วาสนาบันดาลรัก 453 เสียใจ

ตอนที่ 453 เสียใจ

 

 

 

“เจ้าค่ะ” มู่จือรีบไปหาเสื้อผ้าทันที  

 

 

เจินเมี่ยวจับเสาเตียงไว้แล้วค่อยๆ นั่งลง ใจของนางสับสนไปหมด  

 

 

เมื่อวานไท่เฟยยังดีๆ อยู่แท้ๆ เหตุใดจึงสิ้นแล้วเล่า  

 

 

มือนางจับเสาเตียง เล็บจึงกรีดลงไปบนนั้นจนเป็นรอยโดยไม่รู้ตัว  

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ ชุดนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”  

 

 

เจินเมี่ยวมองคราหนึ่ง  

 

 

ชุดกระโปรงสีขาวนวลไปทั้งชุด มองจนแทบไม่เห็นลายของมัน  

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า “ได้”  

 

 

วังหลวงเป็นสถานที่สูงศักดิ์ที่สุดและเป็นที่ที่ไร้น้ำใจที่สุด มีพระสนมมากมายที่เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่และเป็นที่โปรดปรานนางจะสามารถเรียกได้ทั้งลมทั้งฝน แต่เมื่อสิ้นลมไปแล้ว คนในตระกูลกลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าวัง หรือต่อให้เข้าไปได้ก็ไม่อาจใส่ชุดไว้ทุกข์ได้  

 

 

เจินเมี่ยวเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว มู่จือจึงบอกนางว่า “ต้าไหน่ไหน่ ให้บ่าวทำผมให้ท่านใหม่เถิดเจ้าค่ะ”  

 

 

เจินเมี่ยวอยู่เรือนตนจะทำเพียงเกล้าผมขึ้นอย่างเรียบง่ายและปักปิ่นหยกเพียงหนึ่งอัน นอกนั้นนางก็มิได้ประดับอันใดบนผมเลยสักนิด  

 

 

“ไม่ต้องแล้ว” เจินเมี่ยวเอ่ยเพียงคำแล้วรีบเดินออกไปบอกกับขันทีว่า “กงกง ไปกันเถิด”  

 

 

เกี้ยวคอยๆ เคลื่อนๆ ไป ใจของเจินเมี่ยวสับสนไปหมด เมื่อถึงประตูวังก็พบกับฮูหยินผู้เฒ่าและนางเจี่ยงพอดี  

 

 

“ท่านย่า ท่านป้าใหญ่” เจินเมี่ยวเอ่ยเรียก  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือเจินเมี่ยวไว้แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ ใจเย็นๆ ตามย่ามา”  

 

 

“เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวพยักหน้า  

 

 

คนทั้งสามเดินตามขันทีไป  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้วจึงเดินไม่ค่อยถนัด เมื่อครู่ก็เกือบจะล้มไปแต่โชคดีที่เจินเมี่ยวและนางเจี่ยง ประคองไว้คนละฝั่ง  

 

 

“ท่านย่า ระวังเจ้าค่ะ”  

 

 

นางเจี่ยงจึงเอ่ยตามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ระวังด้วยเจ้าค่ะ”  

 

 

แต่ที่ผิดคาดคือขันทีมิได้พาพวกเขาไปพบเฉินชิ่งตี้ แต่กลับพาไปพบจ้าวไท่โฮ่ว จ้าวเฟยชุ่ยหลานสาวของนางก็นั่งอยู่ด้านข้าง  

 

 

ไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วล้วนเป็นคนสกุลจ้าว จวนมู่เอินโหวจึงนับว่าได้เชิดหน้าชูตาอย่างที่สุด  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่เก็บความสงสัยไว้ แล้วพาเจินเมี่ยวและนางเจี่ยงเข้าไปถวายพระพรไท่โฮ่วและหวงโฮ่ว  

 

 

จ้าวไท่โฮ่วรีบเดินเข้ามาหาแล้วประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้ด้วยตนเอง ทั้งเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องมากพิธี รีบนั่งลงเถิด”  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะนั่งอยู่ได้ นางเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวว่า “ไท่เฟยทรงจากไปเมื่อหรือเพคะ”  

 

 

จ้าวไท่โฮ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “เมื่อวานยามดึกสงัด ทรงประชวรกะทันหัน ยังมิทันได้เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการด้วยซ้ำ พระองค์ก็จากไปเสียแล้ว…” พูดถึงตรงนี้ก็เช็ดน้ำตาตนเช่นกัน  

 

 

เจินเมี่ยวมิได้ร้องไห้ตาม น้ำตาที่คลออยู่ตรงขอบตากลับค่อยๆ รื้นขึ้น  

 

 

ป่วยกะทันหัน? แม้ท่าทีเมื่อวานจะมิสู้วันก่อนๆ แต่ยังกินขนมได้เป็นจาน ไม่เหมือนคนที่จะป่วยกะทันหันแล้วจากโลกนี้ไปเลยแม้แต่น้อย  

 

 

ทว่าไท่เฟยเป็นผู้อาวุโสกว่าจ้าวไท่โฮ่วอยู่หนึ่งชั้น ทั้งฝ่าบาทยังกตัญญูต่อไท่เฟยยิ่ง จะเป็นไปได้หรือที่ไท่เฟยจะถูกปองร้าย  

 

 

เจินเมี่ยวกำลังครุ่นคิดอยู่ พลันได้ยินจ้าวไท่โฮ่วเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าคงคิดถึงไท่เฟย ท่านอยากจะไปดูตำหนักที่ไท่เฟยพักอยู่หรือไม่ ของที่ไท่เฟยเคยใช้ได้ถูกเก็บไว้หมดแล้ว มีบางอย่างที่สามารถนำกลับไปได้ จะได้เอาไว้ดูยามคิดถึง”  

 

 

กระทั่งขันทีพาฮูหยินผู้เฒ่าและคนทั้งสองออกไปแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงจ้าวไท่โฮ่วและจ้าวหวงโฮ่ว จ้าวเฟยชุ่ยก็อดพูดขึ้นมามิได้ว่า “ท่านอา ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงคิดอันใดอยู่ ตั้งแต่ไท่เฟยจากไป พระองค์ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่พบใคร”  

 

 

จ้าวไท่โฮ่วถอนหายใจออกมา “ตอนนั้นเจ้ายังเด็กคงจำไม่ได้ ตอนที่ฝ่าบาททรงพระเยาว์ ทรงตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากยิ่ง หากไม่ได้เจินไท่เฟยยื่นมือเข้าช่วยเกรงว่า…ไม่ว่าอย่างไรในพระทัยฝ่าบาท ไท่เฟยยังมีความสำคัญกว่าไท่โฮ่วพระองค์ก่อนเสียอีก”  

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ก็กระแอมไอขึ้นแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าก็อย่ามัวแต่มานั่งอยู่ที่นี่กับข้าเลย ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังเสียพระทัย เจ้าต้องคอยปลอบใจสักหน่อย พระองค์จะได้จดจำน้ำใจของเจ้าได้”  

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยกลอกตาขึ้นคราหนึ่ง ทำให้จ้าวไท่โฮ่วโมโหจนต้องยื่นมือไปหยิกนาง “เจ้าทำอันใด เป็นถึงหวงโฮ่ว มิใช่เด็กน้อยที่เอาแต่ใจตนเองไปวันๆ แล้ว รีบไปเร็วเข้า”  

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยขัดจ้าวไท่โฮ่วมิได้จึงไปที่ตำหนักของเฉินชิ่งตี้  

 

 

เมื่อหยางกงกงเห็นจ้าวเฟยชุ่ยมาก็ถอนหายใจโล่งอก พลางเข้าไปต้อนรับ “หวงโฮ่ว พระองค์ทรงช่วยเตือนฝ่าบาททีเถิด ตอนนี้พระองค์ยังไม่ยอมดื่มแม้แต่น้ำด้วยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยกระตุกมุมปากขึ้นอย่างรำคาญแล้วเดินเข้าไป  

 

 

เสียงประตูเปิดออก จ้าวเฟยชุ่ยกวาดตามองไปคราหนึ่ง  

 

 

ฝ่าบาทมิได้อยู่ในห้องแล้วหรือ!  

 

 

ไม่นานสายตานางก็เหลือบไปเห็นเขา นางเบ้ปากเล็กน้อยอย่างไร้วาจาจะเอ่ย  

 

 

ที่แท้เฉินชิ่งตี้นั่งคุดคู้อยู่ในมุมห้อง ด้านหลังที่ดูโดดเดี่ยวเดียวดายนั้นคล้ายกับสุนัขที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านในยามที่อากาศเหน็บหนาวที่สุด  

 

 

นางเคยเห็นแต่ท่าทีเย็นชากวนโทสะของเขา ท่าทีเช่นนี้นับเป็นความแปลกใหม่สำหรับจ้าวเฟยชุ่ยจริงๆ เดิมนางเพียงคิดว่าจะมาเดินดูสักรอบตามคำบอกกล่าวของท่านอา แต่ตอนนี้กลับมีใจอยากจะพูดขึ้นมาเสียแล้ว  

 

 

“ฝ่าบาท คนตายไม่อาจฟื้นคืน อย่าเสียใจไปเลย”  

 

 

เมื่อเห็นเฉินชิ่งตี้ยังนิ่งอยู่ นางก็เม้มริมฝีปากก่อนเอ่ยว่า “ไท่เฟยไปสู่สุคติแล้ว ฝ่าบาทเอาแต่หลบอยู่ที่นี่แล้วพิธีศพของไท่เฟยจะทำเช่นใดเล่า เรื่องนี้ยังต้องรอให้พระองค์ตัดสินพระทัย”  

 

 

ฐานะเช่นเจินไท่เฟยนั้นหากคนสิ้นไปแล้วก็คงฝังศพในสุสานราชวงศ์อย่างเงียบๆ แต่เพราะเคยเลี้ยงดูฝ่าบาท ความผูกพันย่อมมี จึงอาจมีการจัดพิธีที่ต่างไป  

 

 

นางจึงเอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาททรงคิดว่าควรจัดพิธีเช่นใดจึงจะเหมาะสมหรือ หากจะทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ก็มิอาจปล่อยเวลา…”  

 

 

เฉินชิ่งตี้พลันเงยหน้าขึ้นแล้วมองจ้าวเฟยชุ่ยด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “หยุดพูดเหลวไหล เราบอกให้ออกไป!”  

 

 

“ท่าน!” จ้าวเฟยชุ่ยอึ้งไป แล้วค่อยนึกได้ว่าเขาด่านาง นางโกรธจนตัวสั่นไปหมด  

 

 

หมาบ้าตัวนี้กัดคนไปทั่ว นางไม่ควรยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ ต่อให้จะใช้หญ้าห่อศพไท่เฟยก็ไม่เกี่ยวอันกับนาง  

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยมิเคยเป็นที่รองรับอารมณ์ผู้ใดอยู่แล้ว เมื่อครู่ยอมอดทนเอ่ยเตือนสติเขา เพราะบังเอิญเกิดเห็นใจขึ้นมาเท่านั้น ตอนนี้เองนางจึงถลึงตาใส่เขา แค่นเสียงเย็นแล้วเดินจากไป  

 

 

“หวงโฮ่วพ่ะย่ะค่ะ…” หยางกงกงร้องเรียกด้วยความสับสน  

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยเดินออกไปด้านนอกด้วยใบหน้าดำคล้ำ เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นที่ด้านหลังก็หันไปมองจึงเห็นเฉินชิ่งตี้เดินออกมา นางคิดว่าเขาจะตามออกมาตีนาง จึงรีบเดินหนีไป  

 

 

คนฉลาดย่อมไม่ยอมทำเรื่องที่จะเสียเปรียบ เมื่อหมาบ้ากำลังอาละวาด นางต้องไม่ยอมให้มันเกิดแน่!  

 

 

แน่นอนว่าเฉินชิ่งตี้มิได้ตามออกมากัดหวงโฮ่วของเขา แต่กลับหันไปถามหยางกงกงว่า “คนจากจวนเจี้ยนอานปั๋วมาแล้วหรือไม่”  

 

 

“มาแล้วๆ พ่ะย่ะค่ะ” หยางขันทีรีบพยักหน้ารับ  

 

 

“เจียหมิงเซี่ยนจู่เล่า”  

 

 

“เจียหมิงเซี่ยนจู่กับฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วมาถึงพร้อมกัน จึงไปพบไท่โฮ่วก่อน ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เฉินชิ่งตี้ยกเท้าขึ้นแต่กลับชะงักหยุด แล้วเอ่ยด้วท่าทียากจะคาดเดาว่า “ไปเชิญเจียหมิงเซี่ยนจู่มาพบเราด้วย”  

 

 

พูดจบก็เดินกลับเข้าห้องไป  

 

 

หยางกงกงรีบส่งขันทีน้อยไปเชิญเจินเมี่ยวทันที ไม่นานก็เห็นสตรีสวมชุดชาววังเดินนวยนาดเข้ามา  

 

 

“ถวายพระพรกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เจินจิ้งถือตะกร้าอาหารมาด้วย นางพยักหน้ารับอย่างสงวนท่าทีแล้วถามว่า “ฝ่าบาทเสวยอันใดบ้างแล้วหรือไม่”  

 

 

“ฝ่าบาทเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องตั้งแต่เช้าจนกระทั่งตอนนี้โดยไม่ดื่มแม้แต่น้ำพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เจินจิ้งทั้งเป็นห่วงทั้งยินดี แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย “รบกวนหยางกงกงทูลฝ่าบาทให้ทีว่าข้านำน้ำแกงมาให้ ขอพระองค์โปรดเสวยสักเล็กน้อย”  

 

 

หลังจากนั้นไม่นานหยางกงกงก็กลับมาด้วยสีหน้าปั้นยาก  

 

 

 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset