วาสนาบันดาลรัก 281 มิได้พบพานกันนานแล้ว

ตอนที่ 281 มิได้พบพานกันนานแล้ว

เจินจิ้งมีสีหน้าท่าทางดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก นางสวมเสื้อเอ่าลายกุหลาบกลีบม่วงแซมแทรกเบญจมาศ ท่อนล่างสวมกระโปรงหม่าเมี่ยนสีเทาเงินลายบุปผาโปรยปราย ผมมัดมวยหางม้าทั้งปักปิ่นทองระย้ารูปผีเสื้อห้าสีเพียงชิ้นเดียว

 

 

ร่างทั้งร่างนั้นดูเรียบง่ายแต่งามสง่าซึ่งปรากฏเป็นความงามชนิดหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว และเป็นความงามที่เข้ากับบุคลิกของเจินเมี่ยวอย่างที่สุด

 

 

เจินเมี่ยวชำเลืองมองด้วยท่าทีนิ่งเฉย เจินจิ้งในความทรงจำของนางเป็นคนเรียบง่ายที่มักเอาผมหน้าม้ามาบดบังความงามเฉิดฉายของตนอยู่เสมอผู้นั้น ในที่สุดก็เปิดเผยความงามสง่าเฉพาะตัวที่มีแต่นางเท่านั้นที่มีออกมาเสียที

 

 

ตามหลักแล้วแม้นเจินจิ้งจะเป็นคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋ว แต่เมื่อยอมไปเป็นอนุก็ไม่มีสิทธิ์และโอกาสที่จะได้กลับมาเยี่ยมบ้านในวันตรุษอีกแล้ว ทว่าเวลานี้กลับปรากฏกายขึ้นที่นี่ ทำให้อดแปลกใจมิได้

 

 

แม้นเจินเมี่ยวจะสงสัยแต่ต่อหน้าคนทั้งหลายเช่นนี้กลับมิอาจเอ่ยถามมากความได้ จึงเพียงพูดหยอกเย้ากับฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ เท่านั้น

 

 

เจินจิ้งเองก็ลอบพิจารณาเจินเมี่ยวเช่นกัน มิต้องพูดถึงการแต่งกายเลยแค่เห็นมุมปากที่หยักโค้ง ท่าทีเบิกบาน และใบหน้าที่ยังคงรอยยิ้มหวานล้ำดั่งดรุณีน้อยมิทันออกเรือนนั้นก็ยิ่งขับให้รูปโฉมที่งดงามมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเฉิดฉายเป็นพิเศษ

 

 

นางเห็นสายตาที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองเจินเมี่ยวซึ่งมีแต่ความเมตตาชิดใกล้ ช่างแตกต่างกับสายตาเกรงใจ ห่างเหินที่มีต่อนางยิ่ง

 

 

ส่วนอาสะใภ้รองสกุลหลี่ที่มิชมชอบเจินเมี่ยวเป็นที่สุด ยามนี้ใบหน้ากลับห้อยแขวนไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า คล้ายกลัวว่าผู้อื่นจะมองไม่เห็นท่าทีเอาใจนี้ของนางกระนั้น

 

 

และท่านแม่ที่เก่งกาจฉลาดล้ำมาแต่ไหนแต่ไรของนางนั้นยิ่งแสดงออกด้วยท่าทีอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติมากขึ้นไปอีกเลยเชียวล่ะ

 

 

เจินจิ้งกำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อตนแน่นจนเล็บจิกลงไปบนฝ่ามือ นางรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยแต่สีหน้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนห้อยแขวนอยู่ “ตั้งแต่จากกันที่เป่ยเหอก็มิได้พบน้องสี่อีกเลย นับวันน้องสี่ก็ยิ่งงดงามขึ้นเรื่อยๆ”

 

 

