เจาะเวลาสู่ต้าถัง 27

ตอนที่ 27
ลอบสังหาร

 

 

 

อวิ๋นเยี่ยคิดไม่ถึงว่าอาคารนี้ทั้งหมดจะใหญ่มากถึงเพียงนี้ สร้างด้วยท่อนไม้หนาขนาดท่อนแขนทั้งหมด จากนั้นจึงหุ้มด้วยหนังอูฐ หน้าต่างทั้งสี่ด้านถูกคลุมด้วยหนังที่ไม่รู้ว่าเป็นหนังของอะไร ซึ่งบางและโปร่งใส อาคารทั้งหลังสวยงามโอ่อ่า ทุกที่เต็มไปด้วยผ้าม่านหลากสีสัน ภาชนะล้ำค่านานาชนิดเลี่ยมทองฝังเงินกระจัดกระจายอยู่บนพื้น อวิ๋นเยี่ยหยิบกาเหล้าม้าเริงระบำขึ้นมาดูตรงหน้าอย่างละเอียด ทั้งสองด้านของกาเป็นรูปม้าทองคำลายนูนสูง เป็นลายกีบที่ทับซ้อนกันขึ้นมา ม้าร่ายรำอย่างสง่างาม แผงคอพลิ้วไหว สร้อยถักคล้องคอแกว่งไกว ภาพม้าเริงระบำมอบอายุที่ยั่งยืน โดดเด่นดูชีวิตมีชีวิตชีวา

 

 

ขณะที่กำลังส่งเสียงจุ๊ปากชื่นชมอยู่นั้น เสียงแหบห้าวก็ดังขึ้นมา “เหตุใดอวิ๋นโหวถึงให้ความสำคัญกับสิ่งของแต่ไม่ใส่ใจตัวบุคคล”

 

 

“ตั้งแต่พริบตาแรกที่ก้าวเข้ามาในอาคารนี้ อยากจะไม่สนใจเจ้าก็เป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ เพื่อที่จะให้พวกเราได้สนทนากันอย่างสบายใจ ก่อนอื่นจึงได้ชื่นชมภาชนะของที่นี่ หรือว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่แขกควรทำเช่นนั้นหรือ” อวิ๋นเยี่ยยังไม่ยอมวางกาเงินในมือลง ยังคงชื่นชมต่อไป แต่สวี่จิ้งจงกลับเริ่มเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง

 

 

“โอ้ หรือว่าอวิ๋นโหวรังเกียจที่เยี่ยถัวเป็นชาวต่างเผ่า จึงไม่อยากคุยกับข้า”

 

 

“ภาษาชาวฮั่นของเจ้ายังพูดได้ดีกว่าข้าเสียอีก เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ข้ารู้สึกว่าตัวเองยิ่งเหมือนคนป่าไร้อารยธรรมมากกว่าอีก จะมีเหตุผลใดให้รังเกียจกันอีก” อวิ๋นเยี่ยพลางพูดพลางมองหาจอกเหล้าที่เข้าชุดกับกาเงินจากบนพื้น สวี่จิ้งจงดูเหมือนจะรู้สึกร้อนเล็กน้อย ดวงตามองไปที่พื้น เหงื่อก็ไหลอยู่ตลอด

 

 

“เจ้าหาจอกเหล้าไม่เจอหรอก ถูกข้าบีบจนแบนหมดแล้ว”

 

 

“ไม่รู้จักถนอมของล้ำค่า ของที่ล้ำค่าบนโลกที่มีเลอค่าเช่นนี้กลับไม่รู้จักรักษามันไว้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ ของล้ำค่าเช่นนี้ถูกทำให้เป็นของที่ใช้การไม่ได้ไปตลอดกาล ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษย์เราจริงๆ”

 

 

“เหตุใดอวิ๋นโหวจึงไม่กล้ามองข้า ข้ากลายเป็นอย่างเช่นปัจจุบันนี้เกี่ยวข้องกับอวิ๋นโหวเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าอวิ๋นโหวมีอะไรจะสอนข้าหรือไม่” ไม่รู้ว่าทำไมเสียงแหบห้าวจึงหายแหบแล้ว ทั้งยังมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นหลายส่วน แต่สำเนียงแปลกๆ ให้ความรู้สึกคล้ายกับเย้ยหยันอยู่บ้าง

 

 

“ไม่ใช่ไม่กล้ามองเจ้า แต่กำลังคิดว่าเจ้าต้องประสบกับอะไรมาก่อนจึงมีสภาพเหมือนปีศาจดังปัจจุบัน”

 

 

“อวิ๋นโหวไม่รู้หรือ”

 

 

“จากภาพนั้นข้าก็รู้ว่าเจ้าไปยังสถานที่ของซีหวังหมู่มาแล้ว สระสวรรค์สวยหรือไม่”

 

 

เสียงของเยี่ยถัวดูเหมือนจะถูกเค้นออกมาจากท้อง เสียงอึกอักเหมือนมีหนังวัวชั้นหนึ่งกั้นอยู่ “เพื่อสระสวรรค์ที่เจ้าพูดถึง มือดีที่ซื่อสัตย์ที่สุดสิบหกคนของข้าตายในทุ่งหญ้าร้าง อวิ๋นโหวจะไม่ตอบอะไรข้าหน่อยหรือ” หลังจากฟังคำพูดนี้จบ สวี่จิ้งจงก็นั่งคุกเข่าลงบนพื้น ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว

 

 

“วาสนาหรือทุกข์ภัยเดิมนั้นไร้ประตู ปล่อยให้คนเราไปค้นหาเอง ประการแรก ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปที่นั่น ประการที่สองข้าไม่ได้เชิญเจ้าไปที่นั่น เจ้าได้ยินข่าวลือแล้วก็รีบไป จะโทษใครได้ เยี่ยถัว ข้ารีบเดินทางเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน ทั้งกระหายน้ำทั้งเหนื่อย เจ้าจะไม่ให้พวกเขาจัดอาหารเครื่องดื่มหน่อยหรือ ให้แขกยืนคุยถือเป็นหลักการต้อนรับของเจ้าหรือ” อวิ๋นเยี่ยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าเยี่ยถัวก็คือตัวโชคร้ายตั้งแต่หัวจรดหางอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าได้ยินคำลวงของใครเข้า ตัวเองวิ่งโร่ไปยังดินแดนแห่งเทพเจ้าเอง เมื่อถูกธรรมชาติลงโทษ จึงต้องพบกับฉากจบที่น่าเศร้าเช่นนี้ ถึงตอนนี้ก็ยังคงมีความหวังอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตอมตะอีก คนโง่ที่สมองตายด้านประเภทนี้ แม้มีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ความสามารถที่แข็งแกร่งกว่านี้ ก็ไม่น่าหวาดกลัวอะไร เมื่อเรื่องในใจปล่อยวางได้ เชื่อว่านิสัยย่อมอ่อนโยน

 

 

“จริงสิ ทำไมเจ้าจึงแขวนตัวเอง ทั้งยังใช้ห่วงเงินเจาะทะลุผิวหนังตัวเองอีก ใครเสนอความคิดให้เจ้า” อวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะค้นพบว่าชายคนนี้เป็นพวกวิปริตอย่างแท้จริง เจาะรูจำนวนมากบนหลังของตัวเองและร้อยห่วงเงินที่ผิวหนังด้านหลัง จากนั้นใช้เชือกหนังร้อยเชื่อมกันเพื่อแขวนตัวเองขึ้นไป เขาไออย่างทรมานไม่หยุด ขากเสมหะสีดำอ่อนๆ ออกมาไม่หยุด

 

 

 “หึๆๆ สิ่งนี้ก็ได้มาจากท่านนี่ล่ะอวิ๋นโหว เพราะอะไรเจ้าไปที่สระสวรรค์โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ข้าแค่พาพี่น้องไปดูสักครั้งด้วยความยากลำบาก กลับต้องพบกับความทุกข์ทรมานอันเลวร้ายเช่นนี้ ครั้งแรกหิมะถล่ม ต่อมาคือทะเลเพลิง สงสารพี่น้องสิบหกคนของข้า บ้างก็ถูกหิมะถล่มดูดกลืนไป บ้างก็ถูกเปลวไฟเผาจนเป็นกองขี้เถ้า ข้าได้แต่พึ่งพาวิชาที่น่าหวาดกลัวของนักบวชปีศาจแห่งเทียนจู๋ มันเป็นเพราะเหตุอันใดกัน”

 

 

ในยุคปัจจุบัน พวกที่เป็นโรคมาโซคิสม์[1]พบมากที่สุดคืออินเดีย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีนักบวชที่บำเพ็ญทุกรกริยาจำนวนมากที่ต้องการบรรเทาอาการบาดเจ็บทางจิตใจโดยใช้ความเจ็บปวดทางร่างกาย กล่าวกันว่ามันมีประสิทธิภาพมาก คิดไม่ถึงว่าจะได้พบอยู่ที่นี่คนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเป็นผู้ถูกกระทำอีกด้วย เมื่อเห็นภาพที่เจ็บปวดแสนสาหัสของเยี่ยถัวแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะหัวเราะ การปีนเขาในฤดูหนาวการจะเจอหิมะถล่มมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ในยุคปัจจุบันยังมีที่ถูกฝังไปหลายคนเลย ตอนนี้สภาพแวดล้อมดีเช่นนี้ คิดว่าหิมะบนภูเขาหิมะคงจะมากกว่าในยุคปัจจุบันมากพอสมควรกระมัง คิดว่าพวกเขาคงเคลื่อนไหวรุนแรงไม่น้อย ไม่ทำให้หิมะถล่มสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก ชื่นชมทัศนียภาพบนภูเขาเทียนซันแต่ไม่มีรถกระเช้าให้นั่ง ไม่มีคนตายก็บ้าแล้ว สำหรับภูเขาไฟ นั่นเป็นเรื่องคุณสมบัติตัวบุคคล อวิ๋นเยี่ยไม่ขอแสดงความคิดเห็น

 

 

เมื่อเห็นท่าทีที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์แล้วตัวเองมีความสุขของอวิ๋นเยี่ยแล้ว เพลิงโทสะของเยี่ยถัวก็ยิ่งโหมแรง แกว่งร่างกายไปมาแต่กลับตัดสินใจไม่ได้ที่จะกำจัดอวิ๋นเยี่ย ตบมือเบาๆ ก็มีสาวใช้เข้ามา เพียงพริบตาก็เก็บกวาดอาคารที่เละเทะจนสะอาดหมดจด ก็มีหญิงที่สวมหมวกทรงกรวยอีกหลายคนยกอาหารเข้ามาในอาคารอีกครั้ง ไม่นานนักโต๊ะยาวก็เต็มไปด้วยอาหาร โดยมีเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่และมีแตงหลายชนิดที่ทนต่อการเก็บรักษา อวิ๋นเยี่ยหยิบแตงลูกหนึ่งขึ้นกัดกินโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย รู้สึกสดชื่นมาก

 

 

“ดูแล้วอวิ๋นโหวจะไม่กังวลกับสถานการณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย หรือจะบอกว่าอวิ๋นโหวสามารถรับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้ด้วยความปราดเปรื่อง ทหารม้าห้าร้อยนายของต้าถังที่อยู่ด้านหลังของเจ้า ได้กลับเมืองซั่วฟางตามคำสั่งทหารแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ายังมีลูกไม้อะไรอีก จึงยังพูดคุยหัวเราะเล่นในรังของข้าได้อีก” เมื่อพูดจบก็เริ่มไออีก ดูท่าแล้วเถ้าจากภูเขาไฟในปอดของเขาเหมือนจะทำให้เขาทรมานอยู่ไม่น้อย

 

 

ดูแล้วน่าขยะแขยง อวิ๋นเยี่ยดึงผ้าม่านเข้ามาเพื่อกันไม่ให้น้ำลายกระเด็นมาโดน

 

 

“เยี่ยถัว อยากดื่มเหล้าหรือไม่ เหล้าองุ่นของเจ้ารสชาติไม่เลว ดีกว่าของฉางอันมากมายนัก” หลังจากดื่มเหล้าดีในจอกทองคำแล้ว อวิ๋นเยี่ยเก็บจอกเหล้าไว้ในอกเสื้อแล้วดื่มจากปากกาเหล้าแทน

 

 

ยิ่งอวิ๋นเยี่ยไร้มารยาทเท่าไร เยี่ยถัวกลับยิ่งสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยที่เหยียดหยามเขา น้ำเสียงก็ยิ่งอ่อนโยนลง

 

 

“เห็นสภาพปีศาจแบบข้าในตอนนี้ เจ้ายังสามารถดื่มได้อีกหรือ หากอวิ๋นโหวชอบ ก็เชิญดื่มให้มากๆ”

 

 

“ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยง เจ้าจะไม่ดื่มเหล้าหน่อยหรือ จะให้ข้าสบายใจดื่มได้อย่างไร เจ้าถอดห่วงที่น่าขำพวกนั้นออก ข้าจะให้ยาเจ้าเม็ดหนึ่ง เจ้าไปหาหัวไชเท้านำมาคั้นน้ำแล้วดื่ม เจ้าก็สามารถดื่มเหล้าได้แล้ว ข้าดื่มคนเดียวมันไม่สนุก หากเจ้ายังต้องการสนุกให้มากกว่านี้ ข้าจะเจาะรูเล็กๆ บริเวณหลอดลมแล้วสอดท่อเข้าไป พวกเราก็สามารถดื่มได้อย่างเต็มที่แล้ว เจ้าว่าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยเสนอวิธีแก้ไขให้

 

 

สวี่จิ้งจงตาโตเหมือนไข่ห่าน กลั้นหายใจ ปากยังคาบแกะชิ้นหนึ่งไว้ มองอวิ๋นเยี่ยราวกับเห็นผี

 

 

เยี่ยถัวกลับหัวเราะด้วยเสียงแหบห้าว เมื่อสะบัดมือข้างกายเพียงครั้งเดียว เขาก็ลงมายืนอยู่บนพื้น จากนั้นก็มีหญิงรับใช้มาถอดห่วงเงินออกจากหลังของเขาทีละอัน

 

 

เยี่ยถัวคลุมผ้าคลุมผืนใหญ่ยืนเท้าเปล่าอยู่บนพื้นไม้ เขาสูงสองเมตร ผิวสีคล้ำที่ดูเหมือนทาด้วยน้ำมันส่องประกายเงาวับ อาการเจ็บปวดในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ชายชาตรีคนนี้ล้มลงได้ ในทางตรงกันข้ามสีหน้ายังแสดงออกถึงท่าทีห้าวหาญ

 

 

อวิ๋นเยี่ยแอบถอนหายใจในใจ ปอดของเขาถูกเผาด้วยเถ้าภูเขาไฟอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้หายใจลำบาก จึงได้คิดใช้วิธีชะลอการหายใจของนักบวชที่บำเพ็ญทุกรกริยาเพื่อฟื้นฟูด้วยตัวเอง เมื่อผ่านไปเป็นเวลานาน บางทีเขาอาจจะหายได้ด้วยตัวเอง วิธีนี้ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวด ดูเหมือนพวกวิปริต แต่กลับเป็นวิธีที่ดีที่สุดภายใต้สภาวะปัจจุบัน

 

 

หลังจากที่คนในกองกำลังตัวเองตายไปหกคนแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยให้ฆาตกรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีก หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด นี่คือสัจธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ได้เห็นทาสที่น่าสงสารเหล่านั้นตายอย่างน่าเวทนาและหมดหนทางสู้เช่นนั้นด้วยตาตนเอง เปลวไฟในใจกำลังเผาไหม้ เปลวไฟนี้เกือบจะทำให้เลือดของเขาเดือดขึ้น หากฆาตกรไม่ตาย ความโกรธก็ยากจะสงบลง

 

 

การฆ่าคนคนหนึ่งนั้นง่ายเกินไป โดยเฉพาะกับแพทย์ที่มีชื่อเสียงด้วยแล้ว ซุนซือเหมี่ยวเคยบอกว่า แม้ว่าจะเป็นฆาตกรฆ่าพ่อ เขาก็จะไม่ใช้วิชาแพทย์ฆ่าคน เขาไม่ทำ แต่อวิ๋นเยี่ยทำ การเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายที่ชอบฆ่าคนเช่นนี้ เขาไม่รังเกียจที่จะใช้ทักษะทั้งหมดที่มีของตัวเองเพื่อฆ่าผู้คนโดยปราศจากร่องรอย อวิ๋นเยี่ยเคยทดลองแล้ว ยาจินตันที่หลี่ฉุนเฟิงปรุงขึ้นสามารถวางยาพิษให้นกตายได้หนึ่งตัว เขามอบยาขวดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ยาละลายกระดูก’ ซึ่งตัวเองปรุงขึ้นมอบให้แก่อวิ๋นเยี่ย จึงถูกหยวนเทียนกังอบรมยกใหญ่ ยายังถูกริบคืน เขาจึงเพิ่มขนาดยาขึ้นและทำอีกครั้ง เล่ากันว่าเมื่อกินแล้วสามารถเหาะเหินได้ทันที

 

 

อวิ๋นเยี่ยเชื่ออย่างยิ่งว่าเพราะขณะที่หลี่ฉุนเฟิงปรุง ‘ยาสลายกระดูก’ ขึ้นใหม่ในห้องยาของซุนซือเหมี่ยว เขาตั้งใจใส่สยงหวง[2]เพิ่มและเพิ่มถึงสามเท่าด้วย ซึ่งสยงหวงนี้หลังจากถูกทำให้ร้อนจะกลายเป็นสารหนู ตามที่ซุนซือเหมี่ยวบอก เมื่อเขาเห็นของสิ่งนี้ก็อยากจะมรรคผลแล้ว ยังจะนำมากินอีกหรือ คนปกติคนหนึ่ง หากกินติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถ้าหากยังไม่ตาย เช่นนั้นคนคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นเทพเซียนเท่านั้น

 

 

ในขวดใบเล็กๆ สีม่วงมียาแก้อักเสบอยู่หนึ่งเม็ด พ่อบ้านนำน้ำหัวไชเท้าชามใหญ่เข้ามา เยี่ยถัวดื่มน้ำหัวไชเท้าหมดในคราวเดียว จากนั้นจึงกินยาแก้อักเสบอย่างระมัดระวัง นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานจึงค่อยลืมตาขึ้น เขาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก ดีกว่าการที่แขวนตัวอยู่ตรงนั้นเสียอีก ความรู้สึกร้อนผ่าวตรงหน้าอกสลายไปมาก คาดว่าคงเป็นยาของอวิ๋นโหวที่ออกฤทธิ์แล้ว”

 

 

“ไม่เร็วเช่นนั้นหรอก เพียงเพราะความร้อนในปอดของเจ้าถูกน้ำหัวไชเท้าระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น ยาที่ให้เจ้าต้องใช้เวลาหนึ่งวันจึงจะออกฤทธิ์ ถึงตอนนั้นเจ้าจึงจะรู้สึกปลอดโปร่ง”

 

 

เยี่ยถัวหัวเราะฮ่าๆ เมื่อปรบมือหนึ่งที ก็มีนางรำหลายคนที่ใช้ผ้าบางคลุมหน้าเดินออกมาจากด้านหลังผ้าผ่านในทันใด ในมือไม่ได้ถือเครื่องดนตรี แต่ถือมีดสั้นคมกริบ ด้านหลังผ้าม่านมีเสียงกลองจังหวะเร่งเร้าดังขึ้น นางรำหลายคนนั้น บิดเอวขยับไหล่เริ่มเต้นรำ บริเวณสะดือมีรอยสักลวดลายเปลวเพลิง ยามขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วกลับกลายเป็นดอกบัวบาน

 

 

ขณะที่กำลังนั่งชมอย่างเคลิบเคลิ้ม ด้านหลังมักจะมีคนเบียดเข้ามา แต่เมื่อหันกลับไปมองกลับเป็นหญิงเลี้ยงแกะ นางสวมเสื้อผ้าของสาวเปอร์เซีย ด้วยผิวสีคล้ำ ดวงตาทั้งสองยังกลมโต ไม่รู้ว่านางเป็นพวกไร้แกนสมองหรือเป็นพวกหัวทื่อแต่กำเนิด เมื่อครู่ยังกลัวแทบตาย เกือบจะถูกจับทำเป็นจอกเหล้า ตอนนี้กลับมายืนมองอาหารบนโต๊ะจนเริ่มน้ำลายไหล

 

 

ให้เมลอนนางชิ้นหนึ่ง ยังไม่พอใจ กินหมดภายในไม่กี่คำ ก็เบียดอวิ๋นเยี่ยให้ส่งอาหารให้นางอีก ดวงตาก็จ้องมองไก่ชิ้นใหญ่ที่มันเยิ้มอย่าวไม่ละสายตา จนแทบจะแลบลิ้นออกมาอยู่แล้ว ช่วยไม่ได้ เขาจึงต้องยกให้พร้อมจาน นางจึงจะยอมหยุดในที่สุด

 

 

อวิ๋นเยี่ยดูการเต้นรำพลางดื่มเหล้า ไม่สนใจเยี่ยถัวที่กำลังเดินลมปราณอยู่ตรงนั้น เยี่ยถัวก็ไม่พูดอะไร ก้มศีรษะครุ่นคิด ดูเหมือนอยากจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องทั้งหมด เขายังมีคำถามมากมายที่ต้องการให้อวิ๋นเยี่ยยืนยัน แต่กลับไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นถือถ้วยเปล่าที่ไม่มีอะไรเลย และกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรจึงเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยถัวกิน ‘ยาสลายกระดูก’ ของหลี่ฉุนเฟิงได้

 

 

 

 

——

 

 

[1] โรคมาโซคิสม์ อาการทางจิตประเภทหนึ่ง โดยผู้ที่เป็นจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้รับความเจ็บปวดหรือถูกทรมาน

 

 

[2] สยงหวง หรือ สารแร่รีลการ์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ทำดินระเบิด หากนำเข้ายาก็สามารถใช้แก้พิษได้

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Score 10
Status: Completed

ส่วนที่ 1 – 5 อ่านนิยาย

ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!

เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก

ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

Options

not work with dark mode
Reset