วาสนาบันดาลรัก 280 พบกันโดยไม่คาดคิด

ตอนที่ 280 พบกันโดยไม่คาดคิด

ถามจบแล้วหรือ?

 

 

ไม่ นี่แทบไม่เรียกว่าเป็นการถามเลยด้วยซ้ำ!

 

 

แม่นมผู้นั้นมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

ท่าทีเช่นนี้ของเจียหมิงเซี่ยนจู่นั้นช่างคล้ายยามที่พระชายาต้องการจะไล่ผู้คนที่มาก่อความวุ่นวายยิ่งนัก หรือนางไม่รู้ว่าพวกตนมิใช่บ่าวไพร่ธรรมดา แต่เป็นคนที่มาจากวังองค์ชายสาม?

 

 

ความจริงแล้วท่าทีของเจินเมี่ยวอาจมิได้ดูกระตือรือร้นสักเท่าใดแต่ก็มิได้ไร้มารยาทแม้แต่น้อย เพียงแต่แม่นมผู้นี้ถูกคนข้างนอกยกยอจนเคยตัว เมื่อต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้จึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก

 

 

“ใช่แล้ว…ไม่ทราบว่าแม่นมมีนามว่าอันใดหรือ?” แม่นมผู้นั้นได้แต่ลอบกัดฟันข่มกลั้นโทสะที่มีเดินตามจื่อซูไป เจินเมี่ยวที่อยู่ด้านหลังก็เปิดปากถามขึ้นมาอีกครา

 

 

แทบจะในเวลานั้นเองที่แม่นมผู้นั้นยักคิ้วคราหนึ่ง ความภาคภูมิใจที่มีมาแต่เดิมปรากฏขึ้นอีกครั้งในที่สุดก็ทนไม่ได้แล้ว เหอะๆ นางยังคิดว่าเซี่ยนจู่ท่านนี้จะวางมาดใหญ่โตกระทั่งไม่เห็นคนขององค์ชายสามอยู่ในสายตา ควรต้องทราบว่านางออกมาเช่นนี้นั้นก็เท่ากับเป็นตัวแทนขององค์ชายสาม

 

 

“สกุลสามีบ่าวคือหนิว เซี่ยนจู่เรียกบ่าวว่าแม่นมหนิวก็ได้เจ้าค่ะ” แม่นมหนิวหมุนกายกลับมาพูด

 

 

“แม่นมหนิว…” เจินเมี่ยวพยักหน้ารับรู้ “เอาล่ะ จื่อซู พาแม่นมหนิวออกไปเถิด”

 

 

แม่นมหนิวถึงกลับเซไปเล็กน้อย นางใช้วิธีกวาดตามองเจินเมี่ยวอย่างรวดเร็วเช่นที่ตนมักแอบใช้สำรวจสีหน้านายตนอยู่บ่อยๆ แต่กลับเห็นว่านางกำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม นิ้วมือเรียวยาวนั้นขาวเนียนยิ่ง แม้นมิได้ทาเล็บมือแต่ก็มีสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ช่างเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์นัก

 

 

แม่นมหนิวค่อยๆ กลืนโลหิตในปากตนลงไป แล้วส่งสายตาให้ทุกคนเดินตามจื่อซูไป

 

 

จื่อซูอายุมากกว่าใคร อีกสองสามเดือนก็จะออกเรือนแล้ว ท่าทีจึงยิ่งดูสุขุมนุ่มลึก นางซึ่งเดินอยู่ด้านหน้านั้นแต่งกายด้วยชุดฤดูหนาวที่ตัดเย็บอย่างสมส่วน แต่ละก้าวที่เดินมันคง ท่าทีนิ่งขรึม บนศีรษะมีดอกเหมยสีสันสดใส รูปทรงสวยงามปักอยู่หลายดอก มันกระเพื่อมไหวตามจังหวะการเดินของจื่อซูไม่ต่างอันใดกับอยู่บนกิ่งไม้ ขับเน้นให้สาวใช้สุขุมเยือกเย็นผู้นี้ยิ่งดูงดงามมากขึ้นไปอีหลายส่วน

 

 

สาวใช้ทั้งสี่ที่เดินตามหลังแม่นมหนิวต่างมองสบตากันด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าสาวใช้ของเจียหมิงเซี่ยนจู่จะงดงามกว่าสาวใช้ในตำหนักองค์ชายเสียอีก

 

 

สาวใช้ทั้งสี่เดินยืดหลังตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ด้วยเกรงว่าจะถูกสาวใช้ที่ผ่านไปมานำตนไปเปรียบเทียบกับจื่อซูให้ต้องเสียหน้า ควรต้องรู้ว่าพวกนางทั้งสี่นั้นถูกอบรมมาอย่างเข้มงวดเพียงใด

 

 

จื่อซูพาพวกนางไปที่ห้องหน่วนเก๋ออันเป็นที่พักของจิ่งเกอ ครั้นเดินเข้าไปจิ่งเกอก็ตื่นพอดี เมื่อลืมตาขึ้นก็ยังคงมองไม่ชัดอยู่บ้าง อาหลวนจึงใช้ผ้าผืนนุ่มชุบน้ำอุ่นแล้วบิดหมาดๆ มาเช็ดหน้าให้เขา

 

 

“โอ๊ะ หากพระนัดดาตื่นนอนต้องใช้นมสดเช็ดหน้าให้ก่อนเป็นอันดับแรก” สาวใช้อาภรณ์เขียวที่เดินตามหลังแม่นมหนิวพุ่งเข้ามาเบียดอาหลวนออก

 

 

การกระทำเช่นนี้ของนางทำให้จิ่งเกอที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ตื่นเต็มตา จิ่งเกอสอดส่ายสายตาไปมา เมื่อไม่เห็นเจินเมี่ยว เขาก็ผลักสาวใช้อาภรณ์เขียวนั้นให้หลบออกแล้ววิ่งออกไปหาเจินเมี่ยวทั้งที่สวมเพียงถุงเท้าเท่านั้น

 

 

เมื่อเที่ยงนั้นเจินเมี่ยวกินเนื้อวัวมากไปจึงสั่งให้ชิงเกอไปเอากล่องปาเป่าที่ใส่ลูกเหมยดองเกลือมากินเพื่อช่วยย่อย ขณะที่กำลังกินอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเรียกท่านแม่ด้วยความร้อนใจ ตามติดด้วยร่างของคนตัวน้อยที่กระโจนเข้าในอกนางราวกับพายุหมุน

 

 

ลูกเหมยที่นางกินนั้นเหลือแต่เม็ดแล้ว นางกำลังจะคายออกมาแล้วเมื่อถูกวิ่งเข้าชนก็กลืนลงไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่มันกลับติดอยู่ในคอ เจินเมี่ยวไอออกมาอย่างแรง

 

 

เมื่อไอแรงเพียงนั้น เม็ดลูกเหมยที่ลื่นตกลงไปในคอก็ถูกขย้อนออกมาในที่สุด เม็ดลูกเหมยนั้นมีปลายแหลมทั้งสองด้าน ลำคอที่นางสงสารของเจินเมี่ยวจึงถูกกรีดเป็นแผล น้ำลายที่พ่นออกมาจึงมีเลือดติดมาด้วย

 

 

จิ่งเกอเห็นเลือดก็ตัวแข็งไปทันที ดวงตาค่อยๆ เหม่อลอย พลันร้องออกมาเสียงดังว่า “ท่านแม่ ท่านห้ามตาย…” แล้วก็ล้มพับไปทันที

 

 

แม่นมหนิวและคนอื่นๆ ที่ตามจิ่งเกอมาเห็นเหตุการณ์เข้าก็ร้องขึ้นด้วยความตระหนก แล้ววิ่งเข้าไปประคองจิ่งเกอเป็นพัลวัน สถานการณ์ในตอนนั้นจึงวุ่นวายยิ่ง

 

 

ชิงไต้เดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เจินเมี่ยว เด้วยกลัวว่าคนพวกนั้นจะเผลอชนเจินเมี่ยวเข้า

 

 

ชิงเกอกลับตกใจจนทำอันใดไม่ถูก เมื่อเห็นจื่อซูเดินเข้ามาก็เอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “พี่จื่อซู ต้า ต้าไหน่ไหน่อาเจียนออกมาเป็น…เป็นเลือด!”

 

 

จื่อซูรีบเดินเข้าไปหาเจินเมี่ยว นางกวาดตามองลูกเหมยเม็ดแหลมที่ถูกพ่นออกมาคราหนึ่ง จึงยื่นแก้วน้ำอุ่นส่งให้เจินเมี่ยวด้วยความสุขุม “ต้าไหน่ไหน่ ดื่มน้ำให้ชุ่มคอก่อน ท่านคงถูกเม็ดลูกเหมยกรีดลำคอกระมัง?”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก เมื่อดื่มน้ำไปมากแล้วก็ยังรู้สึกว่าเจ็บคออยู่ดี จึงเม้มริมฝีปากอย่างจนใจแล้วลุกเดินไปหาจิ่งเกอ

 

 

“เลิกมามุงล้อมได้แล้ว พระนัดดาแค่ตกใจมากจนหมดสติไปเท่านั้น ชิงไต้ เจ้าไปตรวจดูอาการพระนัดดาดูก่อน ไป่หลิงเจ้าไปเชิญท่านหมอมา”

 

 

ชิงไต้มีฝีมือการต่อสู้ไม่เลวนัก ทั้งยังมีประสบการณ์ในการดูแลอาการป่วยเบื้องต้น เรื่องนี้หลัวเทียนเฉิงเป็นคนบอกเจินเมี่ยวเอง

 

 

ความจริงเจินเมี่ยวคิดว่าอาการอย่างที่จิ่งเกอเป็นนั้น ใช้วิธีที่นางเคยใช้กับนางเถียนก็พอแล้ว แค่หยิกไปเรื่อยๆ จักต้องฟื้นอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาอายุยังน้อย ทั้งยังฐานะไม่ธรรมดา หากเกิดหยิกจนเป็นแผลคงไม่ค่อยจะดีนัก สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจทำอย่างที่เพิ่งสั่งไปเมื่อครู่นี้

 

 

ที่เจินเมี่ยวลำบากใจที่สุดคือมิอาจชี้นิ้วสั่งได้ ทำได้เพียงแนะนำ “แม่นมหนิว พวกท่านแยกตัวกันออกไปก่อนเถิด รุมล้อมพระนัดดาไว้เช่นนี้ หากอากาศไม่ถ่ายเทก็ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเขา”

 

 

คิดไม่ถึงว่าแม่นมหนิวกลับอุ้มจิ่งเกอส่งให้แม่นมหรง ไม่ยอมให้ชิงไต้เข้าใกล้ “เซี่ยนจู่ ขออภัยที่บ่าวต้องเสียมารยาท แต่ท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”

 

 

เจินเมี่ยวขมวดคิ้วมองแม่นมหนิว

 

 

แม่นมหนิวเก็บโทสะไว้ในใจนานแล้วจึงได้ถือโอกาสนี้เอาคืนสักหน่อย “แต่ไหนแต่ไรมาพระนัดดาทุกพระองค์จักต้องได้รับการตรวจชีพจรจากหมอหลวงสิง แต่ท่านให้สาวใช้ผู้หนึ่งมาตรวจ หากเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นผู้ใดจะรับผิดชอบไหว?”

 

 

นางใช้วาจาไม่แข็งไม่อ่อนนี้ประชดประชันเจินเมี่ยว ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนดูออกทั้งสิ้น

 

 

ชิงเกอทนไม่ไหวแล้ว แม้แต่พูดยังไม่ติดอ่างด้วยซ้ำ “แม่นมท่านนี้ช่างไม่มีเหตุผลนัก ต้าไหน่ไหน่ของเรามีแผลที่ลำคอ แต่กลับมิสนใจตนเอง แต่รีบมาดูพระนัดดาด้วยความเป็นห่วง พวกท่านไม่เพียงไม่ขอบคุณที่ต้าไหน่ไหน่ของเราเป็นห่วงในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องห่วงยังพอว่า แต่ยังมาข่มขู่ต้าไหน่ไหน่อีก ช่างไร้มารยาทนัก! ”

 

 

เมื่อวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา แม่นมหนิวก็หน้าตาบึ้งตึงทันที

 

 

วาจาที่นางเอ่ยเมื่อครู่นั้นก็คาดไว้แล้วว่าเจินเมี่ยวย่อมไม่กล้าโต้แย้ง อย่าว่าแต่ลำคอนางบาดเจ็บเลย ต่อให้นางกระอักโลหิตออกมาจริงๆ ก็ยังต้องรีบมาดูพระนัดดาก่อนอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบกับคนโง่เง่าเพียงนี้ได้

 

 

เมื่อเจอกับตัวโง่งมเช่นนี้ก็ได้แต่มองไปที่เจินเมี่ยว “เซี่ยนจู่…”

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มให้แม่นมหนิว แล้วหันไปตำหนิชิงเกอ “มีที่ใดมาทะเลาะกันต่อหน้าเจ้านาย ยังไม่รับออกไปอีก!”

 

 

ชิงเกอถลึงตาใส่แม่นมหนิวแล้วหมุนกายเดินออกไป

 

 

แม่นมหนิวกุมหน้าอกตนไว้แล้วหายใจเข้าลึกๆ จึงสามารถควบคุมตนเองเอาไว้ได้

 

 

อันใดที่เรียกว่าไม่อาจทะเลาะกันต่อหน้าเจ้านาย เช่นนั้นหากทะเลาะลับหลังเจ้านายก็ได้งั้นหรือ?

 

 

เพราะเป็นช่วงวันตรุษ ศพของพระชายาจึงต้องไว้อาลัยไปสี่สิบเก้าวันจึงจะนำไปฝังที่สุสานได้ องค์ชายสามกำชับมาว่าจะมารับพระนัดดาสองสามก่อนมีพิธีฝังพระศพ

 

 

แม่นมหนิวแค่คิดว่าหากต้องอยู่ที่จวนกั๋วกงถึงหนึ่งเดือนกว่าทั้งที่ผู้เป็นนายมิได้ใส่ใจกับพระนัดดาสักเท่าใด ส่วนบ่าวไพร่ก็ตั้งท่าจะทะเลาะกับนาง นางจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงแอบตัดสินใจว่าจะกลับไปทูลเรื่องราวให้องค์ชายสามฟัง

 

 

เรื่องราวทั้งหมดนี้พูดไปแล้วยาวแต่ความจริงมันเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

 

 

จิ่งเกอฟื้นขึ้นมาเห็นว่าตนอยู่ในอ้อมแขนของแม่นมหรงก็เริ่มถีบเริ่มดิ้น “ท่านแม่ ข้าจะให้ท่านแม่อุ้ม…”

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าบริวารขององค์ชายสาม เจินเมี่ยวย่อมมิกล้าตอบรับคำเรียกว่าว่าท่านแม่ของจิ่งเกอได้ แม้นในใจจะรู้สึกสงสารยิ่ง แต่ก็ต้องแข็งใจไม่เหลียวแล

 

 

“ท่านแม่ ท่านแม่ อุ้ม…” จิ่งเกอพยายามดิ้นรนสุดแรงเพื่อให้หลุดจากการกอดกุม เขาวิ่งเข้าไปยืนตรงหน้าเจินเมี่ยว แล้วดึงกระตุกอาภรณ์นางด้วยแววตาน่าสงสาร

 

 

ความหงุดหงิดพาดผ่านไปในดวงตาแม่นมหรงทันที

 

 

พระชายานั้นกลัวว่าพระนัดดาจะรักแม่นมมากกว่าแม่แท้ๆ จึงใช้แม่นมหลายคนผลัดเปลี่ยนกันมาให้นม รอจนถึงวันที่พระนัดดาหย่านมก็คงค่อยๆ ลืมพวกนางไป

 

 

ครั้งนี้นางอุตส่าห์ได้มีโอกาสมาดูแลพระนัดดาถึงเดือนกว่า ทั้งยังคิดว่าจะใช้โอกาสนี้มัดใจพระนัดดาน้อยไว้ ภายหน้าจักต้องมีอนาคตที่ดีแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าพระนัดดาจะเห็นเจียหมิงเซี่ยนจู่เป็นพระชายาจริงๆ นี่มันเป็นการฆ่านางตายระหว่างทางอย่างแท้จริง!

 

 

ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องคิดวิธีให้พระนัดดาอยู่ห่างจากเจียหมิงเซี่ยนจู่ไว้!

 

 

“จิ่งเกอ เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาแล้วข้าจะอุ้มเจ้า” เจินเมี่ยวกระแอมไอออกมา รู้สึกเจ็บอยู่ในลำคอ

 

 

จิ่งเกอเบิกตากว้างขึ้น “แต่ท่านเป็นท่านแม่ เหตุใดจึงให้เรียกท่านอาเล่า?”

 

 

เจินเมี่ยวทำหน้าขึงขัง อย่างไม่ยอมใจอ่อน “เรียกท่านอา”

 

 

จิ่งเกอหน้างอเป็นซาลาเปาทีเดียว เขาคิดในใจว่าท่านแม่ช่างแปลกนัก เขากับบรรดาพี่สาวน้องสาวเล่นด้วยกัน พวกพี่สาวต่างก็แย่งกันเป็นพระชายาแต่ท่านแม่กลับอยากเป็นท่านอา

 

 

ช่างเถิด ผู้ใดให้เขาเป็นบุรุษเล่า เช่นนั้นก็ตามใจนางหน่อยแล้วกัน

 

 

“ท่านอา” จิ่งเกอเรียกขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

 

 

 เจินเมี่ยวจึงสงบใจลงได้ นางจึงยอมอุ้มจิ่งเกอ

 

 

วันต่อมานางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงเพิ่งมาถึง

 

 

เจินเมี่ยวเห็นเขาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว “เหตุใดตาถึงแดงเช่นนั้นเล่า?”

 

 

“เมื่อวานนอนดึกไปหน่อย” หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

 

 

ความจริงแล้วเขามิได้นอนทั้งคืนเพราะต้องการให้ตนมีเวลาว่างในวันนี้เพื่อไปจวนเจี้ยนอานปั๋ว ครั้นเขาทำงานจนถึงเช้าแล้วก็รีบไปอาบน้ำแล้วกลับจวนทันที แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะบอกเรื่องพวกนี้ให้เจินเมี่ยวรู้ จึงย้อนถามกลับว่า “เสียงเจ้าเป็นอะไรหรือ?”

 

 

“เอ๊ะ ก็ไม่มีอันใดเสียหน่อย” เจินเมี่ยวยกถ้วยนมวัวส่งให้หลัวเทียนเฉิง “ดื่มนมวัวสักหน่อยจะได้สบายขึ้น”

 

 

หลัวเทียนเฉิงรับนมวัวมาดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “เอ๊ะ เสียงของเจ้าตอนนี้คล้ายมีบาดแผลภายในลำคอเลย”

 

 

เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงว่าเขาจะช่างสังเกตเพียงนี้ จึงร้องเอ่ยว่า “เมื่อวานข้ากินลูกเหมย แต่เผลอกลืนเม็ดลงคอ มันจึงกรีดลำคอเป็นแผล”

 

 

หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วทั้งเป็นห่วงทั้งขบขัน เมื่อเห็นว่ารอบๆ มีสาวใช้อยู่ไม่น้อย จึงฝืนใจไม่ให้เผลอยื่นมือไปหยกแก้มนาง เพียงเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังว่า “โตเพียงนี้แล้ว ต่อไปก็ระวังหน่อย”

 

 

“รู้แล้ว” เจินเมี่ยวผลักเขาคราหนึ่ง “เรารีบไปกันเถิด จะได้รับกลับมา ท่านจะได้นอนพักสักหน่อย”

 

 

ยังมีอีกประโยคที่เจินเมี่ยวมิได้พูด หากจิ่งเกอตื่นขึ้นมาเกรงว่าคงจะงอแงขอไปด้วยแน่ ถึงตอนนั้นคงต้องปวดหัวมากกว่านี้แล้ว

 

 

เจินเมี่ยวกลัวว่าจิ่งเกออยู่คนเดียวแล้วจะเกิดเหตุอันใดขึ้นจึงให้จื่อซู ไป๋เสา สาวใช้ทั้งสองที่มีความสุขุมรอบคอบและชิงไต้ที่มีวิชาการต่อสู้อยู่ที่จวน เมื่อคิดดูอีกทีก็ให้อาหลวนที่เคยดูแลจิ่งเกออยู่ด้วยอีกคน นางให้เพียงไป่หลิงกับชิงเกอไปด้วย

 

 

ที่หน้าประตูจวนนั้นมีบ่าวรับใช้มายืนคอยท่านานแล้ว เมื่อรถม้าของจวนกั๋วกงมาถึงก็รีบเข้าไปต้อนรับทันที

 

 

เพราะวันตรุษปีนี้เกิดเรื่องลอบปลงพระชนม์ขึ้นในวัง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็ทำตัวเงียบสงบยิ่งด้วยเกรงว่าการฉลองอย่างคึกคักนั้นจะทำให้เบื้องบนไม่พอใจจนเกิดเหตุร้ายขึ้น จวนเจี้ยนอานปั๋วก็มิใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน

 

 

เจินเมี่ยวกลับมิได้แปลกใจที่จวนปั๋วดูเงียบสงบเช่นนี้ แต่ที่ทำให้นางแปลกใจคือการได้พบกับ…เจินจิ้ง คนที่นางไม่มีวันคาดคิดว่าจะได้พบ

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset