องครักษ์เสื้อแพร 892 เหตุใด เหตุใด

ตอนที่ 892 เหตุใด เหตุใด
ตอนที่ 892 เหตุใด เหตุใด

ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่จะเคลื่อนกองกำลังหู่เวยเข้าเมืองหลวง เดิมจางเฉิงที่เงียบไปก็ส่ายหน้า ทูลจริงจังว่า

“ฝ่าบาท กองกำลังหู่เวยแม้เป็นกองกำลังสังกัดวังหลวง แต่เคลื่อนกำลังก็ต้องมีราชโองการ ฝ่าบาทมีราชโองการเรียกกองกำลังหู่เวย หากกองกำลังหู่เวยเคลื่อนไหว ทหารเมืองจี้โจวเคลื่อนกำลัง ถึงกับทหารที่ซานตงและเหอหนานเคลื่อนกำลังด้วย มาล้อมกองกำลังหู่เวย อ้างว่าราชโองการปลอม อ้างว่าเป็นพวกกระหม่อมออกราชโองการ รอจนกองกำลังหู่เวยถูกล้อมไว้ ฝ่าบาทจะทรงทำเช่นไร!”

ฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งอึ้งไปนาน ก่อนจะคว้าแท่นหมึกคิดเขวี้ยงลงกับพื้น แต่พอมองไปยังสามขันทีที่คุกเข่าตรงหน้า ก็วางกลับคืนที่เดิม ส่ายพระพักตร์นิ่งไปก่อนตรัสว่า

“พวกเจ้าเป็นบ่าวของเรา หรือว่าของพวกเขากัน เหตุใดไม่ว่าเราคิดอันใด พวกเจ้าก็เอาแต่บอกว่าไม่ได้”

กล่าวถึงตรงนี้สุรเสียงฮ่องเต้ว่านลี่ก็เหมือนหมดหวัง โจวอี้โขกศีรษะกล่าวว่า

“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมย่อมเป็นข้าในพระองค์ ล้วนจงรักภักดี เมื่อครู่กระหม่อมกล่าวไป เจ้าจินเลี่ยงกล่าวไป จางกงกงกล่าวไป ก็คิดเพื่อฝ่าบาททั้งสิ้น ในราชสำนักวิจารณ์เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ที่ทำที่พูดกันก็เป็นเรื่องตากกฎมนเทียรบาลมา ฝ่าบาทไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนกำลัง และในยามคับขันเช่นนี้ จะต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง หากเปิดโอกาสให้คนที่คิดก่อการได้ลงมือ ถึงตอนนั้นฝ่าบาทและพวกกระหม่อมย่อมหมดทางรอดแล้ว!”

โจวอี้กล่าวหนักแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่ขยี้หน้าผาก จากนั้นก็กลับลงนั่งที่เดิม เงียบไปครู่หนึ่งก็ตรัสอย่างไม่สบพระทัยนักว่า

“ลุกขึ้นได้แล้ว!”

ทั้งสามจึงได้ลุกขึ้น พอยืนขึ้นก็ย่อมสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เคร่งเครียด พากันคิดหนัก สบตากันไปมาเงียบต่อ

เจ้าจินเลี่ยงเมื่อครู่อยู่ๆ โพล่งออกมา ถูกจางเฉิงตำหนิปากมาก ยังคงใจเต้นโครมครามไม่หยุด แอบลอบมองทางจางเฉิง คิดไม่ถึงว่าจางเฉิงจะยกมือลูบศีรษะ ท่าทางพอใจ ทำให้เจ้าจินเลี่ยงวางใจลงไปมาก

“เราลืมตัวไปแล้ว…”

เงียบไปนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงระฆังและกลองในวังดัง ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ตรัสขึ้น ครั้งนี้ไม่ได้ร้อนพระทัยเหมือนเมื่อครู่ แต่น้ำเสียงก็ไม่ดีนัก สามคนพากันคำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งก้มพระพักตร์นิ่ง พระดำรัสค่อยๆ เนิบนาบตรัสว่า

“พระสนมเอกมีโอรสเป็นเรื่องมงคล ทว่าหากให้เราแต่งตั้งรัชทายาทตอนนี้ ดูล่องลอยมาก ฉางลั่วกับฉางสวิน คนหนึ่งไม่ถึงสามขวบ อีกคนไม่ถึงเดือน จะเห็นอันใดได้  ตามความคิดเดิมเรานั้น รอให้พวกเขาโตก่อนค่อยว่ากันก็ได้…”

