สอนรักอดีตภรรยา 41 รอยฝ่ามือ

ตอนที่ 41 รอยฝ่ามือ

 

ระหว่างทางที่กลับไป หนานซ่งนั่งเม้มปากแน่นอยู่ข้างหลัง ไม่เอ่ยพูดอะไรเลย

บรรยากาศในรถก็อึมครึมมาก

กู้เหิงเป็นคนขับรถเอง มือที่จับพวงมาลัยอยู่ก็ระมัดระวังมาก กลัวว่ารถจะไม่นิ่งแล้วทำให้บอสนั่งไม่สบาย ไม่งั้นตัวเองต้องซวยแน่

เขาทำงานกับหนานซ่งมาหลายปี รู้จักนิสัยเธอดี

ถ้าเธอพูดด่าฉอดๆ แสดงว่าไม่ได้โกรธจริง แต่ถ้าเงียบเหมือนตอนนี้ แสดงว่าเธอกำลังเก็บกดอยู่ อัดอั้นใจอยู่ เวลานี้ห้ามไปยุ่งด้วยเด็ดขาด ใครยุ่งด้วยคนนั้นก็จะซวย

ถึงสวนกุหลาบแล้ว กู้เหิงลงจากรถแล้วมาเปิดประตู หนานซ่งลงจากรถแล้วเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้ามารับฉันแปดโมง”

“ครับ” กู้เหิงตอบรับ มองสำรวจสีหน้าหนานซ่ง จึงถามอย่างไม่วางใจ “บอสหนานครับ ผมรู้ว่าคุณไม่สบายใจ ให้ผมติดต่อคุณชายยวี่ แล้วซื้อชามเคลือบกลับมาไหมครับ?”

หนานซ่งขมวดคิ้ว แล้วมองเขาตาขวาง “นายว่างมากเหรอ?”

กู้เหิงรีบส่ายหน้ารับผิดทันที “ผมผิดไปแล้วครับ”

ยังดีที่หนานซ่งไม่อะไรกับเขามาก

มองส่งหนานซ่งเดินเข้าประตูไปแล้ว กู้เหิงจึงถอนหายใจยาว พร้อมตบปากตัวเองอย่างหงุดหงิด “ปากมากดีนัก”

จนกระทั่งกู้เหิงขับรถไปไกลแล้ว รถหรูสีดำค่อยแล่นไปข้างหน้า แล้วหยุดจอดข้างถนนตรงข้ามสวนกุหลาบ

กระจกรถลดลงมา จึงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งเฉยของยวี่จิ้นเหวิน

“นี่เป็นคฤหาสน์ตระกูลหนาน?”

น้ำเสียงของเขาดูเย็นชามากท่ามกลางความมืด

“ครับ” เหอจ้าวตอบรับ แล้วดูข้อมูลที่สืบได้บนไอแพด พร้อมพูดขยายความ “เดินทีที่นี่เป็นสวนกุหลาบชื่อดังในเมืองหนาน จากนั้นหนานหนิงซง……เออ พ่อของคุณหญิงซื้อไว้ แล้วรีโนเวทเป็นคฤหาสน์ตระกูลหนาน แล้วชื่อสวนกุหลาบด้วยครับ”

ยวี่จิ้นเหวินตอบ”อื้อ”เสียงเบา สายตามองไปไกลๆ มีห้องที่เปิดไฟสว่างหลายห้อง เธอพักอยู่ที่ห้องไหน?

เขาเหมือนจินตนาการออกว่าห้องของเธอจะเป็นแบบไหน ต้องเป็นสีโทนอ่อน ในห้องมีแต่กลิ่นดอกกุหลาบ สะอาดสะอ้าน มีบรรยากาศบ้านที่อบอุ่น

ในใจไม่รู้ทำไม มีความคาดหวัง แล้วเต็มไปด้วยความเสียใจ

กระจกรถปิดลง ยวี่จิ้นเหวินเอ่ยว่า “ไปเถอะ”

เหอจ้าวสงสัยเล็กน้อย “บอสยวี่ครับ บอสจะเอาชามเล็กไปให้คุณหญิง แล้วง้อคุณหญิงไม่ใช่เหรอครับ?”

ยวี่จิ้นเหวินเงยหน้ามองเขาตาขวาง “นายคิดว่าฉันจะง้อสำเร็จเหรอ?”

เหอจ้าวคิดไปมา แล้วตอบตามความจริง “ผมคิดว่าไม่”

ถึงแม้เมื่อก่อนคุณหญิงจะนิสัยดีมาก แต่คุณหญิงตอนนี้ไม่ใช่คุณหญิงคนเก่าแล้ว ถึงแม้จะดูยิ้มแย้ม แต่กลับทำให้รู้สึกถึงความหวั่นเกรงภายใต้รอยยิ้มของเธอ น่ากลัวมาก

แล้วการกระทำที่น่าโมโหของบอสยวี่วันนี้ เขารู้สึกว่าคุณหญิงไม่ชกหน้าบอส ก็เมตตามากแล้ว

แต่ก็พูดได้อีกแบบก็คือ อาจจะตัดใจแล้ว

ไม่ใช่ไม่โกรธ แต่ขี้เกียจที่จะสนใจ

“แล้วนายยังจะถามอีก”

เหอจ้าวพูดว่า “บอสยวี่ครับ ประสบการณ์ที่ผมเคยผ่านมา ยังไงก็ต้องง้อผู้หญิง จะง้อสำเร็จหรือเปล่าอยู่ที่วิธี แต่ถ้าไม่ง้อจะเป็นปัญหาทางด้านทัศนคติ”

ยวี่จิ้นเหวินหรี่ตาลง “งั้นนายคิดว่า ทัศนคติของฉันมีปัญหางั้นเหรอ?”

รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็น เหอจ้าวจึงเริ่มเสียวสันหลัง แล้วยิ้มแห้ง “ไม่กล้าครับ คุณไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะชามสี่ใบนี้ต่างหาก ที่ทำให้คุณหญิงโกรธ”

ยวี่จิ้นเหวินหันไปมองชามสี่ใบนั้น นี่เป็นชามเคลือบยุคคังซี

เขาก็คิดไม่ถึงว่าหนานซ่งจะแย่งกับเขา

แต่ตระกูลหนานทำธุรกิจจิวเวลรี่ อาจจะมีความรู้เรื่องของโบราณด้วย หรือว่าเธอมองมูลค่าของชามเล็กนี้ออก?

แล้วทำไมเธอไม่แย่งชิงกับเขาให้ถึงที่สุด?

ความสงสัยในใจมากขึ้นเรื่อยๆ ยวี่จิ้นเหวินนวดขมับ แล้วมีแต่คำถามทำไมมากมายอยู่ในหัว

“ไปเถอะ”

ยวี่จิ้นเหวินหันมองออกไปข้างนอก ยังมีเวลาอีกเยอะ สักวันเขาจะได้คำตอบเอง

……

หนานซ่งกลับถึงห้อง ปิดประตู แล้วอาบน้ำ

วินาทีที่น้ำร้อนสาดลงมา หนานซ่งทนไม่ไหวจริงๆ จึงกรีดร้อง”อ๊าก” เสียงสั้นมาก แต่ก็สามารถระบายความโมโหออกมาได้

เธอหงุดหงิดมาก ชามเล็กที่ใกล้จะถึงมือแล้วอยู่ๆก็เสียไป

พออาบน้ำเสร็จ หนานซ่งใส่เสื้อคลุมอาบน้ำออกมาพร้อมความชื้น แล้วลงนั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

ห้องของเธอเป็นโทนสีขาวดำเรียบๆ โคมไฟต่างๆก็เป็นสีทอง เป็นสไตล์โมเดิร์นกับโทนเย็นชา สไตล์แตกต่างกับห้องนอนที่คฤหาสน์ตระกูลยวี่อย่างสิ้นเชิง

ตอนนั้น เธออยากจะสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น คิดว่ายวี่จิ้นเหวินจะชอบผู้หญิงที่เป็นแม่ศรีเรือน แต่คาดไม่ถึงเลยว่า ตลอดทั้งปีเขามาที่ห้องเธอแค่ไม่กี่ครั้ง

บางครั้งถ้าผู้หญิงคิดแทนผู้ชายมากเกินไป ก็จะสูญเสียความเป็นตัวเอง แล้วทุกอย่างที่ตัวเองทำให้ผู้ชายก็ไม่แยแสเลย สุดท้ายทำได้แค่ปลอบใจตัวเอง

โทรศัพท์ส่งเสียงดัง ไป๋ชีเป็นคนโทรมา “ฉันเพิ่งยุ่งเสร็จ เหนื่อยชะมัดเลย”

“อื้อ” หนานซ่งทาโลชั่นที่แขนอย่างไม่ค่อยมีอารมณ์ เหมือนหุ่นยนต์ที่ถ่านจะหมด

ไป๋ลู่ยวี๋เห็นท่าทางหมดอารมณ์ของเธอ จึงยิ้มเอ่ย “ยังติดใจกับชามเคลือบสี่ใบนั้นอยู่เหรอ?”

หนานซ่งตบหน้าอกตัวเอง แล้วถอนหายใจยาว “โทษฉันเอง ที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ใจร้อนเกินไป แล้วมั่นใจเกินไปด้วย คราวหน้าถ้าเจอของดีๆแบบนี้อีก ต้องคุยกับฝ่ายขายล่วงหน้าก่อน อย่าแข่งกับคนอื่นแบบนี้อีก”

เธอยังเด็กเกินไป เจอยวี่จิ้นเหวินที่เป็นนักสะสมมีประสบการณ์ จึงใจร้อนง่าย

“คิดทบทวนได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ที่พลาดคืนนี้ไม่ใช่แค่ความผิดของเธอ”

ไป๋ลู่ยวี๋เอ่ยปลอบเธอ “ถ้าเธอรู้สึกเสียดายจริงๆ เดี๋ยวฉันจะสั่งให้คนไปแย่งมาจากยวี่จิ้นเหวิน แล้วขย้ำมันให้เละ เธอจะได้ระบายอารมณ์ด้วย เธอไว้ใจเถอะ คลุมถุงไว้ ไม่ให้มันรู้หรอกว่าใครทำ”

หนานซ่งทำตาขวาง “พี่สองเป็นคนเสนอไอเดียให้นายใช่ไหม?”

ไป๋ลู่ยวี๋อึ้งเล็กน้อย “ชัดเจนขนาดนี้เลยเหรอ?”

หนานซ่งมองบนใส่เขา “ไม่ต้องหรอก พ่อเคยบอกฉันว่า ของโบราณก็แค่เอามาชื่นชม ไม่ต้องหมกมุ่นมาก ได้มาก็ถือว่าโชคดี ถ้าไม่ได้ ก็ถือว่าไม่มีดวงกับของชิ้นนั้น ถ้าไปแย่งมาก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”

“ก็ได้ เธอเป็นนักสะสม ฉันไม่รู้เรื่องเอง”

ไป๋ลู่ยวี๋คุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับเธออีกสักพัก จึงกดวางสาย

หนานซ่งบำรุงผิวพิถีพิถันอยู่แล้ว ทาโลชั่นทั้งตัว แม้แต่เท้าก็ไม่เว้น ขั้นตอนนั้นช่างดีต่อใจเหลือเกิน

พอบำรุงผิวเสร็จ เป่าผมจนแห้ง อารมณ์ก็สงบลง

อ่านหนังสือไปสักพัก ตอนที่กำลังจะปิดไฟนอน กลับมีคนมาเคาะประตู แล้วเสียงของหนานหยาก็ดังลอยมา “หนานซ่ง แกเปิดประตูเดี๋ยวนี้! ฉันรู้ว่าแกอยู่ในบ้าน! แกกล้าแย่งผู้ชาย แกก็ต้องกล้าเปิดประตูสิ!”

“……”

หนานซ่งขมวดคิ้วแน่น นี่โดนผีเข้าสิงเหรอ?

เธอสวมรองเท้าแล้วเดินไปเปิดประตู สิ่งที่เห็นจึงเป็นใบหน้าแดงก่ำของหนานหยา แล้วก็กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ฉุนจมูก

หนานซ่งพัดมือไปมาอย่างรังเกียจ “เธอดื่มไปเท่าไหร่เนี่ย?”

“ไม่ต้องมายุ่ง!”

หนานหยาเมาแล้วจริงๆ แล้วยืนเซไปมา ใบหน้าก็แดงเหมือนมะเขือเทศ หน้าข้างซ้ายดูแดงกว่าข้างขวา แล้วยังมีรอยนิ้วมือด้วย

หนานซ่งจับหน้าเธอมาดูรอยฝ่ามือชัดๆ แล้วหรี่ตาลง “ฉินเจียงหยวนเป็นคนตบเหรอ?”

Options

not work with dark mode
Reset