หลังจากเกิดเรื่องที่เหอเป่ย แม้นเจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิงจะกลับมาถึงจวนได้อย่างปลอดภัย แต่อย่างไรก็เกิดเรื่องอันไม่น่าอภิรมย์ขึ้นมากมาย ทั้งยังทำให้เกิดเรื่องขบขันที่ว่าคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเดินทางกลับมาพร้อมกับ ‘ศพ’ ของเขาอีกด้วย หากมิใช่เพราะมีเรื่ององค์รัชทายาทถวายไก่ฟ้า และเรื่องอันน่าพรั่นพรึงจนวิญญาณแทบออกจากร่างที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนหน้านี้แล้ว เกรงว่าเรื่องนี้ก็คงกลายเป็นความรื่นเริงของคนในเมืองหลวงไปอีกนาน

 

 

เดิมนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนพยายามที่จะทำให้มันเลือนหายไป แม้นวิธีเอ่ยถึงมันของเจินจิ้งจะแสนอ้อมค้อม ทว่าเจตนาก็เพื่อทำให้คนอึดอัด

 

 

แน่นอนว่าอีกด้านหนึ่งเจินจิ้งก็ต้องการอาศัยโอกาสนี้เตือนให้ทุกคนตระหนักถึงฐานะที่แตกต่างจากผู้อื่นของนาง

 

 

แม้นนางจะเป็นอนุ แต่องค์ชายหกกลับให้นางเดินทางไปเหอเป่ยด้วยแค่เพียงผู้เดียว ทั้งที่สตรีในตำหนักขององค์ชายหกมากมายเพียงนั้น ความโปรดปรานรักใคร่ที่มีย่อมมากมายจนมิอาจเทียบกันได้

 

 

ยิ่งตอนนี้นางมิเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หากนางคลอดออกมาเป็นบุตรชาย ตำแหน่งพระชายารองย่อมมิอาจหนีไปไหนได้

 

 

เจินจิ้งลูบท้องน้อยตนโดยไม่รู้ตัว

 

 

เจินเมี่ยวกลับมิได้เข้าใจใน ‘ความยากลำบาก’ ของเจินจิ้งเลย

 

 

เรื่องที่เกิดในเป่ยเหอนั้น สำหรับผู้อื่นแล้วคงเป็นความทรงจำที่ไม่อยากจะไปนึกถึงแต่กับเจินเมี่ยวแล้วนั้นมิใช่

 

 

มิต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกเขาได้พบกับท่านอาสี่สกุลหลัวที่หายตัวไปหลายปีนั้นเลย แค่วันเวลาที่นางและหลัวเทียนเฉิงได้ประคับประคองช่วยเหลือกัน แม้นตอนนั้นจะลำบากยิ่งแต่เมื่อมาครุ่นคิดดูในยามนี้ กลับรู้สึกมีความสุขทั้งหวานล้ำอย่างไม่ทราบสาเหตุ

 

 

ในตอนนี้ที่เจินเมี่ยวหวนระลึกถึงมันก็คิดว่าอย่างน้อยนั่นกลับเป็นช่วงเวลาที่นางมีอิสระที่สุดไม่มีการถูกตีกรอบใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

แน่นอนว่าหากให้นางเลือกเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง นางก็ไม่มีทางยินดีเด็ดขาด แต่คนเราก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเรื่องราวที่ได้เผชิญผ่านพ้นไป เหตุการณ์ที่แปลกแตกต่างย่อมมีเสน่ห์และฝังลึกในจิตใจได้มากกว่าเรื่องอื่นๆ

 

 

“งั้นหรือ ข้าส่องคันฉ่องทุกวันกลับมิได้รู้สึกว่าตนงดงามขึ้นกว่าเมื่อก่อนเท่าใดนัก”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กคนนี้ถึงกลับชมตนต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ ช่างมิรู้จักเขินอายบ้างเลยจริงๆ ”

 

 

นางเวินชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้างคราหนึ่ง สตรีนั้นควรรักษาท่าที มีความสุขุม โดยเฉพาะสตรีที่มีฐานะเช่นเมี่ยวเอ๋อร์ ภายหน้าจักต้องเป็นฮูหยินของจวนเจิ้นกั๋วกง แล้วจะให้วางใจกับพฤติกรรมเป็นเด็กเช่นนี้ของนางได้อย่างไรกัน หากซื่อจื่อรำคาญหรือรังเกียจขึ้นมาคงแย่แน่แล้ว

 

 

ตอนที่นางเวินกับนายท่านสามสกุลเจินยังหนุ่มสาวก็เคยรักใคร่กลมเกลียวกันมาก่อน ถึงยามนี้ความรักกลับลดน้อยมีแต่ความเย็นชา นางรู้ดีถึงรสชาติเช่นนั้นเป็นที่สุด

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยามอยู่ที่จวนกั๋วกงนางก็เป็นเช่นนี้หรือ คงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าขบขันไม่น้อยกระมัง?”

 

 

มุมปากหลัวเทียนเฉิงแฝงด้วยรอยยิ้ม ท่าทียามเอ่ยตอบฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม “จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านย่าชอบที่เมี่ยวเอ๋อร์พูดแต่ความจริงเช่นนี้ที่สุดขอรับ”

 

 

วาจานี้เอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาสง่างาม แม้นจะมิได้มองเจินเมี่ยวสักนิด แต่ความรักใคร่ที่มีในน้ำเสียงนั้นกลับเผยออกมาอย่างเต็มเปี่ยม

 

 

ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ในที่นี้ต่างหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย มีเพียงผู้ที่เอ่ยวาจานี้เพียงคนเดียวที่ยังมีท่าทีปกติอยู่ได้ “ท่านพ่อตาและท่านลุงเรียกข้าไปดื่มน้ำชาด้วย ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้วขอรับ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกล่าวอำลากับผู้อาวุโสทั้งหลายแล้วหันไปยิ้มน้อยๆ ให้เจินเมี่ยวก่อนจากไป

 

 

เจินจิ้งเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจขึ้นมา

 

 

แค่กลับมาเยี่ยมบ้านในเทศกาลวันตรุษเท่านั้น ต้องอาลัยอาวรณ์กันเพียงนี้เชียวหรือ!

 

 

พลันคิดถึงองค์ชายหกขึ้นมา แม้นพระองค์จะดูแลนางเป็นพิเศษกว่าสตรีทั้งหลายที่อยู่ในตำหนัก แต่ชั่วชีวิตนี้หากจะให้พระองค์กลับมาเยี่ยมจวนกับนางนั้นคงเป็นไปไม่ได้แน่

 

 

ความเจ็บปวดของเจินจิ้งนั้นมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเจินเมี่ยวแม้แต่น้อย นางพูดคุยสนทนากับ ฮูหยินผู้เฒ่าอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มเพลียแล้วจึงไปสวนเหอเฟิงกับนางเวิน ยามนี้สองแม่ลูกจึงได้มีโอกาสพูดคุยถามไถ่กัน

 

 

นางเวินไล่สาวใช้ในห้องออกไปจนหมด แล้วรีบเข้าไปกุมมือเจินเมี่ยวไว้พลางเช็ดน้ำตาไปพลาง “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่คิดจะให้แม่สบายใจบ้างเลยหรือ เหตุใดแค่เข้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลองในวังก็ต้องไปพบเจอเรื่องเช่นนั้น เจ้าคงไม่รู้ว่าตอนที่แม่ได้ยินข่าว แม่กลัวเพียงใด”

 

 

“ท่านแม่ ลูกก็ยังสบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ อีกอย่างเรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านอย่าได้กังวลใจเลย”

 

 

นางเวินยังคงมีสีหน้าย่ำแย่เช่นเดิม นางพึมพำขึ้นว่า “เจ้ามีฐานะเป็นเซี่ยนจู่ ต่อไปคงมีโอกาสเข้าวังบ่อยๆ ที่นั่นช่างทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก หากรู้เช่นนี้แต่แรกมิสู้ให้เจ้าแต่งกลับไปเมืองท่านตาเจ้า…”