กล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไปอีกครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมแรกเริ่มคิดให้โอรสพระสนมเอกเจิ้งเป็นรัชทายาทนั้น หลายการกระทำล้วนเห็นชัดเจนว่าใช่ ทว่าเมื่อทรงตรัสเช่นนี้ ตอนนี้พวกจางเฉิงก็ย่อมไม่แสดงอาการค้าน

“…น่าสนุกจริง บรรพชนหลายรัชสมัยมา ขอเพียงเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งรัชทายาท ทุกคนในราชสำนักก็จะออกมาดิ้นรนกัน ครั้งนี้เรายังไม่ได้เอ่ย  พวกเขาก็ดาหน้ากันออกมาก่อน เอาเถอะ ปล่อยให้พวกเขาโวยวายกันไป เราไม่สนใจก็แล้วกัน”

กล่าวถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงไร้รอยยิ้ม จางเฉิงติดตามรับใช้มานาน ย่อมรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเพราะฮ่องเต้ว่านลี่ถูกบีบจนทำอะไรไม่ได้ ได้แต่แสร้งทำเป็นปล่อยวาง

เพียงแต่สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าทำเป็นไม่ได้ยินแล้วจะแล้วๆ กันไปได้ จางเฉิงลังเลครู่หนึ่ง คำนับทูลว่า

“ฝ่าบาท  สถานการณ์ตอนนี้หากไม่ได้ข้อสรุป เกรงว่าพวกขุนนางคงไม่ยอมรามือ”

“ไม่ยอมรามือๆ  คนพวกนี้นอกจากผลประโยชน์แล้ว ยังเห็นแก่แผ่นดินอีกหรือไม่ ตามใจพวกเขาๆ เราไม่ออกว่าราชการ ให้พวกเจ้าออกจัดการงานแผ่นดินกันเองก็เหมือนกัน”

ฮ่องเต้ว่านลี่คำรามเบาๆ สถานการณ์ถึงตอนนี้ จางเฉิงนิ่งไป ส่งสายตาให้โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยง ทูลว่า

“ดึกมากแล้ว เสี่ยวเลี่ยงไปนอนก่อน โจวอี้เจ้าสั่งให้ห้องเครื่องทำพระยาหารว่างมาถวายด้วย”

แม้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงไม่มีอำนาจสั่งการได้ แต่ยามนี้ทุกคนล้วนรู้ว่า ต้องการให้โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงออกไปก่อน

พอประตูปิดลง สีหน้าจางเฉิงก็เผยยิ้มฝืดเฝื่อน คำนับก้าวเข้าไปใกล้ ทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า

“ฝ่าบาท กระแสถูกกวนขึ้นมาแล้ว คิดจะไม่ทรงสนพระทัยก็ไม่ได้แล้ว แต่งตั้งรัชทายาทครั้งนี้ต้องตัดสินพระทัยแล้ว หากยังยื้อต่อไป เกรงว่าใต้หล้าจะลุกฮือ เปิดโอกาสให้คนอ้างเหตุสอบถาม ถึงตอนนั้นก็จะไม่ดีแล้ว”

ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ขึ้นมองจางเฉิง จางเฉิงทูลหนักแน่นว่า

“ไทเฮาฉือเซิ่งพระวรกายระยะนี้ไม่ดีนัก แต่อย่างไรไทเฮาก็เป็นห่วงแผ่นดิน หากไปถึงพระกรรณทำให้ไทเฮากังวล เกรงว่าคงจะเสด็จมาถามไถ่ ถึงตอนนั้น…”

ที่ว่า ‘พระวรกายไม่ดี’ ‘เป็นห่วงแผ่นดิน’ เป็นแค่คำอ้าง ทุกคนรู้ดีกว่าคืออะไร ครั้งก่อนฮ่องเต้ว่านลี่สามารถค้านกระแสรับสั่งไทเฮาฉือเซิ่งกลับไปได้ ยึดอำนาจมาครองเองได้ แต่ไทเฮาฉือเซิ่งพระชนมายุก็แค่ 40 กว่าชันษา ตระกูลหลี่กับอำนาจในปกครองของตระกูลหลี่ยังมากอยู่ จะให้ไทเฮาฉือเซิ่งตัดขาดการเมืองสิ้นเชิง ไทเฮาฉือเซิ่งย่อมไม่ยินยอม

พระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ดำคล้ำแล้ว หากดำสนิทไปเลย จางเฉิงกล่าวอีกว่า

“ฝ่าบาท พระสนมกงเป็นนางกำนัลจากตำหนักไทเฮา พระสนมกงไร้ที่พึ่ง มีแต่ไทเฮา หากโอรสองค์โตได้เป็นรัชทายาท  พระสนมกงย่อมขึ้นตามน้ำไปด้วย ถึงตอนนั้น พระดำรัสไทเฮาก็ย่อมมีน้ำหนักขึ้นมาก”

“เสด็จแม่ยังคิดเข้ามายุ่งเกี่ยว?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ถามกลับ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าจอกชามาดื่มพรวดเดียวหมด กัดฟันคำรามว่า

“จางปั้นปั้น มีบางเรื่องเราก็คิดได้ แต่เกรงว่าไม่ครอบคลุม เจ้าว่ามา สถานการณ์นี้สุดท้ายแล้ว สุดท้ายจะไปถึงระดับใดกัน ขุนนางกล่าวตักเตือนไร้ความผิด เจ้าว่ามา เราไม่เอาโทษเจ้า!”

จางเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง ทูลกล่าวว่า

“ในเมื่อฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ กระหม่อมก็ขอทูลตามตรง กองกำลังไม่อาจทรงเคลื่อนกำลังมาได้ กองกำลังสังกัดวังหลวงเราก็มีแต่เติ้งจิ้นกับหูฉีในกองกำลังมังกรรักษาพระองค์เท่านั้นที่เคลื่อนมาได้ กองกำลังหู่เวยมาไกลไม่อาจดับไฟใกล้ได้ หากถึงที่สุด ไทเฮาก็จะออกมาสอบถาม ก็จะอาศัยการบอกกล่าวบรรพชน ให้ฝ่าบาทจำนนรับ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ พยักหน้า ลังเลครู่หนึ่ง จางเฉิงกล่าวอีกว่า

“หากว่า…หากว่า ไทเฮาคิดให้อ๋องลู่เมืองเว่ยฮุย…ฝ่าบาท ตอนนั้นเกรงว่าคงจะ…”

“ที่นี่กำลังกล่าวอ้างลำดับอาวุโส แต่พอถึงอ๋องลู่ก็ไม่อ้างอีกหรือ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่แค่นเสียงยิ้มเยียบเย็น จางเฉิงกล่าวเช่นนี้ ไม่มีอันใดจะต้องปิดบังอีก กล่าวต่อว่า

“ครั้งนี้อ้างลำดับ เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ย่อมต้องแย่งกันสร้างความชอบในการแต่งตั้งรัชทายาท เกรงว่าก็คงต้องการลองประลองกำลังกับฝ่าบาท ตั้งแต่จางจวีเจิ้งจากไป อำนาจในมือฝ่าบาทก็ยิ่งมาก พวกขุนนางล้วนรู้สึกว่าฝ่าบาทควรจะแค่เป็นผู้รับฟัง ไม่ควรยุ่งกับอำนาจปกครอง ดังนั้นจึงหาเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ฝ่าบาทยอมอ่อนลง แม้ครั้งนี้ไม่ก่อเรื่อง ครั้งหน้าก็คงหาเหตุมาก่อเรื่องอีก ขอเพียงมีโอกาสก็เลือกจะทำแน่นอน”

พูดจบก็ได้แต่ยิ้มเฝื่อน ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนาน ถึงตอนนี้ พระพักตร์ก็มีแต่รอยยิ้มเฝื่อน ลงนั่งส่ายพระพักตร์ตรัสว่า

“เดิมคิดว่าครองอำนาจได้คนเดียวแล้ว กุมอำนาจใหญ่ได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ แม้แต่ตำแหน่งก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ ฮ่องเต้เอ๋ยฮ่องเต้ ถึงกับไร้สามารถเช่นนี้ได้ จางปั้นปั้น แต่งตั้งไปละกัน ไว้รอเวลาปลดเอาก็ได้ แต่ครั้งนี้เราไม่ยินยอมจะทำจริงๆ ครั้งนี้ออกมาก่อการจนเราต้องรับ ครั้งหน้าเล่า ครั้งนี้ถอยให้ ก็จะทำให้พวกเขาได้คืบจะเอาศอก เราไม่ยอม!”

จางเฉิงคำนับก้มหน้าลงต่ำ ได้แต่ทูลว่า

“ฝ่าบาทอย่าได้ร้อนพระทัยไป จะเสียสุขภาพ เรื่องพวกนี้ยังอีกยาวไกล ฝ่าบาทนิ่งลงก่อน พวกกระหม่อมก็จะนิ่งลง ไม่แน่ว่าอาจจะคิดวิธีออก”

ทว่านี่เป็นเพียงคำปลอบใจ ยามนี้ด้านนอกมีคนรายงานว่า

“ฝ่าบาท ห้องเครื่องส่งพระกระยาหารว่างมาแล้วพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาว โบกพระหัตถ์ให้จางเฉิงตรัสว่า

“ออกไปได้แล้ว ดึกมากแล้ว เจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยหารือต่อ คนพวกนี้ก็แค่พวกปากดี ยังถ่วงเวลาพวกเขาไปได้อีก”

…..

พระสนมเอกเจิ้งตั้งแต่ประสูติโอรส ก็มักจะอยู่ในตำหนักเฉียนชิงกงของฮ่องเต้ นี่ถือว่าตำหนักเท่าฮองเฮาแล้ว ในวังนี้ ฮองเฮาตัวจริงแซ่หวัง ธิดาองค์แรกจากพระสนมหลี่ ต่อมาโอรสองค์โตจากพระสนมกง แต่ก็ไม่เท่าไร พระสนมเอกเจิ้งจึงจะถือเป็นตำแหน่งฮองเฮา

ในวังหลังไม่มีรักแท้ ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่กับพระสนมเอกเจิ้งกลับเป็นดังสามีภรรยาแท้จริง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับมาอย่างเหนื่อยล้า หลังสรงน้ำก็ไปนั่งข้างเตียง พระสนมเอกเจิ้งก็เข้ามานวด ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงแหบพร่าตรัสว่า

“เรารับปากเจ้าแล้วทำไม่ได้ หลายปีนี้คงไม่อาจทำได้”

พระสนมเอกเจิ้งหยุดมือไปครู่หนึ่งก็ยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า

“หม่อมฉันสองแม่ลูกไม่เป็นไร ฝ่าบาทรักษาพระวรกายด้วย  อย่าได้ร้อนพระทัยเพราะกระแสภายนอก คนพวกนั้นก็แค่ร้อนใจด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว”

“สนมรัก เราไม่เข้าใจว่า ทุกอย่างอยู่ในอำนาจเราแล้ว เราครองราชย์มาถึงตอนนี้ แต่ไรไม่เคยรู้สึกว่าเป็นฮ่องเต้ได้เหมือนสองสามเดือนมานี้ เหตุใดอยู่ๆ จึงเกิดความวุ่นวายใหญ่เช่นนี้ได้?”

“ฝ่าบาทอย่าได้ทรงร้อนพระทัย หลายเรื่องก็จะผ่านไปเอง…”

“ทำไมกัน?”

*****************

ปลายเดือนสี่ในเมืองหลวง  กรมฎีกามีฎีกาทะลักมาจากทั่วสารทิศ องครักษ์เสื้อแพรเริ่มวุ่นวายเช่นกัน หลายหน่วยงานแม้ว่ามีธรรมเนียมดำเนินการงานของตนเอง แต่ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ จำเป็นต้องมีผู้สั่งการ ขันทีสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงยุ่งอยู่กับในวัง ไม่อาจมาควบคุมสั่งงานได้ช่วงนี้ ที่จริงแล้วส่วนใหญ่เวลาที่หวังทงไม่อยู่ งานทั้งหมดจะไปอยู่ที่หยางซือเฉิน ให้เขาสั่งการ

ทว่าตอนนี้ ไม่ว่าผู้ใดมาสอบตาม  หยางซือเฉินเพียงแค่นยิ้มตอบ

“เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าจะตัดสินใจได้อย่างไร รอให้จางกงกงมาสั่งการดีกว่า!”

เดือนห้าเมืองหลวงวุ่นวายหนัก

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset