ตอนที่ 314 เธอดีใจก็คงไม่สายเกินไปหรอก!
ถังซั่วเองก็มองไปที่พวกเขา ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นมา “เข้ามาดูพวกเขาสิ”
“ขอบคุณค่ะ” อันโหรวตอบกลับอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินตรงไปเล่นกับหยางหยางและหน่วนหน่วน
จิ่งเป่ยเฉินและถังซั่วไม่ได้เจอกันนาน จึงเดินลงบันไดเพื่อออกไปพูดคุยกัน
“แม่จ๋า หนูไม่เป็นอะไรแล้ว หนูสามารถลุกออกจากเตียงได้แล้วค่ะ” หน่วนหน่วนมองเธอด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
นั่นก็เพราะถึงแม้ตัวเธอจะไม่บาดเจ็บจนถึงกระดูก แต่หลังจากที่ผ่านไปนานขนาดนั้น เธอก็พยายามลองลุกจากเตียงดู แต่ก็รู้สึกกังวลไม่ใช่น้อย
“แม่จ๋า พี่ชายวันนี้ก็ลุกจากเตียงได้แล้วด้วย“ หน่วนหน่วนมองไปที่แม่ ก่อนจะขายพี่ชายออกไปบ้าง
ตลอดวันพวกเขาก็อยู่แต่ในห้องและเล่นด้วยกันอยู่เสมอ อันโหรวหันหน้าไปมองหยางหยาง มือของเขากำลังถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง
เขากำลังจ้องมองท่าทีของแม่ด้วยท่าทางใจเย็น ก่อนจะพูดไปอย่างช้า ๆ ว่า “แม่จ๋า ผมผิดไปแล้ว”
“ไม่หรอก แม่จ๋าไม่ตำหนิหนูหรอกนะ แม่จ๋าแค่คิดอยากจะถามว่าพวกหนูรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า รู้สึกยังไงบ้าง?” การที่พวกเขาสามารถลงมาเดินเล่นกับพื้นได้แบบนี้ อีกทั้งวิ่งไปมาพร้อมกับกระโดด เธอดีใจก็คงไม่สายเกินไปหรอก!
แล้วจะให้ตำหนิพวกเขาได้ยังไง
“ดีขึ้นเยอะแล้ว”
“อย่าฝืนตัวเองมากไปนะรู้ไหม? ค่อย ๆ ทำ แม่จ๋าจะอยู่ข้าง ๆ พวกหนูเอง” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่เคียงข้างพวกเขา แต่จิ่งเป่ยเฉินก็ยังอยู่
“อืม” หยางหยางพยักหน้า
อันโหรวอยู่ในห้องพวกเขานานสักพักหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ
ช่วงที่เธอเดินลงไปข้างล่าง ถังซั่วเองก็ออกไปแล้ว ส่วนทางด้านจิ่งเป่ยเฉินก็ยืนอยู่ตรงระเบียงและกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร
หนึ่งนาทีต่อมา เขาก็วางสายโทรศัพท์ก่อนจะเดินเข้ามา สายลมเย็น ๆ ในยามค่ำคืนพัดผมของเขาจนดูกระเซอะกระเซิง ใบหน้าที่เคร่งขรึมเผยอารมณ์ที่หนาวเย็นออกมาด้วยท่าทางที่ขมขื่นเล็กน้อย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้ตอบกลับคำถามของเธอ แต่กลับเดินเข้ามากอดเธอแทน
เขาไม่อยากจะทิ้งเธอไปไหนทั้งนั้น แต่ในใจก็กังวลว่าหลังจากที่เขาไป เมื่อกลับมาแล้วเธอจะไม่อยู่ข้าง ๆ กายเขาอีกแล้ว
เมื่อครู่มีลมหนาวพัดเข้ามาเล็กน้อย แต่หลังจากที่ได้กอดเธอ ตัวของเขาก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ตัวของเธอนั้นอบอุ่นมาก ทั้งนุ่มนวลและดูสบายเป็นอย่างมาก
“มีงานที่ต่างประเทศ ต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง พรุ่งนี้ก็ต้องไปแล้ว”
อันที่จริงเขาสามารถพาเธอไปด้วยได้ แต่ว่าหยางหยางกับหน่วนหน่วนอยู่ที่บ้านแบบนี้ เธอคงไม่เต็มใจที่จะไปด้วยแน่ ๆ เพราะงั้นเขาก็เลยต้องไปกับฉีเซิ่งเทียนแทน
“จะกลับมาเมื่อไหร่?”
“เร็วสุดสามวัน ช้าสุดก็สัปดาห์หน้า”
เขายังคงไม่คิดอยากจะจากไปอยู่ดี อีกทั้งตอนนี้ก็เริ่มหวนคิดถึงเรื่องที่จำเป็นต้องออกเดินทาง
“ฉันจะรอนะ! ไม่ใช่จากลาแบบความตายเสียหน่อย” เพียงแต่ว่าเวลาสัปดาห์หนึ่งก็น่าจะมากพอให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาได้อยู่ดี
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเธอ ความคิดของจิ่งเป่ยเฉินก็เริ่มคิดไปเรื่อยมากขึ้นทุกที
ก่อนจะกอดเธอแน่น ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูของเธอ “ฉันโลภขึ้นทุกวัน อยากอยู่กับเธอทุก ๆ วันเลย อยากจะอยู่กับเธอไปตลอด”
“อืม ดูท่าน่าจะโลภจริง ๆ นั่นแหละ”
อีกอย่างตัวเธอเองก็คิดอยากจะได้อิสระ ถ้าหากทุกวันต้องตัวติดกับเขาไปตลอดแบบนี้ มีหวังไม่ช้าก็เร็วเธอได้กลายเป็นอัมพาตติดเตียงเพราะอาการปวดหลังแน่ ๆ
ภายในใจของจิ่งเป่ยเฉินช่างเย็นชาเสียจริง ๆ
“ที่รัก ไม่คิดถึงฉันบ้างเลยเหรอ?” เขาต้องทิ้งเธอไปต่างประเทศอย่างน้อยสามวันเชียวนะ
“ไว้รอนายไปค่อยคิดถึง!” อันโหรวผลักเขาออก “นายยังไม่ไปเสียหน่อย! อย่ามามองฉันแบบนี้”
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ตัวเธอด้วยท่าทางที่ดูดุดัน ก่อนจะก้มหน้าลงและขบไปที่ติ่งหูของเธอ “คืนนี้ฉันจะทำให้เธอจำฉันไปตลอดทั้งคืนเลยคอยดูสิ”
“ที่รัก ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ ขอร้อง!” เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นผิดไปจริง ๆ ตอนนี้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่บนเตียง แต่เมื่อมองดวงตาของเขาก็เห็นได้ถึงเจตนาที่ชัดเจนของเขา
เขายื่นมือไปบีบใบหน้าของเธอเบา ๆ มุมปากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย “ขอร้องให้ลูบคลำเยอะ ๆ สินะ”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” เธอหมุนตัวหันหลังกลับ คิดจะวิ่งหนีจากอ้อมแขนของเขา
แต่ดูท่าค่ำคืนนี้น่าจะไม่รอดแน่ ๆ เมื่อบิ๊กบอสต้องออกจากบ้านไปหลายวัน ความกล้าหาญชาญชัยของเขาย่อมพุ่งสูงขึ้น ถึงแม้ปกติเขาจะกล้าทำเรื่องพวกนี้ทุก ๆ วันอยู่แล้วก็ตาม
ในวันรุ่งขึ้น เธอเอื้อมมือไปมาตามความเคยชิน แต่ก็พบว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่อยู่แล้ว ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาเล็กน้อย
ความคุ้นเคยที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีเขาอยู่ข้างกาย ตอนนี้กลายเป็นว่าเหลืออยู่คนเดียวบนเตียงที่ว่างเปล่า เธอหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองนอนหลับอยู่สักพักหนึ่ง
ถึงแม้ว่าบิ๊กบอสกับฉีเซิ่งเทียนจะไม่อยู่ แต่งานก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป
เธอขับรถออกไปที่บริษัท ก็พบโอวหยางลี่ยินอยู่ที่หน้าประตูบริษัท
เขาสวมเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้ม พร้อมกับยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู เมื่อไม่ได้เห็นเขามานานพอสมควร ดูเหมือนเขาจะผอมซูบลงไปนิดหน่อย
เธอเดินเข้าไปด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง ไม่สนใจตัวตนที่เขายืนอยู่ตรงนั้น แต่ทางด้านตัวเขากลับรีบเดินเข้ามาหาเธอทันที
“โหรวโหรว” เขาเผยรอยยิ้มแห่งความสุขขึ้นมาบนใบหน้า
เจอกันครั้งที่แล้ว เวลาก็ผ่านไปนานมาก หลายวันผ่านไปแบบนี้ ในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสพบกับเธออีกครั้ง
เธอหยุดเดินก่อนจะมองเขาด้วยท่าทีที่เย็นชา “ประธานโอวหยาง ประธานจิ่งไม่อยู่บริษัท ถ้าหากว่าคุณมีธุระอะไรกับเขา กรุณานัดหมายล่วงหน้าด้วยนะคะ”
“ฉันไม่ได้มาหาเขา ฉันมาหาเธอต่างหาก” โอวหยางลี่มองไปที่ตัวเธอ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอนั้นทำท่าทางห่างเหินกับเขามากจริง ๆ
ก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
สิบนาทีผ่านไป ที่ร้านกาแฟตรงข้ามกับบริษัทจิ่ง ทั้งสองคนนั่งลงเผชิญหน้ากัน
อันโหรวเติมน้ำตาลลงในถ้วยกาแฟของตัวเอง ก่อนจะหยิบขึ้นมาจิบอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง แต่ชายที่มองอยู่ตรงข้ามกลับดูร้อนรนจนทำให้เธอนั้นเริ่มรู้สึกรำคาญ
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ! ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน ประธานโอวหยางไม่มีงานทำก็ช่าง แต่ฉันมีงานอีกเยอะที่ต้องทำ ค่อนข้างยุ่งมากด้วย” เธอไม่อยากจะพูดคุยกับเขาที่หน้าบริษัทจิ่ง เพราะงั้นจึงคิดว่าออกไปที่อื่นแทนน่าจะดีที่สุด
โอวหยางลี่มองดวงตาของเธอที่ดูเหม่อลอย ในดวงตาพลันรู้สึกเศร้าขึ้นมาลึกๆ “โหรวโหรว เธออยากให้ฉันทำอะไรเพื่อที่เธอจะกลับมาอยู่กับฉันเหมือนในอดีต”
“ตอนนี้คุณคิดจะมาล้อเล่นอย่างนั้นเหรอ?” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเย็นชา และพูดต่อไปว่า “ถ้าหากคุณมาที่นี่เพื่อพูดเรื่องพวกนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีกแล้ว”
“โหรวโหรว!”
“พวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดเรียกด้วยชื่อแบบนี้นะคะ ประธานโอวหยาง ตอนนี้คุณไม่มีอะไรทำหรือยังไงคะ?” ช่วงนี้เขาน่าจะยุ่งมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงว่างจะมาพบเธอแบบนี้?
ถึงแม้จะมีเรื่องสบายใจแค่ไหน แต่การที่มาพูดคุยกับเธอด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้
“เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าฉันจะผูกขาดทางการค้า?” โอวหยางลี่ยิ้มพลางหัวเราะออกมา “จิ่งเป่ยเฉิน แม้ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจในด้านการผูกขาดแบบนั้น ทำไมจะต้องมาพูดคุยกับฉันด้วย!”
ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ใช่คนที่ชอบสักเท่าไร แต่กาแฟร้อน ๆ ที่อยู่ตรงหน้าเธอก็คิดอยากจะลองชิม ขณะที่กำลังยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ เธอก็พูดออกมาอย่างใจเย็นว่า “สามีของฉันไม่ได้คิดจะผูกขาดทางการค้า”
เรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรที่ต้องมานั่งอธิบายให้วุ่นวาย
“เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะ โหรวโหรว พวกเราน่าจะมองที่ข้างหน้ากันนะ หรือว่าความรักในวัยเด็กของพวกเราตั้งสิบปีจะไม่ดีเท่ากับจิ่งเป่ยเฉินที่เข้ามาเพียงพริบตา!”
เขามีคุณสมบัติอะไรถึงมาพูดเรื่องแบบนี้กับเธอ เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นเป็นเขาต่างหากที่ทิ้งเธอเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่น
เรื่องพวกนี้ดูท่าคงจะต้องพูดอธิบายให้เขาเข้าใจใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว!
อันโหรวยิ้มออกมา “เทียบไม่ได้หรอก”
เพราะตัวของเขานั้นไม่อาจเทียบกับจิ่งเป่ยเฉินได้แม้แต่ปลายเส้นผม
“ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ดูก็รู้ว่าเธอโกรธ ในปีนั้นเรื่องที่แต่งงานล้วนแล้วแต่เพราะฉันจนปัญญาทั้งนั้น แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ หรือว่าเรื่องระหว่างพวกเรายังมีเรื่องเข้าใจผิดอยู่?” เขารู้ดีจิ่งเป่ยเฉินไปทำธุระที่ต่างประเทศ เพราะงั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้มาหาเธอ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีท่าทีแบบนี้กับเขา
“ถ้าหากนายรักฉันจริงละก็ ในปีนั้นนายก็ไม่ควรแต่งงานกับเหลียวเว่ย หลังจากที่แต่งงานไปนายก็เป็นคนไร้ความรับผิดชอบ ปล่อยปละละเลย ก่อปัญหาที่ด้านนอก ผู้ชายแบบนายคิดเหรอว่าฉันอยากจะได้อีก” เธอพูดเรื่องแบบนี้ออกมาเพื่อหวังที่จะให้เขายอมตัดใจเสียที
“นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ใช่เธอไง ถ้าหากเป็นเธอ ฉันคงไม่มีวันทำเรื่องพวกนั้นหรอก” จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ เธอคือคนเดียวที่อยู่ในใจของเขา
“ฉันแต่งงานและมีลูกแล้ว ทำไมฉันต้องมาจุดไฟรักเก่ากับนายด้วย เดี๋ยวได้กลายเป็นเรื่องที่บัดสีบัดเถลิงพอดี โอวหยางลี่ ผู้ชายอย่างนายไม่คู่ควรกับการให้คนอื่นมารักหรอก เพราะนายมันไร้ความผิดชอบ!!” เธอวางถ้วยกาแฟที่อยู่ในมือลง และไม่คิดจะดื่มมันอีก
“ใช่ เธอช่วยเตือนสติฉันว่าเธอมีลูกแล้ว อีกทั้งยังห้าขวบแล้วด้วย!” โอวหยางลี่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ภายในหัวใจของเขารู้สึกถึงความเจ็บปวด “เหลียวเว่ยพูดถูกจริง ๆ ตอนที่เราอยู่ด้วยกัน ในตอนนั้นเธอนอกใจฉัน เธอคบชู้ทั้ง ๆ ที่ยังคบกับฉันอยู่”
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