องครักษ์เสื้อแพร 981 ใต้เท้าหวังถามใต้เท้าหวัง

ตอนที่ 981 ใต้เท้าหวังถามใต้เท้าหวัง

เส้นทางอีกราววันครึ่งจะถึงเหลียวหยาง ทหารม้าแนวหน้าแต่ละที่ตามมาตลอดทาง ล้วนตามทัพใหญ่มา

ที่อื่นไม่พูดถึง แค่จากกองกำลังไห่โจวถึงเหลียวหยางตลอดทางมา โจรถูกปราบราบเรียบ เมื่อมีเงินทองล่อใจ พวกทหารพ่ายศึกและโจรร้ายก็ไม่ใช่ภัยร้าย หากเป็นสิ่งของล่าเก็บเพื่อทำเงิน

ทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออกให้มาสามพันกว่าตำลึงเงิน ก็ไม่ต้องจ่ายอีก ความจริงนั้นกองทัพยินดีจ่ายเงินก้อนนี้ ตามตกลงหัวละสองตำลึง ถูกกว่าส่งทหารทั้งกองออกปราบเสียอีก

เดือนหนึ่งเมืองเหลียวโจวหนาวจริงๆ แต่ทว่ากองกำลังหู่เวยที่มาหลายคนก็เคยขึ้นเหนือเผชิญลมหนาวเช่นนี้ ทหารจากเมืองต้าถงและเมืองจี้โจวก็ปรับตัวได้ดี สำหรับพวกจากเมืองเซวียนฝู่ เดิมก็เป็นทหารจากเมืองเหลียวโจวมาก่อน ยิ่งปรับตัวได้ดีกับอากาศหนาว

แต่หวังทงเองก็ใช้จ่ายไม่ลังเล ยอมจ่ายเงินไปกับสิ่งป้องกันอากาศหนาว ซื้อหาสิ่งของจำเป็นสำหรับกองทัพจากเมืองจี้โจวจำนวนมาก บรรดาทหารกินดีอยู่อุ่น ทุกวันได้เห็นอาหารที่มีน้ำมันสัตว์

กองกำลังหู่เวยไม่ต้องพูดถึง ทหารเมืองต้าถงกับเมืองเซวียนฝู่เดิมเป็นทหารในสังกัดขุนพล เห็นการดูแลแบบนี้มาจนชิน หากทหารราบเมืองจี้โจวหมื่นกว่ามีชีวิตยากลำบาก สามารถมีกินเช่นนี้ได้ ก็ดีใจกันสุดขีด

แม้เป็นเช่นนี้ การเดินทัพทุกวันยังคงไม่ใช่เรื่องสบาย แต่หวังทงล้วนขี่ม้านำทัพ  ขี่ไปตรวจแต่ละหน่วยในกองทัพ

หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่ทุกวันขลุกแต่ในรถใหญ่ พวกทหารไม่ได้รู้สึกอันใดกับพวกเขา เห็นแต่หวังทงวันๆ สวมเกราะเดียวกันกับพวกเขาเดินไปมาในกองทัพ ก็คิดถึงสิ่งที่ได้กินได้รับในแต่ละวัน ความรู้สึกแตกต่าง ติดตามแม่ทัพเช่นนี้ย่อมยินยอมรับใช้ด้วยใจ

หวังทงใบหน้าทาน้ำมัน เป็นน้ำมันสัตว์ผสมกับน้ำมันยา ได้ผลดี นับว่าเป็นสิทธิพิเศษของแม่ทัพ

“แม่ทัพใหญ่ ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพเรียนเชิญ ขอท่านไปหารือสักหน่อย!”

ขณะกำลังตรวจตรากองกำลังหู่เวย ก็มีทหารหนึ่งขี่ม้ามา กล่าวอย่างนอบน้อม หวังทงพยักหน้าตามไป รถม้าหวังซีเจวี๋ยอยู่ที่นั่น

ตลอดทางจากเมืองหลวงมาถึงตอนนี้ หวังซีเจวี๋ยไม่ได้กล่าวกับหวังทงมากนัก หวังซีเจวี๋ยเอาแต่เดินมองไปทั่ว หวังทงก็ยุ่งแต่กับการงานในกองทัพ แน่นอนเฉินจวี่ก็เช่นกัน แต่ทว่าหวังทงกลับรู้สึกได้ตลอดว่า หวังซีเจวี๋ยไม่ได้คิดร้ายกับตน และคงจะหาโอกาสมาสนทนากับตน

*************

“ใต้เท้าหวังเป็นแม่ทัพ แน่นอนต้องขี่ม้านำทัพ แต่ทว่าข้าร่างกายไม่ไหว ใต้เท้าหวังเข้ามาคุยด้านในเถอะ!”

