วาสนาบันดาลรัก 322 พระราชนัดดาตัวปลอม

ตอนที่ 322 พระราชนัดดาตัวปลอม

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคิดว่าไท่จื่อเฟยเจตนาใช้พระราชนัดดามากลั่นแกล้งเจ้าหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า “ข้ารู้ว่าคิดเช่นนี้นั้นมันดูเหลวไหลยิ่ง จะมีมารดาคนใดที่จะใช้ชีวิตของบุตรตนมากลั่นแกล้งผู้อื่น โดยเฉพาะคนในเชื้อพระวงศ์ บุตรชายนั้นมีความสำคัญต่อสตรียิ่งจนมิต้องพูดอันใดให้มากความ ดังนั้นจึงมิอาจพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้อื่นได้ มิเช่นนั้นคนคงคิดว่าข้าสติไม่ดี แต่ข้าค่อนข้างเชื่อในความรู้สึกของตนเอง จิ่นหมิง ท่านคงไม่คิดว่าข้าคิดเหลวไหลไปเองกระมัง”

 

 

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปลูบผมเจินเมี่ยว เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วค่อยเอ่ยขึ้นว่า “บางที ความรู้สึกของเจ้าอาจจะถูกก็ได้”

 

 

เขามองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากพระราชนัดดาผู้นี้มิใช่พระราชนัดดาเล่า”

 

 

เจินเมี่ยวตกตะลึงไปใหญ่ “ท่านหมายความว่าพระราชนัดดาผู้นี้เป็นตัวปลอมงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้กระมัง ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยเห็นเขามาแล้ว อีกอย่าง ตอนนั้นอ๋องทั้งสามพระองค์ก็อยู่ด้วย หากเป็นตัวปลอมก็จะดูไม่ออกเลยหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าปิดบังแววตาเย็นชาของตนไว้ “พระราชนัดดาเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ต่อให้จะมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งแต่ในสถานการณ์เช่นนั้นจะมีผู้ใดไปใส่ใจสังเกต เมื่อเป็นเช่นนี้ขอเพียงเด็กน้อยผู้นั้นมีความคล้ายพระราชนัดดาสักเจ็ดแปดส่วนก็สามารถหลอกตาผู้คนได้แล้ว”

 

 

การเลี้ยงเด็กเพื่อไว้ใช้เป็นตัวตายตัวแทนของบุคคลที่มีฐานันดรสูงศักดิ์เหล่านั้นมิใช่เรื่องพบเห็นได้ยากอันใด หากซูหันผู้เป็นพ่อตาของไท่จื่อจะปิดหน้าต่างก่อนฝนพรำด้วยการเลี้ยงดูเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายพระราชนัดดาไว้ก็มิใช่เรื่องแปลกสักนิด

 

 

ชาติก่อนหลังจากที่ไท่จื่อถูกปลดจากตำแหน่ง พระราชนัดดาก็สิ้นในเวลาต่อมาจึงมิได้มีคลื่นลมแห่งความวุ่นวายใดเกิดขึ้น หากเขาเดาไม่ผิดก็น่าจะลอบสับเปลี่ยนพระราชนัดดาตัวจริงออกไปจากวังเงียบๆ ปล่อยให้ได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาต่อไป

 

 

หากชาตินี้จะให้เขาทำตามแผนการเดิมก็มิเป็นอันใด เพราะอย่างไรบุตรชายของรัชทายาทที่ถูกปลดนั้นก็มิสามารถก่อคลื่นลมใดได้อยู่แล้ว แต่ไท่จื่อเฟยกลับทำเรื่องที่หมื่นไม่ควรพันไม่ควรลงไปด้วยการดึงเจี๋ยวเจี่ยวไปเกี่ยวข้อง ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีมนุษยธรรมก็อย่าตำหนิว่าเขาไร้น้ำใจเลย

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงลอบส่งคนไปสืบความจริง ส่วนไท่จื่อเฟยกลับไปทูลฟ้องไท่โฮ่วถึงตำหนัก

 

 

ในวันที่ไท่จื่อก่อกบฏก็ได้ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปควบคุมตัวไท่โฮ่วแต่ยังมิทันสำเร็จก็ถูกคนของหลัวเทียนเฉิงสกัดไว้ก่อน เจาเฟิงตี้ห่วงว่าหากไท่โฮ่วทราบเรื่องจะทรงเสียพระทัยจนประชวรจึงปิดบังเรื่องนี้ไว้

 

 

ไท่โฮ่วได้ฟังวาจาเอ่ยฟ้องทั้งน้ำตาของไท่จื่อเฟยแล้วก็โกรธกริ้วอย่างยิ่ง “ขันที จงไปแจ้งแก่เจียหมิงเซี่ยนจู่ให้นางเข้าวังมาตอนนี้เลย”

 

 

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ไท่โฮ่วก็ได้เห็นเจินเมี่ยวก็มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตน ไท่โฮ่วมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่ง กระทั่งผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถิด”

 

 

“ขอบพระทัยไท่โฮ่ว” เจินเมี่ยวฝืนตัวยืนขึ้นด้วยความปวดและชาหนึบที่บริเวณหัวเข่าตน

 

 

“เจียหมิง เรื่องที่เกิดขึ้นในวันก่อนไท่จื่อเฟยเล่าให้ข้าฟังแล้ว เจ้าเป็นถึงเซี่ยนจู่เหตุใดจึงกระทำการบุ่มบ่ามเช่นนั้นเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้รุ่ยเกอกำลังไม่สบาย!”

 

 

ไท่จื่อเฟยที่นั่งถัดลงมาจากไท่โฮ่วค่อยๆ ยกมุมปากตนขึ้นแค่นยิ้มเย็นอยู่เงียบๆ

 

 

หลังจากที่นางกลับวังมาก็ตั้งใจทิ้งเวลาไว้สักสองวัน รอกระทั่งเด็กน้อยเริ่มตัวร้อนจึงมาร้องห่มร้องไห้กับไท่โฮ่ว เมื่อไท่โฮ่วได้ยินว่าพระราชนัดดามีไข้สูงเพราะตกน้ำก็โกรธกริ้วขึ้นมาทันใด

 

 

ครานี้นางอยากจะรู้เช่นกันว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่จะสลัดหลุดจากเรื่องนี้อย่างไร!

 

 

การใช้ชีวิตของเด็กน้อยที่อย่างไรก็ต้องตายมาแลกกับความเกลียดชังของไท่โฮ่วที่มีต่อเจียหมิงเซี่ยนจู่นั้นทำได้จริงๆ

 

 

เจินเมี่ยวย่อกายถวายพระพรแล้วเอ่ยว่า “ไท่โฮ่ว เกิดเรื่องเช่นนั้นกับพระราชนัดดา หม่อมฉันก็เสียใจเช่นกันจึงได้ส่งของบำรุงไปภายในวันนั้นทันที แต่น่าเสียดายที่ไท่จื่อเฟยกลับปฏิเสธที่จะรับไว้”

 

 

“พระราชนัดดาตกน้ำเพราะเจ้า ของที่เจ้าส่งมาให้ข้าไหนเลยจะกล้ารับ!”

 

 

เจินเมี่ยวมองไท่จื่อเฟยคราหนึ่งก็ยิ้มออกมาโดยพลัน “ไท่จื่อเฟยเอ่ยเช่นนี้ก็มิถูก ของบำรุงที่หม่อมฉันส่งไปนั้นเป็นน้ำใจเท่านั้น หากบอกว่าการตกน้ำของพระราชนัดดาเกี่ยวกับหม่อมฉัน ความผิดนี้หม่อมฉันคงมิอาจรับไว้ได้!”

 

 

“เสด็จย่า พระองค์ดูเอาเถิด ถึงตอนนี้แล้วเจียหมิงเซี่ยนจู่ยังคงเฉไฉอยู่อีก!”

 

 

ไท่โฮ่วมีสีหน้านิ่งดุจสายน้ำ นางยกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง “นำคนเข้ามาให้หมด”

 

 

หลังจากนั้นเพียงครู่ จังเฉาฮวาและบรรดาบ่าวไพร่ของพระราชนัดดาที่คอยรับใช้ในวันนั้นก็เดินเรียงกันเป็นแถวเข้ามา

 

 

“นางจัง เจ้าพูดก่อน”

 

 

จังเฉาหวาคุกเข่าลงด้วยจิตใจอันหวาดหวั่น

 

 

“นางจัง เจ้าแค่เล่าเรื่องที่เห็นทั้งหมดในวันนั้นออกมาให้หมดก็พอ…มิต้องกลัว” ไท่โฮ่วเห็นนางดูเคร่งเครียดจึงเอ่ยเสริมสำทับอีกคำหนึ่ง

 

 

จังเฉาหวาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “วันนั้น หม่อมฉันเดินตามหลังเจียหมิงเซี่ยนจู่ไป พระราชนัดดาวิ่งมาจากอีกฝั่งของสะพาน กระทั่งมาหยุดตรงหน้าเจียหมิงเซี่ยนจู่จึงตกลงไปในน้ำเพคะ”

 

 

“เช่นนั้นเขาถูกเจียหมิงเซี่ยนจู่ชนตกน้ำจริงหรือไม่เล่า”

 

 

จังเฉาหวาคิดครู่หนึ่งจึงพยักหน้ายืนยันว่า “เพคะ”

 

 

ความจริงเรื่องมาถึงตอนนี้นางเองก็จำเรื่องราวในวันนั้นไม่ค่อยได้แล้วว่าเป็นเช่นไร เหมือนจะเห็นเจียหมิงเซี่ยนจู่ชนพระราชนัดดา แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนอีกทีกลับมิกล้ายืนยัน ทว่านางเคยพูดไปกับคนหลายคนแล้วว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่ชนพระราชนัดดาตกน้ำ แล้วจะกลับคำได้อย่างไรเล่า

 

 

“พวกเจ้าเล่า?” ไท่โฮ่วกวาดตามองบรรดาบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยท่าทีงามสง่าทั้งดุดัน

 

 

คนเหล่านั้นย่อมตอบรับอย่างพร้อมเพรียงเป็นธรรมดา

 

 

ไท่โฮ่วมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “เจียหมิงเจ้าชนรุ่ยเกอตกน้ำ แต่ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับ ช่างเป็นพฤติกรรมที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระบรมวงศานุวงศ์จริงๆ บรรดาศักดิ์เซี่ยนจู่ของเจ้าฝ่าบาทเป็นผู้ประทานให้ ข้าจึงมิอาจไม่ยอมรับ แต่การกระทำผิดครั้งนี้หากลงโทษสถานเบา เกรงว่าภายหน้าเจ้าจะยิ่งทำเรื่องที่เสื่อมเสียต่อพระบรมวงศานุวงศ์หนักหนามากขึ้นกว่าเดิม เช่นนี้เถิด ข้าจะให้เจ้าไปบำเพ็ญตนที่วัดต้าฝูครึ่งปีเพื่อขอพรให้รุ่ยเกอ”

 

 

ไท่จื่อเฟยเกือบจะหลุดหัวเราะร่าออกมาจึงได้แต่มองเจินเมี่ยวด้วยความเบิกบานอย่างหาใดเปรียบ

 

 

“เจียหมิง เจ้ายอมรับหรือไม่” ไท่โฮ่วเอ่ยเป็นมารยาทแต่สายตาคู่นั้นกลับจ้องเจินเมี่ยวเขม็ง

 

 

เจินเมี่ยวจัดระเบียบเสื้อผ้าตนแล้วคุกเข่าลงเอ่ยเสียงแจ่มชัดว่า “ไท่โฮ่วทรงพระเมตตานัก การ

 

 

ลงโทษเช่นนี้ต่อคนที่ทำให้พระราชนัดดาตกน้ำนั้นนับว่าเบายิ่ง แต่หม่อมฉันยังมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งเพคะ”

 

 

“ว่ามา” ไท่โฮ่วเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

หากถึงตอนนี้แล้วนางยังไม่ยอมรับผิด เช่นนั้นก็อย่าตำหนิว่านางไม่ไว้หน้าแล้วกัน

 

 

เจินเมี่ยวเองก็ไม่คิดจะดึงดันเรื่องนี้อีก นางเพียงเงยหน้าขึ้นกวาดตามองบ่าวไพร่ทั้งหลายเหล่านั้นคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วันนั้นพระราชนัดดาวิ่งขึ้นมาบนสะพานเพียงคนเดียว ว่าไปแล้วก็ย่อมเป็นเพราะบ่าวไพร่เหล่านั้นดูแลไม่รัดกุม ไม่ทราบว่าไท่โฮ่วจะทรงจัดการพวกนางเช่นไรหรือเพคะ”

 

 

หากมิทำนางก่อน นางก็มิทำผู้อื่นเช่นกัน ในเมื่อรับคำสั่งจากไท่จื่อเฟยมาให้เป็นพยานเท็จก็ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนให้นางเช่นกัน

 

 

ครั้นวาจานี้กล่าวออกไป ใบหน้าของคนเหล่านั้นก็ดำมืดดุจก้อนดินแล้วหันมองไท่จื่อเฟยด้วยความหวาดหวั่นลนลาน

 

 

สำหรับไท่โฮ่วแล้วบ่าวไพร่เหล่านี้ก็ไม่ต่างอันใดกับเศษธุลี ในเมื่อเจียหมิงเซี่ยนจู่ยอมรับผิด บ่าวไพร่พวกนั้นก็ย่อมมิอาจหลุดพ้นจากความผิดไปได้ นางจึงเอ่ยอย่างไม่คิดอันใดว่า “พระราชนัดดาไม่สบายอยู่ ไม่อาจเห็นโลหิตคาว เช่นนั้นก็ส่งคนพวกนี้ไปทำงานที่โรงซักผ้าแล้วกัน”

 

 

“ไท่โฮ่วทรงโปรดอภัยและละเว้นหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ!” คนเหล่านั้นรู้สึกดั่งฟ้าพลิกคว่ำ ต่างพากันก้มหน้าต่ำอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

ไม่ง่ายเลยกว่าที่พวกนางจะได้ไปอยู่ที่ตำหนักตงกงทั้งยังได้รับใช้พระราชนัดดา ไม่แน่ว่าภายหน้าอาจมีอนาคตอันสดใส แต่หากถูกส่งไปยังโรงซักผ้า พวกนางที่เคยชินกับชีวิตที่สุขสบายแล้วคงอยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็คงถูกทรมานจนตายแน่

 

 

เมื่อคนเหล่านั้นเห็นไท่โฮ่วแสดงสีหน้ารำคาญใจก็หันไปขอร้องไท่จื่อเฟยแทน

 

 

ไท่จือเฟยมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง

 

 

นางคิดไม่ถึงว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่จะกัดพวกบ่าวไพร่ไม่ปล่อยเช่นนี้ หากเจียหมิงไม่พูดออกมา ไท่โฮ่วที่อายุมากแล้วเช่นนี้จะนึกเรื่องนี้ออกได้อย่างไร ถึงตอนนั้นนางก็แค่ทำโทษให้ที่แจ้งตกรางวัลในที่ลับให้บ่าวไพร่รับใช้นางอย่างดีต่อไปก็สิ้นเรื่องแล้ว

 

 

แต่ยามนี้นางมิอาจขอร้องแทนพวกเขาได้ เมื่อเป็นบ่าว การดูแลนายนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่ง หากดูแลไม่ดี การลงโทษก็เป็นเรื่องที่สมควร

 

 

นางจึงทำได้เพียงส่งสายตาปลอบใจไปให้คนเหล่านั้น

 

 

ไม่นานคนเหล่านั้นก็ถูกลากออกไป

 

 

ไท่โฮ่วยกถ้วยชาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เจียหมิง เช่นนั้นเจ้ากลับไปเก็บของ พรุ่งนี้ค่อยไปแล้วกัน”

 

 

เจินเมี่ยวคุกเข่าอยู่ไม่ยอมลุกขึ้น “ไท่โฮ่วเพคะ วันนี้ฝ่าบาททรงเรียกให้ท่านพี่เข้าเฝ้า หม่อมฉันไม่มีสิ่งของใดมากนัก ประเดี๋ยวก็ให้ท่านพี่พาหม่อมฉันไปส่งที่วัดต้าฝูเลยได้หรือไม่เพคะ”

 

 

ไท่โฮ่วหนังตากระตุกขึ้นมาทันใด

 

 

นางเกือบจะลืมไปแล้วว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับหลัวเทียนเฉิงแตกต่างจากผู้อื่น เขาถูกกักบริเวณยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำก็เรียกตัวเข้าวังแล้วหรือ

 

 

ไม่ว่าอย่างไรไท่โฮ่วก็ย่อมต้องคำนึงถึงเจาเฟิงตี้เช่นกัน นางจึงพยักหน้ารับ

 

 

ในเวลานี้เองขันทีกลับร้องขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทเสด็จ…”

 

 

เจาเฟิงตี้เดินเข้ามาด้านใน ข้างหลังมีหลัวเทียนเฉิงติดตามมาด้วย สายตาของเขามองไปยังเจินเมี่ยวที่คุกเข่าอยู่แล้วเม้มริมฝีปากตน

 

 

เจินเมี่ยวสบเข้ากับสายตานั้นแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นการบอกว่านางไม่เป็นไร

 

 

“เหตุใดจึงไม่นอนพักผ่อนให้สบาย แต่กลับมาที่นี่เล่า?” ไท่โฮ่วเอ่ยตำหนิ

 

 

เจาเฟิงตี้ก็ไม่ใคร่จะขึ้นว่าราชการที่ท้องพระโรงแล้วมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ไท่โฮ่วจึงห่วงใยสุขภาพของเขาอย่างยิ่ง

 

 

“ได้ยินว่ารุ่ยเกอไม่สบายจึงมาเยี่ยมสักหน่อย”

 

 

เมื่อไท่โฮ่วได้ยินว่ารุ่ยเกอไม่สบายก็ย้ายเขาจากตำหนักตงกงมาที่นี่ แต่มิได้บอกเรื่องนี้กับเจาเฟิงตี้

 

 

นางจึงมองไท่จื่อเฟยคราหนึ่ง

 

 

การที่ไท่จื่อเฟยมาหานางที่นี่โดยมิไปรบกวนเจาเฟิงตี้นั้นทำให้นางค่อนข้างจะพอใจอยู่ แล้วเหตุใดเขาถึงมาที่นี่ได้เล่า หรือคิดว่านางลงโทษเจียหมิงเซี่ยนจู่ด้วยโทษสถานเบาเกินไป?

 

 

ว่าไปแล้วในสายตานางนั้นบรรดาศักดิ์เจียหมิงเซี่ยนจู่กลับมินับเป็นอันใดได้ แต่เพราะนางเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกง หากลงโทษหนักเกินไปคงไม่ดีนัก ไท่จื่อเฟยคงมิได้ไม่เข้าใจแม้แต่จุดนี้กระมัง

 

 

ไท่จื่อเฟยก็เคร่งเครียดเช่นกัน แม้ฝ่าบาทจะไม่มีทางรู้ฐานะที่แท้จริงของเด็กน้อยคนนั้น แต่อย่างไรก็เป็นจักรพรรดิของแผ่นดินนี้ ทั้งยังรังเกียจนางและบุตร หากเผลอแสดงพิรุธอันใดต่อหน้าไท่โฮ่วออกมาแม้เพียงน้อยนิด วันข้างนางของนางคงยิ่งยากลำบากแล้ว

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินว่าพระราชนัดดาตกน้ำ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับฮูหยินของกระหม่อม จึงอยากจะมาเยี่ยมอยู่โดยตลอด วันนี้กลับประจวบเหมาะยิ่ง ขอพระองค์ทรงเมตตาพวกเราสองสามีภรรยาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจาเฟิงตี้พยักหน้ารับคราหนึ่ง

 

 

จังเฉาหวานั้นถูกคนเชิญกลับจวนไปเสียนานแล้ว คนทั้งสี่จึงไปหารุ่ยเกอพร้อมกัน

 

 

เวลานี้รุ่ยเกอกำลังนอนหลับอยู่ เจาเฟิงตี้พิเคราะห์เด็กน้อยหน้าตาขาวซีดนั้นแล้วพลันแค่นยิ้มเย็นออกมา “เหตุใดเราจึงรู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้มิใช่รุ่ยเกอเล่า”

 

 

ไท่จื่อเฟยตกใจยิ่งนางถอยหลังไปสองก้าวในทันที

 

 

เจาเฟิงตี้มองไปที่นางแล้วถามว่า “ไท่จื่อเฟยเป็นอันใดไปหรือ”

 

 

ไท่จื่อเฟยพลันคุกเข่าลงทันใด นางข่มใจที่เต้นรัวเร็วนั้นแล้วฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “เสด็จพ่อทรงล้อเล่นเช่นนี้ ทำให้สะใภ้ตกใจยิ่งเพคะ”

 

 

ไท่โฮ่วมองไท่จื่อเฟยแล้วหันไปมองเจาเฟิงตี้ นางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “ฝ่าบาท มีอันใดหรือ”

 

 

ไท่โฮ่วอยู่ในวังมานานย่อมรับรู้ได้ถึงกลิ่นตุๆ อันไม่ธรรมดานี้ แต่วาจาที่เจาเฟิงตี้เอ่ยออกมานั้นออกจะประหลาดเกินไป ทำให้นางยากจะเข้าใจได้

 

 

เจาเฟิงตี้มองไท่จื่อเฟยที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ เขาถอนหายใจยาวออกมาแล้วหันไปเอ่ยกับขันทีข้างกายว่า “ไปพาพระราชนัดดามาเถิด”

 

 

ไท่จื่อเฟยพลันเงยหน้าขึ้นคล้ายได้ยินเรื่องอันน่าอัศจรรย์อันใดเทือกนั้น

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีก็เดินโค้งกายจูงเด็กชายอายุไม่ถึงสิบปีดีเข้ามาด้วย

 

 

เด็กชายผู้นั้นหน้าตาสดใส ใบหน้าแดงเรื่อ บริเวณคอมีสร้อยทองแปดอัญมณี เห็นชัดว่าเป็นรุ่ยเกออย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ไท่โฮ่วจ้องมองรุ่ยเกอที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมานั้นเขม็งแล้วหันไปมองรุ่ยเกอที่นอนอยู่บนเตียง พลันรู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา

 

 

นางกุมหน้าผากตนแล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “ไท่จื่อเฟย นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset