อยากกินไหมล่ะ 740

ตอนที่ 740

ตำแหน่งรักษาความปลอดภัย

เมิ่งเมิ่งเป็นคนที่จะทสิ่งที่อยากทำ ดังนั้นทันทีที่เธอบอกว่าความอยากอาหารของเธอถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว เธอก็ร้องเรียกโจวเจียเพื่อสั่งอาหารเพิ่มทันที

“พี่เจียเจีย ฉันขอไก่อบเกลือ วุ้นเส้นผัดหมูเผ็ดแล้วก็เนื้อสไลซ์บางเฉียบนะคะ” เมิ่งเมิ่งสั่งอาหารสามอย่างในรวดเดียว

“ได้ค่ะ โปรดรอสักครู่นะคะ” โจวเจียตอบพร้อมยิ้มหลังจากได้รับการชำระเงินในออเดอร์นั้นแล้ว

“แค่นึกถึงเนื้อสไลซ์บางเฉียบของเถ้าแก่หยวนก็ทำเอาฉันน้ำลายสอแล้ว ทุกคนก็คงตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” เมิ่งเมิ่งกล่าวพร้อมยิ้มให้กล้อง

[เมิ่งเมิ่ง ฉันรู้สึกว่าเธอชักจะเริ่มทานอาหารมันๆมากไปแล้วนะ ถ้าน้ำหนักขึ้นจะดูไม่สวยเวลาอยู่บนหน้าจอนะ ทำไมเธอไม่กินให้น้อยๆลงดูบ้างเล่า?] กลัวหนักมาก

[อย่างพูดอะไรอีกเลย เมิ่งเมิ่ง ฉันรู้ว่าเธอกำลังจะบอกว่าเธอมีร่างกายที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แต่เธอเคยได้ยินเรื่องโชคไหม? เมื่อมันหมดไปแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละนะ] รักในสายลมหนาว

[ใช่แล้ว เธอพลาดไปเสียแล้วล่ะ เมิ่งเมิ่ง ในเวลาสั้นๆแบบนั้น แค่ฉันกินขนมปังไปสามชิ้น บ๊ะจ่างหนึ่งลูกแล้วก็โค้กอีกขวด เธอรู้ไหมว่าฉันต้องลดน้ำหนักอยู่ตั้งนานขนาดไหน?] เชอร์รี่ในคืนเดือนมืด

ท่าทางการสั่งอาหารเพิ่มหลังจากทานอาหารของเมิ่งเมิ่งดึงดูดคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกที่หลบซ่อนอยู่ได้เป็นจำนวนมาก นี่เป็นเรื่องโหดร้ายกับเธอเกินไปแล้ว

โชคดีที่ยังมีอีกหลายคนที่อยากเห็นเมิ่งเมิ่งกินอีก ดังนั้นคนพวกนี้จึงเริ่มทุ่มเถียงกันเอง

เมิ่งเมิ่งอยากจะเอ่ยคำหนึ่ง ณ ตรงนี้และเปลี่ยนแปลงการสนทนาให้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้บรรดาผู้ชมรู้สึกโกรธเคืองจากการทุ่มเถียงกันมากเกินไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่สตรีมเมอร์สามารถทำได้

ระหว่างที่กำลังสตรีมอยู่นั้น เมิ่งเมิ่งก็กินไปพลางดูบรรดาผู้ชมของเธอไปพลางอย่างมีความสุข ในร้านมีเสียงดังอึกทึกครึกโครมดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน บรรยากาศก็สมัครสมานกลมเกลียวกันมากทีเดียว

“พี่วั่นอยู่ที่นี่ด้วย วันนี้สวยจังเลยค่ะ” ถังซีหันกลับมามองคนที่เพิ่งจะนั่งลงข้างๆเธอ

คนผู้นี้ก็คือพี่วั่นนั่นเอง เนื่องจากเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงยังค่อนข้างหนาวเย็น ดังนั้นเธอจึงแต่งกายในชุดเสื้อคลุมรัดรูปสีน้ำตาลโดยมีเสื้อแจ็คเก็ตสีดำทับอยู่บนเสื้อคลุมพร้อมรองเท้าส้นสูงสีดำอีกคู่หนึ่ง

ผมของเธอยาวประบ่าและแต่งหน้าอ่อนๆ สิปสติกสีชมพูที่เธอใช้ก็ค่อนข้างสะดุดตามาก

ท่าทีที่ดูสุภาพและเป็นทางการของเธอทำให้ต่างจากยามปกติไปโดยสิ้นเชิง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ถังซีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชมพี่วั่นขึ้นมา

“วันนี้ฉันใช้เวลาแต่งตัวตั้งนาน ยังไงก็ต้องออกมาสวยอยู่แล้ว” พี่วั่นตอบพร้อมยิ้ม

“ถึงไม่แต่งตัวพี่วั่นก็ยังสวยนะคะ” ถังซีเยินยอเธอ

“ยัยเด็กคนนี้ ปากหวานเชียวนะ” พี่วั่นกล่าว

“ฉันแค่พูดไปตามความจริงนี่คะ แล้วทำไมวันนี้ถึงได้แต่งตัวสวยเสียขนาดนี้ล่ะคะ?” ถังซีถามด้วยความสงสัย

“ยังต้องถามอีกเหรอ? เธอกำลังจะไปนัดบอดแน่ๆเลยใช่ไหมล่ะ?” เจียงฉางซี่ขัดขึ้นก่อนที่พี่วั่นจะตอบ

“ใช่แล้วล่ะ ฉางซี่พูดถูก ฉันกำลังจะไปนัดบอด” พี่วั่นกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ และในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าเธอก็เหมือนจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดี

“ว้าว! นัดบอดงั้นเหรอคะ? คราวนี้คนที่พี่ไปหาจะเป็นคนแบบไหนกันนะ?” ถังซีตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีขณะที่ถาม

“ปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้วถังซี? ยี่สิบหรือยี่สิบเอ็ดกันเล่า?” พี่วั่นไม่ตอบแต่กลับถามคำถามกลับมาแทน

“อีกไม่นานก็จะ 20 แล้วค่ะ” ถังซีตอบตามตรง

“เอาล่ะ ถึงเวลามีแฟนได้แล้วนะ” พี่วั่นกระเซ้าเย้าแหย่

“เรื่องนั้นมันยังเร็วเกินไปค่ะ ฉันยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลยนะคะ!” ถังซีหน้าแดงแล้วตอบอย่างเอียงอาย

“ตอนนี้ก็เริ่มหาได้แล้ว” เจียงฉางซี่นั่งลงแล้วเอ่ยสนับสนุนคำพูดของพี่วั่น

“ถึงยังไงถ้าหากเธอไม่มีแฟนพอเรียนจบครอบครัวของเธอก็จะเริ่มเร่งเร้าให้เธอหาแฟนอยู่ดีนั่นแหละ ตอนนี้เธอน่าจะหาเอาไว้สักคนนะ” เจียงฉางซี่พูดต่อ

“แต่ครอบครัวของฉันไม่อนุญาตให้มีแฟนตอนนี้นี่คะ” ถังซีพูดเบาๆ

“แหงล่ะ ครอบครัวก็เอาแต่บอกว่าไม่ให้มีแฟนตอนที่กำลังเรียนหนังสืออยู่แต่พอเธอเรียนจบ พวกเขาก็จะเริ่มมาเร่งเร้าให้เธอหาแฟนก่อนที่เธอจะหางานได้เสียอีก เหมือนกับพวกเขาอยากให้เธอแต่งงานกับแฟนคนแรกที่เธอหาได้ราวกับแฟนงอกอยู่ตามต้นไม้แล้วนึกอยากจะเด็ดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นแหละ” พี่วั่นกล่าว

พี่วั่นดูเจ็บปวดยามที่พูดออกมา สิ่งนี้ทำให้ถังซีถึงกับเงียบไปทันที

“มาพูดเรื่องเดทคราวนี้ของเธอดีกว่า” จู่ๆเจียงฉางซี่ก็กล่าวขึ้นมา

“อืม ใช่ คราวนี้พี่วั่นจะไปเจอใครงั้นเหรอคะ?” ถังซีถามด้วยความตื่นเต้น

“ก็เรื่องเดิมๆนั่นแหละ ตอนที่กลับบ้านไปพวกเขาก็เริ่มเร่งเร้าให้ฉันแต่งงานอีกครั้ง ฉันก็เลยบอกพวกเขาไปว่ายังหาไม่ได้เลย แล้วตอนนี้แม่ฉันก็นัดบอดให้อีกแล้ว แถมเพิ่งจะมาบอกเรื่องนี้กับฉันเมื่อวานนี้เอง” พี่วั่นตอบ

“หา? งั้นก็หมายความว่าพี่ไม่รู้เรื่องเดทของตัวเองเหมือนกันใช่ไหมคะ?” ถังซีจับประเด็นสำคัญได้แล้ว

“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่างเลย” พี่วั่นตอบ

“ขอดูรูปหน่อยสิ ยังไงฉันก็เป็นคนที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเชียวนะ” เจียงฉางซี่ยื่นมือออกมาแล้วถามขึ้นหลังจากสั่งอาหารของตัวเองแล้ว

“ฉันไม่มีรูปหรอก ตอนนี้แม่ฉันดันฉลาดขึ้นแล้วน่ะสิ แต่ก่อนฉันยังสามารถให้คำวิจารณ์ยาวเป็นหางว่าวได้ทุกครั้งที่เธอโชว์รูปให้ดู แต่ตอนนี้เธอเก็บรูปและปิดบังชื่อแซ่ไม่ให้ฉันรู้เลย” พี่วั่นยักไหล่

“ทำไมแม่พี่ถึงไม่ยอมบอกชื่อให้พี่รู้ล่ะคะ?” ถังซีถามขึ้น

“เพราะเธอสิ่งที่มีชื่อคล้ายกันอาจจะไม่เหมาะสมกันก็ได้ ฉันพูดถูกไหมล่ะ?” เจียงฉางซี่กล่าว

“เธอพูดถูกเลยล่ะ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมแม่ถึงบอกข้อมูลเบื้องต้นบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาให้ฉันรู้เท่านั้น” พี่วั่นพยักหน้า

“ข้อมูลเบื้องต้นอะไรงั้นเหรอคะ?” ถังซีถามด้วยความสงสัยฉาบเต็มใบหน้า แม้แต่เจียงฉางซี่ก็จ้องมองพี่วั่นด้วยความสงสัยเช่นกัน

“คนที่ได้รับการแนะนำมาบอกว่าเขาสูง 180 ซม. มีร่างกายกำยำ หน้าที่การมั่นคง ไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่ ทั้งยังเป็นคนหนักแน่นเอาจริงเอาจังแล้วก็มีซิกส์แพ็คด้วย” พี่วั่นเกือบระเบิดหัวเราะออกมาให้กับคำอธิบายในตอนท้าย

“ซิกส์แพ็คงั้นเหรอ? คิดไม่ถึงเลยแฮะ” ถังซีจับใจความสำคัญได้เพียงแค่นั้น

“ถ้าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงได้สักครึ่งล่ะก็ผู้ชายคนนี้ควรค่าแก่การไปเจอจริงๆนั่นแหละ” เจียงฉางซี่กล่าวอย่างจริงจังหลังจากครุ่นคิดดูเล็กน้อย

“ไม่ดื่มเหล้าแถมไม่สูบบุหรี่อีก เขาเป็นคนที่ควรค่าแก่การไปเจอจริงๆแหละ” พี่วั่นพยักหน้า

“เฉินเว่ย นายก็ไม่มีซิกส์แพ็คเหมือนกันเหรอ?” จู่ๆอู๋ไห่ก็ถามเฉินเว่ยขึ้นมาทันที

“นายจะถามไปทำไม? ฉันไม่โชว์ให้นายดูหรอก” เฉินเว่ยมองอู๋ไห่ด้วยความระแวดระวัง

“ไอ้คนโรคจิตเอ้ย” หยวนโจวเองก็มองอู๋ไห่ด้วยความระแวดระวังเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่มีซิกส์แพ็คคนหนึ่งเหมือนกัน

“ไสหัวไปซะ” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราอย่างช่วยไม่ได้แล้วเงียบไปทันที

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

คำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ของพวกเขาทำให้เจียงฉางซี่ พี่วั่นและถังซีต้องหัวเราะด้วยความขบขัน

วันนี้พี่วั่นสั่งอาหารง่ายๆคือ ก๋วยเตี๋ยวน้ำใสหนึ่งชาม หลังจากทานอาหารจนเกลี้ยงแล้ว เธอก็เช็ดปากก่อนที่จะกล่าวอำลาเจียงฉางซี่กับถังซี

“ฉันจะกลับแล้วนะ บาย” พี่วั่นกล่าวขณะที่ลุกขึ้นเดินจากไป

ห้านาทีก่อนสิ้นสุดมื้อเที่ยง หยวนโจวก็เช็ดมือจนแห้งแล้วยืนประจัญหน้ากับบรรดาลูกค้าของตัวเองก่อนที่จะประกาศออกมาว่า “อีกห้านาทีจะสิ้นสุดมื้อเที่ยงแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะทุกคน”

“บ้าชิบ สายป่านนี้แล้วงั้นเหรอนี่? ฉันต้องกลับแล้วสินะ” นอกจากอู๋ไห่แล้ว เฉินเว่ยดูจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อประกาศนี้มากที่สุด

“มีอะไรงั้นเหรอ?” เจียงฉางซี่ถามด้วยความสงสัย

“จะอะไรเสียอีกเล่า? เขาโดดงานออกมาทานอาหารที่นี่น่ะสิ ผู้จัดการกำลังจะมาตรวจแล้วเขาก็เลยต้องรีบกลับไป รู้สึกเหมือนยิ่งเวลาผ่านไปสถานการณ์ของเฉินเว่ยก็ยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆเลย ตอนนี้เขาคงรู้สึกหวาดกลัวผู้จัดการจับจิตเชียวล่ะ” อู๋ไห่กล่าวด้วยความมั่นใจพลางลูบหนวดเคราไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้นกับเขากันถึงได้หวาดกลัวผู้จัดการเสียขนาดนี้น่ะ?” เจียงฉางซี่ไม่เข้าใจตรรกะของอู๋ไห่เอาเสียเลย

“เขาเป็นหัวหน้ารักษารักษาความปลอดภัยฉะนั้นตำแหน่งของเขาก็เทียบเท่ากับผู้จัดการอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทั้งสองคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหาร แล้วทำไมเขาถึงกลัวผู้จัดการเสียขนาดนี้เลยเล่า?” อู๋ไห่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

เจียงฉางซี่ถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว หัวหน้ารักษาความปลอดภัยมีตำแหน่งเทียบเท่าได้กับผู้จัดการเสียเมื่อไหร่กันเล่า?

อู๋ไห่ช่างเป็นผู้ที่มีตรรกะที่ไม่เหมือนใครอย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

อยากกินไหมล่ะ

อยากกินไหมล่ะ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 896 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )

ณ ประเทศตะวันออกที่ห่างไกลมีร้านอาหารเล็ก ๆ แปลก ๆ แห่งหนึ่งที่อาจหาญกล้า ‘ปฏิเสธการจัดอันดับสามดาว‘ โดย Michelin Guide อยู่หลายครั้ง อาหารที่นี่ราคาแพงมากข้าวผัดธรรมดาจานหนึ่งกับซุปหนึ่งชาม ราคาก็ปาเข้าไป 288 หยวนแล้ว (ประมาณ 1500 บาท) เคี่ยวขนาดนี้ก็ยังมีคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะรอกิน อ้อ… ที่นี่เขาไม่รับจองคิวด้วยนะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาเพื่อจองคิวอีก! ทำไมต้องนั่งเครื่องบินน่ะเหรอ ก็เขาไม่มีที่จอดรถให้น่ะสิ ที่นี่บริการแย่ ลูกค้ากินแล้วต้องล้างจานเช็ดโต๊ะเอง ไม่รู้เจ้าของร้านคิดอะไรอยู่… สงสัยคงเป็นคนบ้าคนหนึ่ง

Options

not work with dark mode
Reset