หวังทงขี่ม้ามาถึงรถม้าหวังซีเจวี๋ยรถม้า เห็นหวังซีเจวี๋ยผลักประตูรถม้าออกมายิ้มกล่าว หวังทงรีบประสานมือ ลงจากหลังม้าเข้าไปในรถม้า

ในรถม้าบุนวมนิ่มหุ้มหนัง มีเตาร้อนอีก เพื่อดูแลหวังซีเจวี๋ย ที่มุมหนึ่งยังมีกำยานที่เขาชอบ กลิ่นหอมรวยริน ดูสูงส่งยิ่ง เหล่านี้หากไม่ใช่กองกำลังหู่เวยหาให้ หวังซีเจวี๋ยเองก็ร่ำรวยอยู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนหาได้

สองฝ่ายนั่งลง ผู้ติดตามหวังซีเจวี๋ยรินน้ำชาแล้ว ก็ถอยออกไป เดินทัพในหน้าหนาวทั้งวันลำบากมาก สามารถได้เข้ามาพักในที่เช่นนี้สักครู่ หวังทงก็รู้สึกผ่อนคลายยิ่ง

“ตอนข้าอยู่เมืองหลวง อยากนั่งแต่เกี้ยว ไม่อยากนั่งรถ เพราะรถใหญ่โคลงเคลงมาก อยู่ๆ ต้องมานั่งรถใหญ่ ในใจยังยังร้องโอย คิดไม่ถึงแม้ว่าจะมีกระแทก แต่ไม่โคลงเคลง น่าแปลกมาก ไม่รู้ทำได้อย่างไร?”

“ช่างใช้ไผ่ชุบน้ำมันและเส้นเหล็กบุด้านใน ตัวรถสองชั้น ระหว่างชั้นบุให้เต็ม”

หวังทงไม่ได้อธิบายละเอียด ภาพรวมที่จัดการลดความโคลงนั้น เป็นโรงช่างสามธาราประสานกำลังเตาหลอมและแรงกำลังน้ำ จึงได้ตีเหล็กเช่นนี้ออกมาเป็นเส้นได้ แต่ทว่าเสียเงินไปมาก เทคนิคนี้ไม่จำเป็นต้องกล่าวละเอียดกับหวังซีเจวี๋ย หวังซีเจวี๋ยก็แค่เกริ่นนำเท่านั้น ไม่ใช่ต้องการถามถึงรถใหญ่นี้

สองฝ่ายดื่มชากันไป  หวังซีเจวี๋ยเปิดประเด็นตรงไปตรงมาตามคาดว่า

“ใต้เท้าหวัง หลายวันนี้ข้าเห็นสมุดจดเสบียง ที่เราเอามาด้วยนั้น หากยังใช้เช่นนี้ไป ไม่ถึงเหลียวหยาง แค่เสิ่นหยาง เสบียงก็หมดแล้ว ข้าไม่เคยร่วมรบ  แต่ก็รู้ว่าเช่นนี้ไม่สู้นำเงินที่ซื้อสัตว์เลี้ยงมากินทุกวันไปซื้อเสบียงไว้ เช่นนี้จะได้ใช้ได้หลายวันหน่อย”

“หากไม่ได้กินดี ทหารจะมีแรงไปรบที่ไหนกัน”

วาจาหวังทงแข็งกร้าวสักหน่อย แต่ทว่าน้ำเสียงผ่อนลง สีหน้ายิ้มแย้ม หวังซีเจวี๋ยไม่คิดอันใด ตำหนิการทำงานผู้อื่น มีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ควรอยู่ เขายิ้ม กล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังเอาใจใส่ลูกน้อง  ช่างน่าเลื่อมใส แต่ทว่า ข้าแม้ว่าไม่เคยร่วมออกทัพ แต่เคยเห็นมาไม่น้อย ใต้หล้านี้มีทหารมากมาย หากล้วนเหมือนใต้เท้าหวังจัดการกำลัง เกรงว่าคลังแผ่นดินหมิงคงไม่อาจเพียงพอ ตอนนี้สิ้นเปลืองเช่นนี้ หากถึงเสิ่นหยาง เสบียงหมด ก็ย่อมเป็นเรื่อง”

หวังทงยิ้มส่ายหน้า วางถ้วยชาลงกล่าวว่า

“ใต้เท้าคิดได้รอบคอบ ข้ากล่าวเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคารพใต้เท้าในฐานะผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพ ขอถามใต้เท้า พวกที่กินไม่อิ่มกินไม่ดีเคยรบได้ชัยใหญ่เช่นข้าหรือไว้”

หวังซีเจวี๋ยอึ้งไป ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ใต้เท้าหวังความดีความชอบเทียมฟ้า ใต้หล้าล้วนรู้ แต่ทว่ากองทัพแม่ทัพชีที่เมืองจี้โจวก็ไม่ได้ต่างจากทหารที่อื่น และยังรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ท่านจะว่าอย่างไร?”

“เรื่องวันหน้ากล่าวได้ยาก แต่ทว่าข้าขอกล่าวกับผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพตรงนี้ หากเมืองจี้โจวยังทำเช่นนี้ ที่แม่ทัพชีสร้างมาห้าปีค่อยต้องสูญสิ้น แต่ทหารที่ข้าฝึกมา จะเป็นเช่นนี้ต่อไป จะองอาจกล้าหาญเช่นนี้ต่อไป…”

หวังทงกล่าวเช่นนี้ สีหน้ามั่นใจ หวังซีเจวี๋ยถึงกับอึ้งไป อย่างไรเขาก็เป็นขุนนางบุ๋น เรื่องการทหารก็รู้เพียงแค่น้อยนิดดังคนนอกมอง ไม่อาจกล่าวได้แน่ชัด หวังทงกล่าวได้มั่นใจ ทำให้เขาไม่อาจกล่าวอันใดได้อีก

บางทีอาจเพราะเห็นสถานการณ์ตึงเครียด หวังทงยิ้มกล่าวเสริมว่า

“ใต้เท้าอาจไม่รู้ เหลียวหยางกับเสิ่นหยางสองแห่งนี้ เสบียงเก็บไว้เพียงพอกองทหารเราใช้ได้สิบปี และยังไม่ต้องเอาจากราษฎรพื้นที่”

“เมืองเหลียวโจวเหตุใดมีเสบียงมากเพียงนี้!?”

หวังซีเจวี๋ยได้ยินเรื่องนี้ ก็คิดไปอีกทาง การจัดหาเสบียงให้ชายแดนทั้งเก้าแต่ไรมาเป็นปัญหาของราชสำนัก เมืองเหลียวโจวเอาแต่ร้องโอดโอยทั้งวัน คิดไม่ถึงถึงกับสะสมเสบียงไว้มากเพียงนี้

“ใต้เท้า ตลอดทางมานี้ ท่านเห็นเมืองเหลียวโจวไหม ทหารก็ดี ราษฎรก็ดี สีหน้าใช่ว่าดีกว่าที่อื่นมากหรือ?”

หวังทงเอ่ยถามขึ้น หวังซีเจวี๋ยปกติไม่ได้สังเกตเรื่องนี้ แต่พอหวังทงกล่าวเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยก็เริ่มคิดย้อนกลับไป เหมือนว่าเป็นเช่นนี้ จึงพยักหน้า หวังทงกล่าวอีกว่า

“เมืองเหลียวโจวดินน้ำสมบูรณ์ ประชากรแม้ว่ามาก หากแต่ละคนเพาะปลูกได้ยังมากกว่าหลายมณฑลในด่านมากนัก ยังทำการค้ากับพวกนอกด่านมาก เพาะปลูกสัตว์เลี้ยงก็มาก เหตุต่างๆ เหล่านี้รวมกัน ทุกตระกูลล้วนมีผลผลิตไม่น้อยกว่าคนในแผ่นดินหมิง เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองชายแดน ไม่เพียงแต่ใช้เบี้ยจากราชสำนักดูแล หากยังได้เสบียงจากราชสำนักอีก ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวยังไม่เก็บภาษีคนในพื้นที่อีก มีแต่เข้าไม่มีออก นานวันเข้า แน่นอนย่อมสะสมได้ก้อนโต ความจริงนั้นหากไม่ใช่เมืองเหลียวโจวเอาไว้เองเยอะ น่าจะมีมากกว่านี้อีก!”

“มีใช้ได้สิบปี ผุยๆ ไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าใต้เท้าหวังจึงว่าให้ตั้งเมืองเหลียวโจวเป็นมณฑล หลายปีมานี้ พวกเขาหาให้ตนเองพอแล้ว เอาแต่ดูดเลือดสูบเนื้อราชสำนัก…”

หวังซีเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง รถม้าสะดุดสองที ทำให้เขาได้สติ เงียบไปครู่หนึ่งก็มองหวังทงถามขึ้น

“ใต้เท้าหวัง เมืองเหลียวโจวสั่งสมไว้แต่ละแห่งน่าจะไม่ใช่ความลับ แต่หากอยากรู้ก็ไม่ง่าย ใต้เท้าหวังรู้มาได้อย่างไร?”

หวังทงสังเกตเห็นสายตาระแวดระวังตัวของหวังซีเจวี๋ย หวังทงยิ้มกล่าวว่า

“แน่นอนเป็นองครักษ์เสื้อแพรรายงานมาทุกวัน  ใต้เท้าคงไม่คิดว่าข้าส่งคนไปสืบเฉพาะกระมัง?”

หวังซีเจวี๋ยยิ้มเก้กัง หลังจากเก้กังพักหนึ่งก็รู้สึกทอดถอนใจ กล่าวว่า

“ใส่ใจรายละเอียดทุกเรื่อง ใต้เท้าหวังเป็นขุนนางสามารถจริง”

“ใต้เท้าชมเกินไปแล้ว องครักษ์เสื้อแพรประจำพื้นที่ เดิมก็มีหน้าที่หาข่าว เก็บรวมรวมเรื่องราวในพื้นที่ตามหน้าที่อยู่แล้ว ข้าทำไปนั้นก็แค่ให้พวกเขาปฏิบัติงานตามหน้าที่เท่านั้น ข่าวเหล่านี้ล้วนส่งเข้าวัง ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบ”

หวังซีเจวี๋ยเป็นห่วงคิดลอบสอบดู คิดไม่ถึงเป็นแค่งานในหน้าที่ที่องครักษ์เสื้อแพรควรทำเท่านั้น ในใจหวังทงคิดได้เช่นนี้ และยังเอ่ยมาอีกคำว่า ‘ฝ่าบาทก็ทรงทราบ’ แสดงให้เห็นว่าเป็นความต้องการในวังเช่นนี้ ใช่หวังทงเองคิดหาข้อมูลเพื่อหาเรื่องแต่อย่างใด

ตามคาด พอกล่าวเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยก็ตกในภวังค์ความคิด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ กล่าวว่า

“ปฏิบัติตามธรรมเนียมหน้าที่ ธรรมเนียมบรรพชนล้วนตั้งไว้ดีแล้ว แต่ทำตามได้กี่คนกัน จะปฏิบัติได้ตามธรรมเนียมที่ตั้งไว้ ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น”

การทอดถอนใจกล่าวนี้ใช่ว่าเป็นเพราะ ‘ปฏิบัติตามธรรมเนียม’  องครักษ์เสื้อแพรรวบรวมข่าวได้ดี ในวังรู้เรื่องหมด แต่เพราะในราชสำนักกลับเหมือนไม่รู้ สถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อคณะเสนาบดีใหญ่ หกกรมกองและสำนักตรวจสอบ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ยิ่งนับวันก็จะยิ่งถูกมองข้าม

หวังทงเองก็คิดเรื่องนี้ได้ แต่ทว่าไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง รถม้าค่อยๆ ขับเคลื่อนไป สะดุดอยู่บ้าง แต่เพราะไม้ไผ่และเหล็กเส้นรวมทั้งหนังบุฝ้ายที่รับแรงกระแทกไว้ คนในรถไม่ได้รู้สึกกระทบสักเท่าไร หวังซีเจวี๋ยเงียบครู่ก็กล่าวว่า

“หลายวันที่รายงานกองทัพ ใต้เท้าหวังก็ได้อ่านแล้ว ตอนนี้ศัตรูแบ่งเป็นหลายเส้นทาง เสิ่นหยางทางหนึ่ง กองกำลังเถี่ยหลิ่งทางหนึ่ง เหลียวหนานอีกทางหนึ่ง หากคิดให้ละเอียด นอกกำแพงเมืองยังมีอีกทางหนึ่ง พวกนอกด่านมากมายเพียงนี้ มีกำลังมาเสริมไม่ขาด สถานการณ์เมืองเหลียวโจวเรียกได้ว่ากำลังตกในภาวะรับมือเต็มกำลัง เกรงว่าไม่อาจช่วยพวกเราได้ ศัตรูหลายทิศทาง ทหารเราไม่พอ ศัตรูรวมกำลังกัน สามารถแยกจากหลายทิศทางมารวมกัน ทัพเรารับมือยาก ข้าไม่รู้การทหาร ใต้เท้าหวังเห็นเช่นไร?”

หวังทงยกถ้วยชาขึ้นจิบ คิดครู่หนึ่ง กล่าวนิ่งเรียบว่า

“ไม่สนใจว่ามากันกี่ทาง ข้าไปแค่ทางเดียว!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset