สุดยอดรัชทายาท 29 แยกกันไป

ตอนที่ 29 แยกกันไป

สุดยอดรัชทายาท ตอนที่ 29 แยกกันไป

ตอนที่ 29 แยกกันไป

เขาช่างน่าเกรงขามเสียจริงโดยไม่คาดคิดว่าเด็กคนนั้นสา มารถปกปิดตัวเองมานานหลายปีทันใดนั้นเจ้าของโรงเตี้ยมรู้สึกว่า ความเป็นไปได้ที่เจ้านายของนางจะยึดตําแหน่งองค์รัชทายาทในอนาคตนั้นห่างไกลเกินไป

“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นข้าที่พ่ายแพ้ฆ่าข้าหรือลงโทษข้าตามที่ท่านต้องการ แต่ถ้าอยากให้ข้าทรยศนายท่านของตนเองนั่นเป็นไปไม่ได้”ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงอันดัง

 

ในความเห็นของนาง องค์รัชทายาทจะต้องไว้ชีวิตของงนางอย่างแน่นอน เพื่อให้นางเปิดเผยชื่อเจ้านายของตน แต่มันเป็นธรรมดาที่นางจะไม่ทรยศต่อเขา!

“ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ทรยศต่อเจ้านายของตัวเอง” ชางอู๋ซินยืนขึ้นเพื่อเดินไปถึงฝั่งเจ้าของโรงเตี้ยม น้ําเสียงของนางช่างไพเราะราวกับกระแสน้ําที่ไหลผ่านภูเขา แต่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบเข้ากระดูก “ดังนั้นเหลือเพียงเจ้าที่มีชีวิต ข้าจะดูสิว่าการแสดงออกถึง ความอนาถใจของเจ้าเป็นเช่นใด อย่างไรก็ตามการสลดใจหรือการแสดงออกถึงความหวาดกลัวเป็นสิ่งที่ข้าชื่นชอบยิ่งนัก!”

 

เมื่อมองดูท่าทางที่เหมือนปีศาจขององค์รัชทายาท ทุกคนพลันรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นในใจเพราะพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าองค์รัชทายาทจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นมีชีวิตอยู่ด้วยเหตุผลที่ชั่วร้ายเช่นนี้

 

อย่างไรก็ตามเล้งหยูเฟิงและฮวนมอเฉอกําลังเฝ้าดูองค์รัชทายาทด้วยการแสดงออกที่น่าหลงใหล พวกเขารู้สึกว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ไม่เพียงไม่น่ากลัว และดูเหมือนองค์รัชทายาทจะทําให้พวกเขาเห็นเขาโดยเจตนา

 

ชางอู๋ซินยื่นมือซีดไปลูบไล้ดวงตาที่ไม่เชื่อของเจ้าของโรงเตี้ยมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดสองสามคําข้างๆ หูของนาง แล้วเดินกลับหลังม่านไป ในระหว่างนี้ทุกคนเห็นว่าเจ้าของโรงเตี้ยมเสียชีวิตกะทันหันและยิ่งกว่านั้นนางยังคงแสดงความคับข้องใจในดวงตาที่ เบิกกว้างของนาง

ตอนนี้ทุกคนงงงวย แต่เล้งหยูเฟิงและฮวนมอเฉอรู้ว่าองค์รัชทายาทได้กล่าวถึงชื่อบุคคลเพียงคนเดียวในหูของผู้หญิงเมื่อครู่นี้ และ เมื่อได้ยินชื่อนั้นนางเบิกตากว้างด้วยความสยดสยองจนกระทั่งเสียชีวิตในบัดดล

 

บางทีคนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่พวกเขาบอกได้ว่าเมื่อองค์รัชทายาทสัมผัสดวงตาของสตรีนางนั้น พระองค์ทรงกดจุดฝังเข็มอันร้ายแรงของนางนั่นคือเหตุผลที่นางตายทั้ง ๆ ที่ยังลืมตาอยู่

 

“ทําความสะอาดที่นี่ซะ!” เล้งหยูเฟิงสั่งแล้วจ้องไปยังฉากกั้นอย่างไม่เคลื่อนไหวเมื่อห้องสะอาดแล้ว เขาเดินออกไปแล้วปิดประตูแต่ทั้งเขาและฮวนม่อเฉอไม่กลับไปที่ห้องของตนตรงกันข้ามพวกเขายืนอยู่ตรงทางเข้าด้านนอกราวกับอัศวินผู้จงรักภักดีที่สุดที่คอยปกป้องกษัตริย์ของพวกเขาเอง

 

“องค์ชาย คืนนี้เราจะพักที่ไหนกัน?” ไปเส้าหลินขี่ม้าไปหาองค์ชายอย่างว่างเปล่าและเอ่ยถามด้วยความชื่นชม

 

ตั้งแต่เหตุการณ์ในโรงเตี้ยมเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้องค์รัชทายาทเป็นเหมือนเทพเจ้าในสายตาของเหล่าทหารที่ติดตามไปพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่าองค์ชายมีวิทยายุทธหรือไม่ แต่เพราะสติปัญญาขององค์ชายที่ไม่มีผู้ใดสามารถเทียมได้

เมื่อบังเอิญมองดูชั้นของปาที่อยู่ข้างหน้าแล้ว ชางอู๋ซินเหยียดมือออกไปลูบขมับของตน ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางมีช่วงเวลาที่ยากลําบากกับร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ บวกกับสารพิษในร่างกายแม้นางจะมีอาการอื่นใด ทว่าในช่วงเวลานี้นางฝึกฝนวิทยายุทธอย่างหนักแต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยสภาพร่างกายให้ดีขึ้น ได้และด้วยอารมณ์หงุดหงิดทําให้หัวใจของนางวุ่นวายสับสนในสองวันที่ผ่านมา

 

ฮวนม่อเฉอมองไปที่องค์ชายด้วยความรู้สึกอึดอัด เขาขยับฝ่ามือเพื่อต้องการช่วยนวดหน้าผากของอีกฝ่าย แต่เมื่อนึกถึงอุปนิสัยปกติขององค์ชายที่มีท่าทางเกลียดชังตัวเองอย่างยิ่ง บุรุษหนุ่มจึงต้องกดดันตัวเองให้ออกห่าง

ทว่าเมื่ออยู่ใกล้องค์ชายกลับยิ่งอยากใกล้ชิดมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้แม้เขาต้องการที่จะควบคุมมัน

“องค์ชายไม่สบายหรือเปล่าพะย่ะค่ะ” เล้งหยูเฟิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

แต่คําพูดนั้นทําให้ฮวนมอเฉอเกิดความระแวดระวังดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะให้ความสนใจองค์ชายมากเกินไปในช่วงเวลานี้และตัวเขาเองก็สนใจองค์ชายเช่นกันโดยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์แบบไหนตอนนี้เพื่อนของเขาคงเริ่มมีความรู้สึกนั้นเหมือนกันทําให้ฮวนมอเฉอมีความคิดว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากถามทุกคนเช่นเล้งหยูเฟิง พวกเขาพบว่าองค์ชายซีดเซียวและอ่อนล้าเกินไป แม้ผิวขององค์ชายจะไม่ค่อยดีเท่าใบหน้าที่ขาวเนียน แต่ไม่ควรขาวซีดถึงเพียงนั้น

ทหารเหล่านี้ติดตามองค์ชายในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชามาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้ทุกคนย่อมเป็นห่วง

ฮวนต่อเฉอเผลอดึงนิ้วออกแล้วสั่งว่า “หยุดก่อน คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ขอให้ช่วยกันวางเวรยามให้แน่นหนา ถ้ามีอะไรผิดพลาดองค์ชายจะเสียหน้าได้” หลังจากพูดแล้ว องค์ชายขึ้นไปบนกิ่งไม้และหลับตาลงเพื่อพักผ่อนน

 

อย่างไรก็ตามชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกได้ว่ามีคนสองคนนั่งอยู่ด้านข้างตนและสองคนนี้ไม่จําเป็นต้องเดาย่อมรู้ว่าพวกเขาเป็นใครและคนสองคนนี้มักจะคอยปกป้องอยู่เคียงข้างเหมือนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทุ่มเท

เมื่อฮวนมอเฉอคิดบางอย่างได้จึงกัดฟันพลางเหยียดนิ้วออกเพื่อเตรียมพร้อมที่จะนวดขมับให้องค์ชายแม้เขาจะไม่เคยทําเรื่องดังกล่าว แต่ยังรู้ว่าเขาทําได้ดี ทว่าเมื่อมือของชายหนุ่มเข้าใกล้กับแก้มของผู้ที่ไร้หัวใจพลันมีหมัดพุ่งตรงมา

 

ในเวลานั้นชางอู๋ซินลืมตาขึ้นทันทีและมือขวาของนางได้โจมตีอย่างรวดเร็วด้วยการจับมือฮวนมอเฉอเพื่อหักนิ้วของเขา แต่พบว่าอีกฝ่ายไม่ต่อต้านความแข็งแกร่งของตัวเอง ทําให้ชางอู๋ซินรีบถอนตัวออกทันทีขณะที่สามารถมองเห็นดวงตาอันอ่อนโยนเหล่านั้นได้

 

นัยน์ตาของหญิงสาวเผยความฉงนโดยไม่ได้ตั้งใจจนไม่สามารถหันไปมองดวงตาอ่อนหวานคู่นั้นได้ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ต่อไปอย่าเข้าใกล้ข้าโดยไม่ให้เสียงก่อน มิเช่นนั้นข้าอาจเผลอทํา ร้ายเจ้าแล้วอย่าโทษว่าข้าไม่เตือน!” นางไม่ได้โต้กลับด้วยกําลัง

 

ทั้งเล้งหยูเฟิงและฮวนมอเฉอต่างรู้ว่าองค์ชายกําลังเตือนพวกเขาทว่าทั้งสองรู้สึกเหมือนกันว่า เมื่อได้อยู่เคียงข้างองค์ชายพวกเขารู้สึกว่าได้พักผ่อนท่ามกลางกลิ่นหอมที่ทําให้จิตใจสงบได้

ยามกลางคืนคืบคลานมาอย่างเชื่องช้าและเมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างนางได้ลืมตาขึ้นอย่างเฉยเมย ดังนั้นเล้งหยูเฟิงและฮวนมอเฉอจึงมาดูดวงตาเหล่านั้นอย่างหมกมุ่น

 

“ท่านพร้อมหรือยัง?” น้ําเสียงของชางอู๋ซินฟังดูเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนกลางคืนอันที่จริงหญิงสาวไม่ได้นอนหลับ นางเพียงปิดตาและปล่อยให้ความคิดของตนกระจ่างชัดขึ้น

“เอาล่ะ ทุกอย่างพร้อมแล้ว!” เล้งหยูเฟิงกล่าวเขารู้จุดประสงค์ขององค์ชายแต่ยังคงลังเลใจ แต่ในใจของเล้งหยูเฟิงยังรู้สึกว่าสิ่งที่ถูกต้องคือการคุ้มกันองค์ชาย

“ไปกับเขาเถอะ มันจะปลอดภัยกว่า!”ช่างอู๋ซินกล่าวอย่างไม่แยแส

 

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ!” เล้งหยูเฟิงและฮวนมอเฉอกล่าวพร้อมกัน

จากนั้นทั้งคู่รู้ว่าพวกเขาดูตื่นเต้นเกินไปฮวนมอเฉอฟื้นรอยยิ้มที่อบอุ่นของเขาในทันที “คราวนี้หยูเฟิงพากําลังพลไปมากมายองค์ชายมีทหารน้อยเกินไปและเนื่องจากข้าเป็นองครักษ์ขององค์ชายข้าจึงมีหน้าที่ปกป้ององค์ชาย!”

ปรากฏว่าชางอู๋ซินขอให้เล้งหยูเฟิงออกไปพร้อมกับทหารอีกคนหนึ่งพร้อมกับทหารและอาหารส่วนใหญ่พวกเขารวมตัวกันนอกเมืองที่กําลังประสบภัยความอดอยากในภาคใต้ และชางอู๋ซินจัดการสิ่งนี้ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยแต่ยังเพราะนางยังมีบางสิ่งที่ต้องทําดังนั้นจึงตัดสินใจเช่นนี้

“องค์ชาย ม่อเฉอถูกพูด ข้าเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน! เราต้องคุ้มกันองค์ชาย ดังนั้นเราควรอยู่กับองค์ชายเพื่อความปลอดภัยของพระองค์!” เล้งหยูเฟิงพูดอย่างจริงจัง

 

หญิงสาวหันไปมองทั้งสองแล้วพยักหน้าพลางพูดกับเล้งหยูเฟิง “จงรีบไประวังตัวด้วย!”

จิตใจที่สงบของเล้งหยูเฟิงกลายเป็นเปลวไฟลุกโชน ตามปกติเขาต้องปฏิบัติตามพระบัญชาขององค์ชาย ทว่าครั้งนี้มันกลับทําให้เขาวุ่นวายใจไม่มีเหตุผล จากนั้นแม่ทัพหนุ่มพลันหันหลังกลับทันทีและนําทหารกับรถบรรทุกอาหารไปยังอีกด้านหนึ่งโดยไม่บอกลาองค์ชาย

“เวรแล้ว!” เล้งหยูเฟิงรู้สึกผิดหลังจากออกไปพักหนึ่ง

 

“ท่านแม่ทัพเกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น?” ชายร่างใหญ่ที่อยู่ถัดจากเล้งหยูเฟิงเอ่ยถาม

 

ชายคนนี้ชื่อเหอหลานจินเป็นรองแม่ทัพในสังกัดของเล้งหยูเฟิงโดยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ของเล้งหยูเฟิงเสมอมาซึ่งมักจะติดตามแม่ทัพหนุ่มไปทุกหนทุกแห่ง และแน่นอนคราวนี้ย่อมไม่มี ข้อยกเว้น

 

“ไม่มีอะไร!” เล้งหยูเฟิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม แต่ที่จริงแล้วแม่ทัพหนุ่มรู้ว่าตนเดินมาไกลมากแล้วกว่าจะระลึกได้ว่าเขาลืมบอกลาองค์ชายโดยคิดว่าเหตุใดเขาถึงได้ทําเช่นนั้น? ช่างโง่เขลานัก

“แปลก…” เหอหลานจีนยังคงพึมพํา

 

เขาติดตามแม่ทัพผู้นี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนแรกเขาเป็นเพียงนายทหารชั้นผู้น้อยเคียงข้างแม่ทัพเพราะเขาอ่านและรู้หนังสือจากนั้นก็ไปที่ออกรบกระทั่งกลายเป็นรองแม่ทัพ แต่หลังจากติดตามมาหลายปีแล้วเขาพบว่าแม่ทัพท่านนี้มีความจริงจังมาก แต่เมื่อเร็ว ๆนี้เขากลับรู้สึกว่าท่านแม่ทัพแตกต่างออกไปจากเดิมแต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าความแตกต่างคืออะไรเพียงแค่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง

 

เมื่อเล้งหยูเฟิงเดินทางออกไปพร้อมกับอาหารส่วนใหญ่และเหลือทหารมากกว่าสองพันนาย ชางอู๋ซินได้พาทหารที่เหลือไปยังเส้นทางเดิม

 

“ถนนเส้นนี้เป็นของข้า ถ้าต้องการจะผ่านทางต้องมีค่าธรรมเนียม!”ทันใดนั้นชายร่างกํายําจํานวนมากกระโดดลงมาที่กลางถนนและมองดูเมล็ดพืชในรถม้าที่อยู่ข้างหลังด้วยอาการนา้ลายไหลที่ชัดเจนเกินไป

เมื่อฮวนมอเฉอได้ยินถ้อยคําดังกล่าว เขาแสยะยิ้มขณะเตรียมพร้อมรับมืออีกฝ่ายเพื่อปกป้ององค์รัชทายาท

 

“เจ้ามีความสนุกสนานมากนักรี?!” ชางอู๋ซินมองไปยังกลุ่มโจรที่พูดประโยคนั้นโดยโจรคนนี้เป็นคนหัวล้านอ้วนลงพุง เขาคือ หวูไห่หมินที่มีรูปลักษณ์ดุร้าย

พวกโจรงุนงงมากเห็นได้ชัดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อปล้น? แล้วเหตุใดเด็กน้อยหน้าตาดีผู้นี้ถึงแตกต่างจากคนทั่วไป ไม่เพียงไม่กลัวแต่ยังพูดคําที่ฟังแล้วไม่เข้าใจเช่นนั้นด้วย

 

“ไม่เอาน่า ทิ้งอาหารไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!” โจรพูดด้วยรอย

 

น่าเสียดาย ทันทีที่พูดจบเขากลับล้มลงกองกับพื้นเมื่อหญิงสาวหยิบกริชออกมาแล้วสลัดออกไปเสียบเข้าที่ลําคอของโจรจนเสียชีวิตทันที!!!

 

Options

not work with dark mode
Reset