 

 

นางเวินรู้ว่าตนเผลอพูดสิ่งไม่ควรออกมาจึงรีบหยุดวาจาตนไว้

 

 

เจินเมี่ยวกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วน

 

 

ผู้ที่ไม่หวังให้ตนมีฐานะเป็นเซี่ยนจู่ ไม่สนชื่อเสียงในการเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกง เพียงหวังให้นางมีชีวิตที่สุขสบายสงบสุข ก็คงมีแต่มารดาแท้ๆ ของตนผู้นี้แล

 

 

ทว่าความเสียใจนี้ของนางเวินกลับไม่มีความจำเป็นเลย เจินเมี่ยวจึงเอ่ยอธิบายว่า “ท่านแม่ ลูกงดงามเพียงนี้ หากต้องแต่งไปอยู่เมืองท่านตาแล้วถูกชิงตัวไปทำมิดีมิร้ายจะทำฉันใด? ถึงตอนนั้นท่านอยู่แสนไกลอยากจะช่วยเหลืออันใดก็ยากแล้ว”

 

 

วาจานี้ทำให้นางเวินเบิกตาอ้าปากค้าง ทว่าเมื่อคิดให้ละเอียดอีกทีกลับต้องซูดปาก

 

 

ไฮ่ติ้งนั้นอยู่ห่างไกลพระเนตรพระกรรณ เรื่องกฎระเบียบต่างๆ ย่อมมิเข้มงวดเท่าเมืองหลวง ทั้งเมี่ยวเอ๋อร์ยังงดงามปานนี้อีก การจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นก็เป็นไปได้มากจริงๆ หากเป็นเกิดขึ้นจริงก็มิเท่ากับเป็นการทำลายตระกูลมารดาและชีวิตบุตรสาวไปชั่วชีวิตหรอกหรือ

 

 

คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะคิดไปไกลกว่านางเสียอีก

 

 

“ใช่แล้ว ท่านแม่ เหตุใดจึงไม่เห็นพี่มั่วเหยียนกับพี่เจี่ยงเลยเล่า?”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเวินมั่วเหยียน นางเวินก็ยิ้มออกมาสีหน้าภูมิใจยิ่ง “กิจการของญาติผู้พี่เจ้านั้นนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เขาเปิดร้านที่ถนนชิงเชวี่ยอีกร้านแล้ว เทศกาลวันตรุษปีนี้จึงกลับไปที่ไฮ่ติ้ง ประการแรกก็เพื่อร่วมฉลองอย่างพร้อมหน้ากับคนในตระกูล ประการที่สองคือไปสำรวจดูว่าที่ไฮ่ติ้งมีอันใดเหมาะที่จะนำมาขายในเมืองหลวงอีกบ้าง”

 

 

ตั้งแต่เวินมั่วเหยียนดูแลกิจการจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ฐานะของตระกูลก็เริ่มดีขึ้นมาก กล่าวไปแล้วผู้ที่สามารถประกอบกิจการจนมั่นคงในเมืองหลวงนั้นมีรายได้มากกว่าขุนนางหลายคนเสียอีก และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้นางเวินเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมาเพราะห่วงใยในความปลอดภัยของบุตรสาว

 

 

“พี่เจี่ยงของเจ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง วันนี้ที่มิได้มาคิดว่าคงพักผ่อนอยู่กระมัง”

 

 

“เช่นนั้นลูกไปเยี่ยมสักหน่อยดีกว่า”

 

 

“เมื่อวานข้าไปเยี่ยมแล้ว มิได้หนักหนาอันใด แค่ไอเล็กน้อยเท่านั้น คงไม่สะดวกพบแขกจึงมิได้มาในวันนี้ หากเจ้าเป็นห่วงเมื่อกลับถึงจวนแล้วก็ส่งของเยี่ยมมาก็แล้วกัน”

 

 

เจินเมี่ยวถึงกับตกใจ

 

 

มารดาของนางเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ไหนแต่ไรมิคิดอันใดมากนัก คิดไม่ถึงว่าไม่ได้พบกันแค่ระยะหนึ่งกลับรู้จักที่จะให้นางหลบเลี่ยงการพบปะบุรุษเสียแล้ว

 

 

ขณะกำลังคิดเช่นนี้อยู่ก็ได้ยินนางเวินเอ่ยขึ้นอีกว่า “ยากนักกว่าที่เจ้าจะได้กลับจวน เราสองแม่ลูกมิได้พบกันนานแล้ว เมื่อมีเวลาเช่นนี้ก็มิสู้อยู่เป็นเพื่อนแม่นานสักหน่อยเถิด”

 

 

เจินเมี่ยว “…”

 

 

เอาเถิด เป็นนางเองที่คิดมากเกินไป!

 

 

“ท่านแม่ เหตุใดพี่สามจึงได้กลับมาที่จวนเล่า?”

 

 

“นางตั้งครรภ์ องค์ชายหกจึงอนุญาตให้นางกลับจวนมาเพื่อพักผ่อนบำรุงครรภ์โดยเฉพาะ” นางเวินพูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยเสียงแผ่วลงแล้วถามว่า “ท้องของเจ้ามีความคืบหน้าอันใดบ้างหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้า

 

 

นางเวินรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าก็แต่งออกไปจะครบปีแล้ว เหตุใดจึงไม่มีความคืบหน้าใดเลยเล่า?”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงักไป เสียงที่เอ่ยก็ยิ่งเบาลงอีก “ข้าเห็นใต้ตาบุตรเขยดำคล้ำยิ่ง เมี่ยวเอ๋อร์ แม่มิได้ว่าเจ้าหรอกนะ การที่พวกเจ้าหนุ่มสาวรักใคร่กันนั้นย่อมเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรก็มิควรหักโหมเกินไป แม่เคยได้ยินท่านหมอบอกว่า การหักโหมเรื่องในห้องหอมากเกินไปกลับมิได้เป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์นัก”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกหัวเราะมิออกร้องไห้มิได้ “ท่านแม่ ท่านคิดไปถึงที่ใดแล้ว จิ่นหมิงแค่ทำงานยุ่งมากเท่านั้น”

 

 

นางเวินย่อมไม่เชื่อแน่ ยามนี้ศาลาว่าการต่างๆ ยังมิทันเปิดทำการเลย มีอันใดให้ทำกัน เพียงแต่วาจาเช่นนี้หากพูดมากไป นางเองก็รู้สึกกระดากเช่นกันจึงหยุดไว้แค่นี้มิได้พูดต่ออีก

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าเห็นสีหน้าพี่สะใภ้ใหญ่มิใคร่ดีนัก มิได้ไปเชิญจี้เหนียงจื่อมาตรวจดูอีกหรือ?”

 

 

นางเวินมีท่าทีนิ่งขรึมลง “มิได้เชิญมาตรวจที่ใดกันเล่า ให้นางกินยาอยู่ตลอด ปีก่อนพี่สะใภ้เจ้าได้ยกอวี้เอ๋อร์สาวใช้ที่ติดตามนางมาจากตระกูลไว้ให้คอยปรนนิบัติพี่ใหญ่เจ้าแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางมิได้มาที่จวนจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นมากมายเพียงนี้ แม้นสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งจะมินับเป็นอันใดได้ แต่เมื่อคิดถึงความรักอันลึกซึ้งที่พี่ใหญ่มีให้พี่สะใภ้ ก็รู้สึกใจหายไม่น้อยจึงถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

นางเวินจึงเอ่ยอธิบายอย่างกระอักกระอ่วนว่า “พี่สะใภ้ของเจ้ามิหายสักที เดิมข้าก็เตือนนางแล้วว่าให้รักษาไปสักระยะก่อนค่อยคิด แต่พี่สะใภ้เจ้าก็พูดถูก ยามนี้นางมิสะดวก คงมิอาจปล่อยให้พี่ใหญ่เจ้าไม่มีคนคอยปรนนิบัติได้ ซึ่งอาจจะทำให้สาวใช้ทั้งหลายเกิดความคิดไม่ซื่อขึ้นมาจนก่อให้เกิดเรื่องไม่งามไปเสียเปล่าๆ ”

 

 

สองแม่ลูกมองสบตากันแล้วพลันนึกถึงเหตุการณ์นั้นของเวินยาฉีขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

นางเวินถอนหายใจเสียงต่ำ “พ้นปีนี้ไปญาติผู้น้องของเจ้าก็อายุสิบห้าแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องก็อาศัยโอกาสนี้พูดคุยกันเสีย แล้วรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็วเถิด”

 

 

เวินยาฉีพักอยู่ที่สวนเฉินเซียงของเจินเมี่ยวมาตลอด เจินเมี่ยวเองก็อยากกลับไปดูเรือนที่ตนเคยพักอยู่สักหน่อยเช่นกัน นางอยู่สนทนากับนางเวินอีกครู่หนึ่งจึงขอตัว

 

 

ครั้นถึงสวนเฉินเซียงกลับได้ยินสาวใช้ที่เฝ้าประตูบอกว่าญาติผู้น้องออกไปแล้ว

 

 

“เวลานี้น่ะหรือ นางไปไหน?”

 

 

“เรียนกูไหน่ไหน่[1]สี่ สองสามวันที่กูไหน่ไหน่สามกลับมาพักที่จวนคงรู้สึกเบื่อหน่ายจึงมักเรียกให้คุณหนูเวินยาฉีไปคุยเล่นด้วยเจ้าค่ะ คุณหนูน่าจะไปที่เรือนกูไหน่ไหน่สามกระมังเจ้าคะ”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ขึ้นมา

 

 

เจินจิ้งซึ่งเป็นเพียงอนุผู้หนึ่งกลับจวนมาบำรุงรักษาตนก็แปลกมากพอแล้ว ต่อให้จะหาคนคุยแก้เบื่อก็ควรจะไปหาน้องห้าน้องหกจึงจะถูก จะมาหาญาติผู้น้องของนางทำไมกัน?

 

 

เจินเมี่ยวเกิดกังวลขึ้นมาว่าเจินจิ้งจะทำอันใดบางอย่างกับเวินยาฉีจึงได้พาไป่หลิงกับชิงเกอไปที่เรือนเซี่ยเยียน

 

 

หากจะไปที่เรือนเซี่ยเยียนจักต้องผ่านป่าไผ่เสียก่อน ยามนี้แม้นบุปผาล้วนร่วงโรยแต่ป่าไผ่กลับยังคงเขียวขจีอยู่เช่นเดิมซึ่งเป็นสถานที่งดงามแห่งเลยทีเดียว ตอนนั้นพี่เจี่ยงก็ถูกงูพิษกัดจนได้รับบาดเจ็บอยู่ที่นี่แล

 

 

ตอนที่เจินเมี่ยวเดินผ่านก็อดมองอยู่หลายครามิได้ แต่เมื่อหันมองอีกคราก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ ที่ป่าไผ่นั้นมิได้รกชัฏดั่งเช่นยามคิมหันต์ทำให้มองเห็นบุรุษสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวยืนนิ่งอยู่รางๆ หากมิใช่เจี่ยงเฉินแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้เล่า?

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] กูไหน่ไหน่ มีหลายสถานะที่ถูกเรียกว่ากูไหน่ไหน่ แต่ในที่นี้เป็นคำเรียกสตรีที่แต่งงานออกไปจากตระกูลแล้ว

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset