วาสนาบันดาลรัก 387 คนเมามายมักคายความจริง

ตอนที่ 387 คนเมามายมักคายความจริง

ทุกคราที่เข้าสู่ช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างวสันต์และเหมันต์จะมีบางพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย ข่าวตลิ่งถูกกัดเซาะจนพังทลายลงมาของหมู่บ้านสือหลี่ที่จิงโจวจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องอันน่าตกใจอันใด ในฎีการายงานก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าฝนห่าใหญ่ตกติดต่อกันถึงสามวันจนเป็นเหตุให้ตลิ่งพัง เคราะห์ดีที่ขุนนางในพื้นที่ต่างช่วยเหลือกันและย้ายชาวบ้านออกจากหมู่บ้านก่อนที่จะเกิดเหตุทำให้มีคนตายเพียงสามและบาดเจ็บอีกห้า เมื่อมองเช่นนี้แล้วนับว่าขุนนางจัดการได้ดีไม่น้อยเลย  

 

 

หยางเหมี่ยน นายอำเภอจิงโจวยังเป็นบุตรชายของหยางอวี้เต๋อเสนาบดีกรมพิธีการอีกด้วย แม้ยามนี้จะเป็นเพียงขุนนางขั้นห้า แต่ในด้านการงาน ภายหน้าหากกลับเมืองหลวง อนาคตคงรุ่งโรจน์เป็นแน่ ผู้คนต่างเรียกเขาว่าใต้เท้าเสี่ยวหยาง  

 

 

เจาเฟิงตี้เห็นรายงานในฎีกาเขียนว่าดูแลชาวบ้านที่อพยพและซ่อมแซมตลิ่งอย่างไร ทุกอย่างเขียนได้อย่างละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนอย่างที่ราชสำนักมิต้องเป็นกังวลเลยสักนิด จึงอดเอ่ยกับขันทีมิได้ว่า “บุตรของเสนาบดีหยางเก่งกาจกว่าผู้อาวุโสมากประสบการณ์เสียอีก”  

 

 

วาจานี้ถูกถ่ายทอดไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานจวนของเสนาบดีหยางก็มีผู้คนมาเยือนมากมายประหนึ่งตลาดอันคึกคัก แม้แต่เยี่ยนอ๋องที่ถูกผู้ตรวจการร้องเรียนจนเสียชื่อเสียงหมดอาลัยตายอยากยังลุกขึ้นมาร่วมด้วยอีกคน  

 

 

ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย มีเพียงตระกูลของท่านตาเขาที่มีรากฐานเข้มแข็งที่สุด และเป็นกำลังสำคัญในการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทของเขา  

 

 

หยางอวี้เต๋อเสนาบดีกรมพิธีการกำสาสน์ลับจากหยางเหมี่ยนไว้ในมือแน่น สีหน้าสงบนิ่งดุจสายน้ำเขาเรียกมู่เหลียวคนสนิทเข้ามาพูดคุยเพียงสองคน “คิดไม่ถึงว่าหมู่บ้านสือหลี่ที่จิงโจวจะใช้ฟางข้าวมาซ่อมริมตลิ่ง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป โอรสสวรรค์คงได้กริ้วดุจฟ้าผ่าแน่ ผลลัพธ์นั้นไม่อยากคิดเลยจริงๆ”  

 

 

“ใต้เท้าวางใจ ใต้เท้าเสี่ยวหยางมิใช่จัดการทุกอย่างตามความเหมาะสมแล้วหรือขอรับ”  

 

 

หยางอวี้เต๋อส่ายหน้า “เจ้าตัวอัปรีย์ผู้นี้ ช่างบังอาจเกินไปแล้ว เคราะห์ดีที่คนบาดเจ็บล้มตายมีน้อยยิ่งจึงได้ปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้”  

 

 

มู่เหลียวรีบเอ่ยปลอบว่า “เพราะใต้เท้าเสี่ยวหยางมีวาสนาอันยิ่งใหญ่ มีนักพรตเสียสติผู้หนึ่งได้ทำนายว่าหมู่บ้านสือหลี่จะถูกน้ำท่วมจนมิด ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านรอดสักคน เพราะก่อนหน้านั้นเขาได้แสดงอิทธิฤทธิ์บางอย่างให้ได้เห็น ชาวบ้านทั้งหลายจึงเชื่อและทยอยย้ายออกไปก่อนตลิ่งถล่มเพียงไม่กี่วัน”  

 

 

หยางอี๋เต๋อถอนหายใจออกมา “เรื่องนี้มิอาจนิ่งนอนใจได้ เจ้ารีบเดินทางไปที่จิงโจวบอกให้หยางเหมี่ยนตั้งด่านตรวจค้นไว้ทางเข้าออกไว้ หากผู้ใดจะเข้าเมืองหลวงต้องสอบถามตรวจค้นให้ละเอียด โดยเฉพาะคนในหมู่บ้านสือหลี่ ห้ามปล่อยให้ออกมาเด็ดขาด”  

 

 

เรื่องฝนตกติดต่อกันสามวันสามคืนนั้นเป็นเพียงเรื่องโป้ปดเท่านั้น ความจริงฝนห่าใหญ่ที่หมู่บ้านสือหลี่ตกลงมาเพียงครึ่งวันเท่านั้น พอคิดได้ว่าหากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไปแม้เพียงน้อยนิด หยางอวี้เต๋อก็เหงื่อซึมออกมาทั่วร่างแล้ว  

 

 

อุทกภัยในหมู่บ้านสือหลี่ไม่ร้ายแรง ทั้งขุนนางท้องที่ยังจัดการได้ดียิ่ง เจาเฟิงตี้จึงมิได้ใส่ใจมากนัก   

 

 

รัชศกจิ้งเต๋อปีที่สิบสี่ การสอบชุนเหวยจึงยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ  

 

 

หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวอันน่ายินดีแพร่ออกมา เจี่ยงเฉินสอบได้อันดับสามคือทั่นฮวาจึงกลายเป็นคุณชายที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงมากที่สุด  

 

 

แม้นางเถียนป่วยหนัก แต่งานเลี้ยงฉลองที่จวนเจี้ยนอานปั๋วเชิญให้เข้าร่วมเจินเมี่ยวยังคงต้องไป  

 

 

แม้นางเจี่ยงจะสุขุมนุ่มลึกเสมอมา แต่ยามนี้กลับมิอาจปิดบังความยินดีบนหน้าตน นางดึงเจินหนิงบุตรสาวคนโตเข้ามาพูดคุยด้วย เจินเมี่ยวที่นั่งอยู่อีกด้านก็ได้ยินอย่างชัดเจน  

 

 

“ญาติผู้น้องของเจ้าสอบได้อันดับหนึ่งของการสอบชุนเหวยระดับเมืองและระดับเมืองหลวง ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่าเขามีความสามารถที่จะสอบได้อันดับหนึ่งเป็นจ้วงหยวน [1]  ด้วยซ้ำ เพียงแต่ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งถึงสามในครั้งนี้ นอกจากเขาแล้ว ผู้หนึ่งอายุสามสิบกว่าปี อีกผู้หนึ่งสี่สิบแล้ว คงมิอาจให้ทั่นฮวาที่ใบหน้ายับยู่ยี่ไปเด็ดบุปผาได้กระมัง” นางเจี่ยงเอ่ยอย่างจนใจแต่ก็แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ นางปิดปากหัวเราะออกมา “สุดท้ายจึงต้องให้ญาติผู้น้องของเจ้าเสียสละแล้ว”  

 

 

และเพราะวาจานี้ของเจาเฟิงตี้ที่แพร่ออกไปทำให้เจี่ยงเฉินเป็นที่พูดถึงของคนในเมืองหลวงมากที่สุดยิ่งกว่าจ้วงหยวนคนใหม่เสียอีก  

 

 

“เช่นนั้นเกรงว่าต่อไปธรณีประตูจวนปั๋วคงได้ถูกแม่สื่อเหยียบนผุพังแน่” เจินหนิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  

 

 

นางเจี่ยงเม้มริมฝีปากผลิยิ้ม “ท่านลุงกับป้าสะใภ้เจ้าไหว้วานให้ข้าเป็นคนจัดการหาคู่หมายแทนพวกเขาด้วย”  

 

 

สมญานามของเจี่ยงเฉินในหนานไหวคือเด็กน้อยเทวดา ตั้งแต่ที่เขาเข้าเมืองหลวงมาเมื่อสามปีก่อนเพื่อมุ่งมั่นเข้าร่วมการสอบครั้งใหญ่นี้ เรื่องการหมั้นหมายของเขาย่อมต้องจัดการหลังจากการสอบทั้งหมดผ่านไปแล้วเป็นธรรมดา  

 

 

คุณชายธรรมดาๆ จากตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งกับคุณชายมีชาติตระกูลที่สอบได้เป็นทั่นฮวา ศักดิ์ศรีที่มีนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  

 

 

“ด้วยชื่อเสียงของญาติผู้น้องเจ้าในยามนี้ แม่ขอพูดอย่างไม่ถ่อมตนเลยว่าเขาจะเป็นราชบุตรเขยยังได้เลย”  

 

 

ทั่นฮวาที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีนั้น เกรงว่าแม้ผ่านไปหลายสิบปีก็ยังไม่มีให้เห็นแม้เพียงคน  

 

 

“ท่านแม่!” เจินหนิงใช้สายตาตำหนิมารดาด้วยความจนใจ “องค์หญิงนั้นเป็นผู้ใด ตระกูลเช่นเราไหนเลยจะอาจเอื้อมได้”  

 

 

มารดาของนางนั้นดีทุกอย่าง เพียงแต่ใส่ใจกับตระกูลมารดาที่อยู่หนานไหวมากเกินไปเท่านั้น ทั้งที่เป็นคนสุขุมรอบคอบมาตลอด แต่กลับเอ่ยวาจาเลอะเลือนเช่นนี้ออกมาได้  

 

 

ทั้งยามนี้องค์หญิงที่มีพระชนมายุเหมาะสมนั้นมีเพียงองค์หญิงฟางโหรว นางเป็นสะใภ้ใหญ่ของจั่งกงจู่จึงเคยได้พบองค์หญิงพระองค์นั้นอยู่หลายครั้ง หากญาติผู้น้องได้เป็นราชบุตรเขยจริงเกรงว่าคงจะทุกข์มากกว่าสุขเป็นแน่  

 

 

แน่นอนว่าวาจานี้ เจินหนิงย่อมมิอาจเอ่ยออกไปอย่างโจ่งแจ้งได้ จึงเพียงบอกใบ้แฝงความนัยกับนางเจี่ยงเท่านั้น  

 

 

ความจริงนางเจี่ยงแค่เพียงดีใจเกินไปเท่านั้น หากได้เป็นราชบุตรเขยจริงๆ เกรงว่านางคงต้องกลุ้มใจมากเป็นแน่ เมื่อได้ยินเจินหนิงเอ่ยเช่นนั้นก็พลันมีสติคืนมา จึงหันไปพูดกับเจินเมี่ยวว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ พวกเจ้าเป็นฮูหยินอายุยังน้อยได้ใกล้ชิดกับคุณหนูน้อยมากมาย หากมีคนดีๆ เจ้าช่วยป้าสะใภ้ใหญ่ดูหน่อยเถิด”  

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มพลางรับคำ  

 

 

เจินหนิงได้ยินแล้วกลับนึกขึ้นมาได้ว่าฉงสี่เซี่ยนจู่น้องสาว สามีนางยังมิทันได้ออกเรือน หากสามารถเกี่ยวดองกับญาติผู้น้องของนางได้ ไม่เพียงเป็นคู่ที่เหมาะสมแต่ยังทำให้ฐานะของนางในตระกูลสามีสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง  

 

 

“ท่านอา หลานขอคารวะท่านสักจอกขอรับ” ไม่ทราบว่าเจี่ยงเฉินเดินมาถึงตั้งแต่เมื่อใด แก้มสองข้างนั้นแดงเรื่อเล็กน้อย คล้ายเมามากแล้ว แต่แววตากลับยังคงกระจ่างใสยิ่ง  

 

 

นางเจี่ยงดื่มสุราในจอกจนหมดแล้วเอ่ยกำชับว่า “ดื่มให้น้อยหน่อยจะดีกว่า ประเดี๋ยวสุขภาพจะแย่เอา”  

 

 

เจี่ยงเฉินพยักหน้าเอ่ยรับคำ แล้วหันไปยกสุราคารวะเจินหนิง ค่อยหันมองเจินเมี่ยว “ญาติผู้น้อง ดื่มสุราจอกนี้เพื่อพี่ชายได้หรือไม่”  

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้น “พี่เจี่ยง ยินดีด้วยเจ้าค่ะ”  

 

 

นางยิ้มเต็มหน้า น้ำเสียงจริงใจ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดเจี่ยงเฉินจึงรู้สึกว่าสุราที่ไหลลงคอไปนั้นทั้งขมทั้งฝาด  

 

 

เขารีบหลุบม่านตาลงอย่างรวดเร็วเพื่อปิดบังอารมณ์ตน มุมปากห้อยแขวนด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจญาติผู้น้องยิ่งแล้ว”  

 

 

เขาจึงหันไปคารวะสุรารอบวงแล้วคอ่ยกลับไปที่ห้องรับรองแขกด้านหน้า  

 

 

เมิ่งเหยียนเหนียนสามีของเจินเหยียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “กำลังหาเจ้าอยู่พอดี ที่แท้ก็วิ่งเข้าไปด้านในนั่นเอง”  

 

 

หลัวเทียนเฉิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักถึงกับหูผึ่งทันที   

 

 

เขาเข้าไปด้านในทำอันใด คงมิได้ฉวยโอกาสนี้เพื่อไปพบภรรยาเขากระมัง  

 

 

“ไปยกสุราคารวะบรรดาท่านอาหญิงขอรับ” เจี่ยงเฉินผลิยิ้มอบอุ่น  

 

 

เมิ่งเหยียนเหนียนเลิกคิ้วขึ้น “ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะคอแข็ง คิดว่าอีกไม่นานหากต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่อื่น เราคงมิต้องช่วยขวางจอกสุราให้เจ้าแล้วกระมัง”  

 

 

เจี่ยงเฉินยิ้ม “น้องชายดื่มสุราไม่เก่งจริงๆ ตอนนี้ใกล้จะเมาแล้วขอรับ หากมีวันนั้นจริงๆ ยังคงต้องขอให้พี่ชายทั้งหลายคอยช่วยดูแลแล้วขอรับ”  

 

 

ครั้นหลัวเทียนเฉิงได้ยินเจี่ยงเฉินพูดว่าใกล้จะเมาแล้ว ก็หยักยกมุมปากขึ้นพลางถือถ้วยสุราเดินเข้ามา “ทั่นฮวาหลัง ข้าขอคารวะเจ้าสักจอกเถิด”  

 

 

สายตาเจี่ยงเฉินร่วงตกลงไปบนมือของหลัวเทียนเฉิงแล้วกะพริบตาปริบๆ  

 

 

เขาดื่มจนเมาแล้วจริงๆ ตาถึงได้ลายจนเห็นจอกสุรากลายเป็นถ้วยข้าว  

 

 

หลัวเทียนเฉิงยกถ้วยสุราอีกถ้วยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย แล้วส่งมันให้เจี่ยงเฉิน “มา เรามาดื่มจอกนี้ให้หมดเถิด”  

 

 

เจี่ยงเฉินได้ยินคำว่า ‘จอก’ แล้วลอบคิดว่าตนคงตาลายไปจริงๆ แต่เขาไม่ยอมแสดงความอ่อนแอต่อหน้าหลัวเทียนเฉิงโดยเด็ดขาดจึงยื่นมือออกไปรับมาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สุราจอกนี้หนักไม่น้อยเลย”  

 

 

เมิ่งเหยียนเหนียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นในใจว่าถ้วยใหญ่เพียงนี้ย่อมต้องหนักแน่นอน เจี่ยงเฉินช่างคอแข็งจริงๆ ยกสุราคารวะหมดรอบวงแล้วยังดื่มสุราถ้วยใหญ่นี้ได้อีก  

 

 

เจินฮ่วนจึงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “น้องเฉิน…”  

 

 

หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองเขาคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่ก็อยากยกสุรายินดีเหมือนกันหรือ เช่นนั้นต้องต่อแถวหลังข้าแล้ว”  

 

 

เขาเงยหน้ายกสุราขึ้นดื่มจนหมด แล้วยื่นก้นถ้วยเกลี้ยงสะอาดให้เจี่ยงเฉินดู  

 

 

เจี่ยงเฉินดื่มสุราไปมากแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยกถ้วยขึ้นดื่มด้วยอาการมึนงง  

 

 

“ดื่มเก่งยิ่ง” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยชม  

 

 

“ซื่อจื่อชมเกินไปแล้ว…” เจี่ยงเฉินเผยรอยยิ้มออกมา มือกลับอ่อนจนถ้วยสุราร่วงตก ส่วนคนก็เซถลาไปอีกด้าน เจินฮ่วนจึงรีบเข้าไปประคองไว้  

 

 

เมื่อเห็นว่าถ้วยสุรากำลังจะร่วงตกพื้น หลัวเทียนเฉิงก็ยื่นเท้าออกไป เขาขยับปลายเท้าเล็กน้อยถ้วยสุรานั้นก็กลับเข้ามาอยู่ในมือเช่นเดิม ครั้นเห็นเจี่ยงเฉินหลับตาปี๋จึงเอ่ยว่า “ดูท่าเขาคงดื่มมากเกินไปแล้ว”  

 

 

เจินฮ่วนบิดเบ้มุมปากคราหนึ่งพลางเอ่ยในใจว่าเจ้าเพิ่งจะดูออกหรือ!  

 

 

“ข้าจะประคองน้องเฉินกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน”  

 

 

เมื่อเห็นแผ่นหลังของคนทั้งสองค่อยๆ เดินห่างออกไป เมิ่งเหยียนเหนียนก็ได้แต่ลูบคางตนพลางเอ่ยในใจว่า ทั่นฮวาผู้นี้ช่างมีความพยายามจริงๆ  

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกโล่งโปร่งสบายขึ้นมาทันตา ครั้นคิดจะจากไปกลับมีคนผู้หนึ่งตบบ่าเขาเสียก่อน  

 

 

“ท่านอ๋อง?”  

 

 

อานจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “หลัวซื่อจื่อ ข้าตามหาเจ้าเสียนานเลย”  

 

 

เดิมหลัวเทียนเฉิงก็มิได้รู้สึกอันใดกับอานจวิ้นอ๋องสักนิด ทว่าตั้งแต่ทราบว่าเขาคบหากับจวินเฮ่า ความรู้สึกดีๆ อันใดก็ดำดิ่งประหนึ่งกระโดดลงน้ำทีเดียว  

 

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เดิมงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้จวนเจี้ยนอานปั๋วก็มิได้ส่งเทียบเชิญให้อานจวิ้นอ๋องเลย แต่เขากลับมาทั้งยังพยายามบอกว่าตนเป็นญาติกับจยาหมิงเซี่ยนจู่ ครั้นหลัวเทียนเฉิงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา  

 

 

“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องดื่มสุรา”  

 

 

หลัวเทียนเฉิงยื่นถ้วยที่ตนเพิ่งใช้ปลายเท้ากระดกขึ้นมาส่งให้อานจวิ้นอ๋อง “ท่านอ๋องเป็นผู้มีอารมณ์เบิกบาน เช่นนั้นเรามาดื่มให้สนุกสนานกันไปเลย”  

 

 

อานจวิ้นอ๋องอึ้งงันไปก่อนแล้วจึงพยักหน้าตาม “มาดื่มให้สนุกสนานกันไปเลย!”  

 

 

เขากวาดตามองครู่หนึ่งแล้วหันไปเอ่ยกับเมิ่งเหยียนเหนียนว่า “รินสุราให้ข้ากับหลัวซื่อจื่อเต็มถ้วยนี้!”  

 

 

เมิ่งเหยียนเหนียนยกกาสุราขึ้นแต่กลับเกิดลังเลขึ้นมา  

 

 

ถ้วยนั้นเพิ่งสัมผัสกับรองเท้าของหลัวซื่อจื่อมา หลัวซื่อจื่อลืมแล้วหรือ  

 

 

“น้องชายผู้นี้เป็นคนตระกูลใด ไยชักช้าอืดอาดเช่นนี้ วางใจเถิด ข้ามิได้ให้เจ้าดื่มแน่นอน!” อานจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างมิใคร่พอใจนัก  

 

 

เมิ่งเหยียนเหนียนลอบแค่นยิ้ม แล้วรีบรินสุราให้อานจวิ้นอ๋องจนเต็มถ้วย พลางเอ่ยในใจว่าไม่ว่าหลัวซื่อจื่อจะลืมหรือไม่ แต่เขานั้นลืมไปแล้ว!  

 

 

หลัวเทียนเฉิงกับอานจวิ้นอ๋องชนถ้วยสุรากัน เมื่อเห็นเขาเงยหน้ายกสุราขึ้นดื่มก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันทีจึงยกสุราขึ้นดื่มจนหมดด้วยรอยยิ้มตาหยี  

 

 

ส่วนเจินฮ่วนเมื่อประคองเจี่ยงเฉินเข้าไปในห้องแล้ว ก็เรียกบ่าวรับใช้ให้ไปยกน้ำแกงสร่างเมามาให้เขาดื่ม  

 

 

เจี่ยงเฉินดื่มเสร็จก็กุมท้องตน ค่อยๆ ย่อกายลงนั่งโดยไม่เอ่ยอันใดอยู่ครู่ใหญ่  

 

 

เจินฮ่วนเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจว่า “ในเมื่อดื่มมากมิได้ เหตุใดต้องฝืนเล่า”  

 

 

เจี่ยงเฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “งานเลี้ยงฉลองวันนี้ข้าไม่มีเหตุผลใดที่จะบ่ายเบี่ยงได้เลย”  

 

 

“น้องเฉิน เจ้าช่างซื่อนัก ข้าเริ่มห่วงเจ้าแล้วว่าหากถึงงานมงคลเจ้า เจ้าจะเมาจนมีสภาพเช่นใดกัน”  

 

 

“งานมงคล? วันนี้ก็มิใช่งานมงคลของข้าหรอกหรือ” เจี่ยงเฉินเวียนหัวขึ้นมา แล้วเอ่ยถามไปอย่างงุนงง  

 

 

เจินฮ่วนยิ้มออกมา “ข้าหมายถึงวันที่เจ้าแต่งภรรยาต่างหากเล่า”  

 

 

“แต่งภรรยา?” เจี่ยงเฉินสลัดศีรษะเรียกสติตน “ข้าไม่อยากแต่งงาน”  

 

 

เจินฮ่วนเพียงคิดว่าเป็นคำพูดของคนเท่านั้น จึงเอ่ยอย่างขบขันว่า “น้องเฉินเจ้าอายุไม่น้อยแล้ว ทั้งยังเป็นทั่นฮวาหลัง จะไม่แต่งงานได้อย่างไร”  

 

 

“แต่…” เจี่ยงเฉินเมามายไม่น้อย จึงเอ่ยวาจาติดๆ ขัดๆ “แต่ข้าไม่อยากแต่งงาน…”  

 

 

“เพราะเหตุใด”  

 

 

เจี่ยงเฉินเงยหน้าขึ้น ดวงตาพร่ามัว “เพราะ…ข้ามีคนที่ชอบแล้ว…”  

 

 

เขาชำเลืองมองเจินฮ่วนเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด “เป็นแม่นางผู้หนึ่ง…”  

 

 

เจินฮ่วนอดยิ้มออกมามิได้ เขาเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว “ข้ารู้ว่าต้องเป็นสตรีอยู่แล้ว น้องเฉิน บอกพี่ชายมาเถิด คนที่เจ้าชอบคือผู้ใดหรือ”  

 

 

หากเป็นไปได้เขายินดีที่จะช่วย…ช่วยให้พวกเขาได้สมปรารถนา  

 

 

“นาง…” เจี่ยงเฉินส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ ข้าพูดไม่ได้”  

 

 

“เหตุใดจึงพูดไม่ได้เล่า เจ้าไม่พูด ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไร”  

 

 

เจี่ยงเฉินขยี้ตาตน แล้วเอ่ยถามอย่างโง่งมว่า “เหตุใดต้องให้ผู้อื่นรู้ด้วยเล่า”  

 

 

“ไม่รู้ แล้วจะไปทาบทามสู่ขอให้ได้อย่างไรเล่า น้องเฉิน ต่อไปคนที่จะมาเอ่ยทาบทามเจ้าเกรงว่าจะมากเสียจนธรณีประตูพังทีเดียว หากเจ้าไม่กล้าพูด วาสนานี้คงได้หลุดลอยไปแน่”  

 

 

เจี่ยงเฉินส่ายหน้าไม่หยุด “มิอาจไปทาบทามสู่ขอได้”  

 

 

เจินฮ่วนไม่พอใจที่เขามิได้ดั่งใจเลย “น้องเฉิน ด้วยสถานะของเจ้าในตอนนี้ สตรีสูงศักดิ์หรือคุณหนูตระกูลใหญ่ที่คิดจะปฏิเสธเจ้าเกรงว่าคงมีไม่มากนัก ในเมื่อมีใจก็ต้องลองสักครา มิเช่นนั้นจะกอดความเสียใจไปชั่วชีวิตหรือ”  

 

 

เจี่ยงเฉินเอียงคอครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วถามว่า “นางแต่งงานแล้ว ข้ายังทำอันใดงั้นหรือ”  

 

 

“แน่นอนว่า…” เจินฮ่วนพลันมีสติขึ้นมาทันใดแล้วสูดปากทันที “ไม่ได้เด็ดขาด!”  

 

 

เขาเริ่มจริงจังขึ้นมา “น้องเฉิน เจ้าล้อเล่นใช่หรือไม่”  

 

 

“ข้ามิได้ล้อเล่น พี่ฮ่วน ความจริงท่านเองก็รู้จัก…”  

 

 

เจินฮ่วนถอยหลังไปทันที แล้วรีบเอ่ยว่า “น้องเฉินเจ้าดื่มมากแล้ว พักผ่อนเถิด ข้าไปบอกคนที่เรือนหน้าก่อนแล้ว”  

 

 

พูดจบเขาก็วิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมาเลย ทิ้งไว้เพียงเจี่ยงเฉินที่พูดพึมพำอยู่คนเดียวว่า “แต่ข้าไม่มีทางบอกท่านหรอกว่านางคือใคร ข้าต้องพยายามลืมนางให้ได้…”  

 

 

หลังจากเจินฮ่วนวิ่งออกไปให้ลมโกรกครู่หนึ่งแล้วแต่ก็ยังตกใจอยู่ไม่น้อย  

 

 

คนที่น้องเฉินชอบแต่งงานแล้วทั้งตนยังรู้จักอีก…  

 

 

ช่วยด้วย สตรีที่เขารู้จักนั้นมีน้อยมา หากมิใช่พี่สาวน้องสาวก็เป็นญาติของเขา ทำอย่างไรดี  

 

 

เจินฮ่วนไม่กล้าคิดต่อขึ้นมาทันที  

 

 

เดือนสี่นั้นเป็นช่วงเวลาที่ร้อนเป็นพิเศษ และเป็นเวลาที่วังจั่งกงจู่จัดงานชมดอกหลีขึ้นในทุกๆ ปี  

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวได้รับเทียบเชิญก็คิดปฏิเสธ “มีแต่คุณหนูน้อยทั้งสิ้น ทั้งอาสะใภ้รองก็ป่วยอยู่…”  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเอ่ยว่า “เพราะอาสะใภ้รองเจ้าป่วยหนัก เจ้าจึงควรไปร่วมงานสักหน่อย”  

 

 

“หืม?”  

 

 

“ไปดูแทนย่าหน่อยว่ามีคุณหนูน้อยคนใดเหมาะสมกับน้องรองเจ้าหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางทอดถอนใจ “มิต้องมีชาติตระกูลหรือฐานะสูงส่งอันใด ขอเพียงอุปนิสัยดี สุภาพเรียบร้อยก็พอ รีบฉวยโอกาสตอนนี้อาสะใภ้รองเจ้ายังมีชีวิตอยู่ รีบจัดการเรื่องหมั้นหมายเสีย เขาเองก็จะได้ตัดใจด้วย”  

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยในใจว่านางอย่าได้ทำบาปทำกรรมจะดีกว่า คุณชายรองที่เน่าเฟะไปยันรากแก้วนั้นไร้ทางช่วยเหลือแล้ว ผู้ใดแต่งกับเขาล้วนเคราะห์ร้ายทั้งสิ้น  

 

 

แต่ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากเช่นนี้ ทั้งยังจะได้พบหน้ากับฉงสี่เซี่ยนจู่อีก เจินเมี่ยวจึงรับปากด้วยความยินดี  

 

 

เมื่อไปถึงวังของจั่งกงจู่ สวนดอกหลีที่เห็นยังคงมีต้นไม้หนาทึบบุปผางดงามเต็มไปด้วยบรรยากาศของยามวสันต์อันสวยสด ครั้นเจินเมี่ยวพูดคุยทักทายกับบรรดาฮูหยินทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็พานางออกไปเดินเล่น  

 

 

คุณหนูน้อยทั้งหลายที่เดินแหวกกิ่งก้านบุปผามาด้วยกันเป็นกลุ่มๆ นั้น เมื่อเดินจนเหนื่อยแล้วก็นั่งพักสนทนากันที่ม้านั่งใต้ต้นไม้  

 

 

“ได้ยินหรือไม่ วันนี้คุณชายฉินก็มาด้วย ถึงตอนนั้นต้องดีดพิณสักบทเพลงแน่”  

 

 

ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน แต่บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาโดยพลัน  

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยถามฉงสี่เซี่ยนจู่ว่า “คุณชายฉินเป็นเทพบุตรมาจากที่ใด ฟังดูคล้ายจะมีชื่อเสียงมากยิ่งกระนั้น”  

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจูกลอกตาให้นางคราหนึ่ง “ระยะนี้เจ้าทำอันใดอยู่หรือจึงไม่เคยได้ยินกระทั่งชื่อของคุณชายฉิน”  

 

 

 

 

 

——  

 

 

 

 

 

[1] จ้วงหยวน  เป็นชื่อเรียกบัณฑิตที่สอบได้อันดับหนึ่งของการสอบเค่อจวี่หรือชุนเหวย (การสอบคัดเลือกขุนนาง) อันดับสองคือปั๋งเหยี่ยน อันดับสามคือทั่นฮวา  

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset