรอยของผู้คนเลย แม้แต่นกหรือสัตว์ป่าก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ข้าเคยไปที่นั่น รู้ว่าระหว่างทางยากลำบากเพียงไหน เจ้ากับอาจารย์ของเจ้าไปถึงได้อย่างไรกัน” ในที่สุดเยี่ยถัวก็อดไม่ได้ที่จะถามอวิ๋นเยี่ย

 

 

สวี่จิ้งจงจึงได้สังเกตเห็นภาพวาดบนผนังเหล่านั้น เมื่อได้ยินเยี่ยถัวถามขึ้นก็ถึงกับหูผึ่งตั้งใจฟัง เดิมทีเขาคิดว่าดินแดนแห่งเทพเจ้าที่อวิ๋นเยี่ยพูดถึงนั้นก็แค่ชี้บอกอย่างขอไปที เมื่อได้ยินจากปากของเยี่ยถัว ในที่สุดเขาก็รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดไร้สาระ แต่เคยไปจริงๆ

 

 

“พวกเจ้าทุ่มเทใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อพิสูจน์คำพูดของข้า ก็บอกพวกเจ้าแล้วว่าที่นั่นไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีเทพเซียน ไม่มีต้นผลอมตะ ไม่มีสัตว์เทพ แต่ถ้าหมาป่าก็มีอยู่ฝูงหนึ่ง พวกเจ้าคงไม่ได้ใส่ใจใช่ไหม เพียงแค่ทะเลสาบแตกๆ ทั้งน้ำก็ยังเย็นจนแทบจะเอาชีวิต หากไปช่วงฤดูร้อนหญ้าก็ไม่งอกงาม จริงสิ พวกเจ้าไปถึงสระสวรรค์แล้วจับได้หนอนหิมะสักตัวสองตัวหรือไม่ อาจารย์บอกว่ามันเป็นของอร่อยที่หายาก” อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็นึกถึงหนอนหิมะที่ไกด์นำเที่ยวพูดถึง ในเมื่อคนราชวงศ์ชิงเคยเห็นมัน เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่คนราชวงศ์ถังจะเห็นมัน เพียงแค่คิดถึงหนอนสีแดงที่แต่ละตัวหนักหลายจินคลานอยู่เต็มพื้นหิมะ อวิ๋นเยี่ยก็ค่อนข้างตื่นเต้น ช่างดูลึกลับมาก

 

 

เยี่ยถัวเก็บอาการจนหน้าแดงแล้ว ไม่ได้มีสาเหตุจากปอด แต่เพราะด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่หนอนสีแดงบนภาพวาดและส่งเสียงคำรามขึ้น “ที่อวิ๋นโหวบอกว่าอาหารอร่อยหมายถึงหนอนชนิดนี้ใช่หรือไม่ อร่อยหรือไม่อร่อยข้าเยี่ยถัวไม่รู้ ข้ารู้เพียงแค่ว่าพี่น้องข้าสามคนถูกหนอนนี้กินเป็นอาหารเลิศรส “

 

 

อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นและดูหนอนสีแดงบนรูปภาพอย่างประหลาดใจ น่าเกลียด น่าเกลียดมากๆ ทั้งยังมีฟันด้วย บนภาพมีหนอนตัวหนึ่งที่ยาวประมาณสามเมตรอ้าปากกว้างที่เต็มไปด้วยฟันกำลังกัดศีรษะคนอยู่ ร่างของชายที่น่าสงสารคนนั้นยังถูกหนอนอีกสองตัวพัวพันอีกด้วย ปากใหญ่ๆ ได้กัดอยู่บนร่างของคนคนนั้น เพียงแค่เห็นเขี้ยวอันแหลมคมของหนอนตัวนั้นก็รู้ว่า การถูกมันกัดต้องเจ็บปวด เจ็บปวดอย่างมากแน่นอน

 

 

“นี่ เยี่ยถัว เจ้ารู้ไหมว่าภูเขาหิมะที่สูงที่สุดที่เจ้าพบนั้นชื่อว่าภูเขาอะไร มันชื่อเขาเสินซัน มันวิเศษสุดเปรียบ เจ้าพบกับหิมะถล่ม พบกับหนอนหิมะ และน่าจะได้พบกับลิงบาบูน มันเป็นลิงตัวใหญ่สายพันธุ์หนึ่งที่ดุร้ายมาก ในตอนนั้นข้าถูกลิงตัวนี้รังควาน โยนกระเป๋าเป้สะพายหลังของข้าทิ้งลงใต้หน้าผา” เมื่อมองดูเยี่ยถัวที่โกรธจัด อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าหากไม่แต่งเรื่องหลอกคนคนนี้ในเวลานี้ รอจนเขาได้สติคืนมาเมื่อไหร่ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป ตอนนั้นที่สระสวรรค์ในซินเจียง ไม่มีโอกาสได้เห็นสัตว์ในตำนาน ไกด์นำเที่ยวบอกว่ามีลิงบาบูนทั้งยังเป็นสายพันธุ์ขนาดใหญ่ด้วย คนราชวงศ์ชิงเคยเห็นมาก่อน มันและ อวิ๋นเยี่ยวิ่งรอบสองทะเลสาบใหญ่กับหนึ่งทะเลสาบเล็กแต่ก็ไม่เห็นเจออะไรเลย จึงได้แต่หน้าด้านหน้าทนใช้จำนวนลิงบนภูเขาเอ๋อเหมยมาเหมารวม

 

 

ดูเหมือนเยี่ยถัวจะค่อนข้างเศร้าเสียใจ หยิบรูปอีกรูปออกจากกล่องแล้วคลี่ออกตรงเบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยและสวี่จิ้งจง พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ลิงที่เจ้าพบเพียงแค่โยนกระเป๋าทิ้ง พวกลิงที่ข้าเจอพวกมันกินคน เหอซังน้องชายข้าถูกลิงที่อวิ๋นโหวพูดถึงฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทั้งเป็นแล้วถูกพวกมันแบ่งกันกิน”

 

 

หลังจากพูดเรื่องเหล่านี้จบ ดูเหมือนเขาจะหายใจไม่ทัน ออกแรงทุบหน้าอกหลายครั้งจนเกิดเสียงดังปั่กๆ หลังจากทุบหน้าอกแล้ว เขาหยิบขวดเครื่องปั้นดินเผาสีดำออกมาแล้วกรอกปากขวดดื่มเหล้าคำโต มันเป็นเหล้าดีกรีแรงประเภทหนึ่งที่นึกชื่อไม่ออก เหล้าที่เข้มข้นไหลลงไปตามหน้าอกลงสู่ด้านล่าง ดูกล้าหาญชาญชัยมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าดื่มลงไปได้มากเพียงใด สิ้นเปลืองจริงๆ คารวะเหล้าให้น้องชายเจ้าก็ไม่น่าจะต้องเทคารวะจนเต็มพื้นกระมัง

 

 

เยี่ยถัวเริ่มตาแดงแล้ว อย่าเพิ่งมองเรื่องที่เขาฆ่าคนนับไม่ถ้วน ไม่เห็นค่าของชีวิตมนุษย์ น้องชายเขาเสียชีวิตก็รู้สึกเจ็บปวดและร้องไห้เหมือนคนอื่น

 

 

หลังจากดื่มเหล้าหมดแล้ว ก็มีสาวใช้ถือถาดไม้ที่ละเอียดประณีต ด้านบนมีจานแบนกระเบื้องเคลือบสีขาวใบเล็กๆ ที่ใส่ยาลูกกลอนสีแดงขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบซึ่งมีกลิ่นหอมชวนดมไว้เข้ามาในทันที กลิ่นเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างคุ้นเคย แต่จำไม่ได้ว่ามันคืออะไร เห็นเพียงเยี่ยถัวหนีบยาขึ้นมาดมกลิ่นอย่างเคลิบเคลิ้มจากนั้นก็กลืนมันลงไป ยาติดคอจนหน้าแดง จึงรีบดื่มเหล้าหนึ่งคำเพื่อให้ยาไหลลื่นลงไปได้

 

 

คนคนนี้เป็นเจ้าบ้านที่ไม่รู้จักเคารพแขกเลย มีของดีตนเองก็กินก่อน ใจแคบจริงๆ!

 

 

ขณะที่กำลังทอดถอนใจ ก็ได้เห็นสีหน้าของสวี่จิ้งจงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเต็มไปด้วยความอิจฉาพร้อมประสานมือถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องช่างมีวาสนายิ่งนัก สามารถได้รับยาลูกกลอนชั้นเลิศของท่านเซียน เมื่อดูสีและดมกลิ่นแล้ววิเคราะห์รูปร่างก็รู้ได้ว่าผู้มีชื่อเป็นผู้ผลิตขึ้น ข้าน้อยเป็นพวกว่างงาน แต่กลับไร้วาสนาได้ครอบครองไว้ ช่างน่าอิจฉาผู้อื่นจริงๆ”

 

 

หลังจากกินยาลูกกลอนแล้ว บางทีอาจจะเป็นผลทางจิตใจ เยี่ยถัวหน้าแดงทั้งใบหน้า สติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม เมื่อครู่ยังเศร้าโศกกับเรื่องที่น้องชายถูกลิงจับฉีกแบ่งกันกินอยู่ ชั่วครู่เดียวดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องนี้ไปสิ้น หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังดูแล้วมีความสุขอย่างยิ่ง

 

 

“เยี่ยถัวเองก็มีโอกาสได้รับมอบ ‘ยารวมจิต’ จากผู้สูงส่งด้วยความบังเอิญเช่นกัน จำนวนน้อยมากใต้หล้าหายากยิ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้แบ่งให้ท่านทั้งสอง หวังว่าจะไม่ถือสา”

 

 

“สมบัติของเทพเซียนเช่นนี้ต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง พวกข้านั้นไร้วาสนา แต่ก็ไม่สามารถร้องขอได้ มีโอกาสได้เห็นนับว่าเป็นวาสนาแล้ว ท่านเจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องอย่าได้ใส่ใจเลย” สวี่จิ้งจงรู้เสมอว่าเวลาไหนต้องพูดอะไรเพื่อเอาใจเจ้าบ้าน

 

 

อวิ๋นเยี่ยปาดเหงื่อที่ไหลเพราะความหวาดหวั่น ตัวเองยังคิดอยู่ว่าจะวางแผนหลอกให้เยี่ยถัวกินยาสลายกระดูกที่หลี่ฉุนเฟิงปรุงขึ้น ดูเหมือนว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไป ทั้งยังมียาที่โหดร้ายกว่ายาสลายกระดูกอีก ยาสลายกระดูกนั้นมีขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเหลือง เท่านี้อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าเป็นพิษร้ายแรงแล้ว ยาลูกกลอนขนาดเท่าไข่นกพิราบเม็ดนี้ ไม่รู้ว่าเยี่ยถัวจะทนรับได้นานเพียงไหน เพื่อให้มั่นใจว่าจะเป็นไปตามที่คิดไว้ อวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจต้องการขอดูสักเม็ดหนึ่ง

 

 

“เยี่ยถัว ข้าเองก็ถือเป็นคนที่มีความรู้อยู่บ้างคนหนึ่ง แต่ไม่เคยเห็นสมบัติล้ำค่าของเทพเซียนที่มีกลิ่นหอมแปลกเช่นนี้มาก่อน ไม่ทราบว่านำมาให้ข้าดูสักเม็ดเพื่อเปิดหูเปิดตาได้หรือไม่”

 

 

เมื่อเยี่ยถัวได้ยินคำพูดประโยคนี้จึงยิ่งหัวเราะอย่างสะใจมากขึ้น วันนี้เขาถูกอวิ๋นเยี่ยเหยียดหยามทั้งวัน ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถเอาคืนได้ จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร

 

 

สาวใช้ก็ได้นำถาดเข้ามาอีกครั้ง เพียงแค่เยี่ยถัวโบกมือ สาวใช้ก็วางไว้ตรงหน้าของอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง จ้องมองอวิ๋นเยี่ยราวกับป้องกันโจรขโมยก็ไม่ปาน

 

 

เมื่อยาถูกวางไว้ในมืออวิ๋นเยี่ยก็มั่นใจได้ทันทีว่า น้ำหนักที่กดทับอยู่บนมือบ่งบอกถึงปริมาณการอัดแข็งที่ไม่แตกง่ายๆ ยาลูกกลอนที่เป็นมันเงากลิ้งไปมาอยู่ภายใต้แสงที่ส่องสว่าง เปล่งประกายแวววาวของโลหะ เมื่อนิ้วมือออกแรงบีบเล็กน้อยพบว่าค่อนข้างนิ่ม เยี่ยมมาก เป็นสารตะกั่ว ยาสลายกระดูกของหลี่ฉุนเฟิงนั้นแรงระเบิดเบาเกิน ต่อให้ยาลูกกลอนของเขาสิบลูกก็ไม่สามารถเทียบของที่คนอื่นปรุงเพียงเม็ดเดียวได้ ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพรอะไรที่สามารถทำให้พิษของสารตะกั่วเป็นกลางได้ เมื่อก่อนตอนฉันเข้าโรงพยาบาลของสถาบันวิจัยสุขอนามัยของกรมแรงงาน ตลอดทั้งวันได้เห็นคนงานในโรงงานถลุงแร่สังกะสีและตะกั่วนำขวดนมรอกำจัดสารตะกั่วในร่างกายอยู่ไม่น้อย เดินโงนเงนอยู่ตรงระเบียงทางเดินด้วยสภาพที่น่าสังเวช ประสาอะไรกับที่ยาของเยี่ยถัวนั้นถูกห่อด้วยเมอร์โบรมิน[1]อีกชั้นหนึ่ง เป็นการป้องกันถึงสองชั้น

 

 

อวิ๋นเยี่ยเก็บยาวางกลับไว้ในกล่องด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ปฏิบัติต่อเยี่ยถัวด้วยความเคารพนบนอบในทันที ผู้ที่สามารถยืนหยัดทนพิษที่ร้ายแรงอยู่ได้นานหลายวันเช่นนี้ มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับความเคารพนบนอบจากเขา

 

 

“หนทางแห่งการเป็นเซียนนั้นช่างยากเข็ญและอันตราย พี่เยี่ยถัวไม่เกรงกลัวต่อความยากเข็ญและอันตรายเพื่อสำรวจค้นหาวิถีแห่งเซียน ช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และมากด้วยภูมิปัญญาจริงๆ น้องชายขอแสดงความนับถือจากใจ คำพูดเมื่อครู่ที่ได้ล่วงเกินไปนั้น หวังว่าพี่ชายอย่าได้ถือสา ข้าต้องขอขมาท่านด้วยแล้ว” อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นยืนแล้วจัดชุดให้เรียบร้อย แสดงการคารวะต่อเยี่ยถัวด้วยความนอบน้อม

 

 

สวี่จิ้งจงรู้สึกประหลาดใจมาก ในที่สุดอวิ๋นโหวก็ยอมก้มศีรษะแล้ว ซึ่งนี่เป็นข่าวดีสำหรับเขา ชีวิตน้อยๆ ก็ได้รับประกันแล้ว ที่จริงแล้วเขาดูออกว่า เยี่ยถัวนั้นให้ความเคารพต่ออวิ๋นเยี่ยมากกว่าความคิดที่จะเป็นศัตรู ขอเพียงสนทนากันอย่างถูกคอ บางทีอวิ๋นเยี่ยอาจจะแสวงหาผลประโยชน์จากเยี่ยถัวได้อยู่ไม่น้อย

 

 

เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยแสดงการคารวะเขาก็ไม่สมควรที่จะนั่งต่ออีก จึงยืนสองมือไว้ข้างลำตัวและยิ้มเป็นการตอบรับ

 

 

ในงานเลี้ยงมักจะต้องมีความแข็งแกร่งอยู่เสมอ ในช่วงครึ่งแรกอวิ๋นเยี่ยแข็งเกินไป แม้ว่าเยี่ยถัวจะเป็นคนนิสัยดีเพียงไหน ก็ต้องถูกความหยิ่งในศักดิ์ศรีกระตุ้นให้เกิดความทระนงตน ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยยอมแพ้ให้กับยาล้ำค่าในใต้หล้าที่ทำให้ตกใจ ได้ทำให้จิตใจที่ทระนงสูงส่งของเยี่ยถัวรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เดิมเขาเป็นหัวหน้าโจรขโมยม้าในทุ่งหญ้าร้างอันกว้างใหญ่นี้ ปกติอยู่เหนือผู้คน ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่แต่เพียงคนเดียว การยับยั้งชั่งใจกับอวิ๋นเยี่ยก็เป็นเพราะความหวังสุดท้ายในใจที่อยากจะเป็นอมตะกำลังแผลงฤทธิ์อยู่ หากเป็นคนอื่น มีหวังได้โดนถลกหนังตัดเส้นเอ็นไปนานแล้ว

 

 

 

 

——

 

 

[1] เมอร์โบรมีนหรือชื่อสามัญที่เรียกกันทั่วไปว่า ยาแดง เป็นสารระงับเชื้อเฉพาะที่ 

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Score 10
Status: Completed

ส่วนที่ 1 – 5 อ่านนิยาย

ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!

เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก

ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

Options

not work with dark mode
Reset