วาสนาบันดาลรัก 274 ไร้เงา

ตอนที่ 274 ไร้เงา

ครั้นเจินเมี่ยวมีท่าทีสงสัย องค์ชายหกก็คล้ายรู้สึกตัวว่าการถามเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงเพียงเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นแต่ก็มิได้ชัดเจนอันใดนัก

 

 

วันนี้เป็นงานเฉลิมวันตรุษของราชสำนัก หลัวเทียนเฉิงเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินซึ่งไม่ต่างอันใดกับแม่ทัพของหน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้าเลย สรุปคือจักต้องยุ่งมากแน่นอน เขาจึงบอกไว้ก่อนแล้วว่ามิอาจมาร่วมงานวันนี้ด้วยได้ เมื่อเจินเมี่ยวไม่เห็นคนที่บอกให้นางแสร้งป่วยผู้นั้นจึงได้แต่ตอบไปอย่างมึนงงว่า “เมื่อเช้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเล็กน้อย แต่เมื่อท่านย่าที่รออยู่ด้วยกันที่หน้าประตูวังเป็นลมล้มไป หม่อมฉันร้อนใจจนเหงื่อไหลซึมไปหมด อาการจึงดีขึ้นแล้ว”

 

 

“ฮูหยินผู้เฒ่าจวนกั๋วกงหรือ?” องค์ชายหกเอ่ยถามเสียงสูงเล็กน้อย

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ไม่ใช่เพคะ ฮูหยินจวนเจี้ยนอานปั๋ว ท่านย่าแท้ๆ ของหม่อมฉันเอง”

 

 

พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “พี่หกท่านไม่ทราบหรือว่า ฮูหยินจวนเจี้ยนอานปั๋วเป็นลมและเจียหมิงเป็นคนแบกท่านเข้ามาในวังเอง”

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ “ชูสยา”

 

 

วันนี้ชูสยาจวิ้นจู่สวมอาภรณ์สีสันสดใสยิ่ง เสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีเหลืองแซมขาวนั้นช่างดูสง่างามนัก

 

 

“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด?”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เดินเข้ามาคล้องแขนเจินเมี่ยวอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง นางพริบตาแล้วเอ่ยว่า “พี่หกมีน้องสาวคนใหม่แล้วก็ลืมน้องสาวคนเก่า พวกท่านพูดคุยกันสนุกสนาน ไหนเลยจะทันได้สังเกตว่าข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”

 

 

นางเพียงพูดเย้าไปตามปาก ทว่าองค์ชายหกที่มักมีรอยยิ้มอยู่เสมอกลับหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แล้วหันชำเลืองมองเจินเมี่ยวโดยไม่รู้ตัว

 

 

เจินเมี่ยวรีบอธิบายทันที “ชูสยา ท่านหึงโดยไร้เหตุผลจริงๆ สุภาษิตกล่าวไว้ว่า อาภรณ์เก่าไม่สู้อาภรณ์ใหม่ สหายใหม่ไม่สู้สหายเก่า”

 

 

นางนั้นกลัวว่าชูสยาที่กำลังจะออกเรือนไปอยู่แดนใกล้จะเสียใจ

 

 

การจัดงานเฉลิมฉลองในราชสำนักครั้งนี้มีทูตจากหมานเว่ยมาด้วยและจะอยู่จนถึงวสันต์ฤดูเพื่อคุ้มครองชูสยาจวิ้นจู่กลับไปยังดินแดนหมานเว่ยพร้อมกัน

 

 

ต่างก็กล่าวกันว่าสตรีที่กำลังจะออกเรือนมักอ่อนไหวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้ต้องแต่งออกไปแดนไกล เจินเมี่ยวไม่อยากให้ชูสยาต้องน้อยใช้กับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ควรต้องทราบว่ามิตรภาพระหว่างอิสตรีนั้นอาจมลายหายไปในพริบตาเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวหรือแววตาท่าทางบางอย่างเท่านั้น

 

 

แม้นเจินเมี่ยวจะเชื่อมั่นในมิตรภาพของคนทั้งสอง แต่เพราะความห่วงใยในกันและกันจึงไม่อยากจะให้เกิดความบาดหมางแม้เพียงน้อยนิด

 

 

แต่การอธิบายนี้ของนางช่างไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก ทว่าชูสยาจวิ้นจู่กลับยิ้มออกมา

 

 

องค์ชายเอ่ยด้วยท่าทีกลั้นหัวเราะว่า “เจียหมิงพูดถูกอาภรณ์เก่าไม่สู้อาภรณ์ใหม่ สหายใหม่ไม่สู้สหายเก่า เจ้าวางใจเถิดชูสยา อย่างไรเจ้าก็เป็นน้องสาวที่ข้าชอบที่สุด”

 

 

ในใจกลับกำลังคิดว่า บทกวีของเจียหมิงจักต้องเรียนมาจากอาจารย์ผู้ทรงความรู้จากในวังกระมัง?

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ทำตัวตามแต่ใจกับองค์ชายหกจนชินเสียแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงถลึงตาใส่เขาพลางพูดว่า “ของพระทัยเสด็จพี่ยิ่ง เช่นนั้นข้าขอพาเจียหมิงไปก่อนแล้ว”

 

 

พูดจบก็มิรอให้องค์ชายหกเอ่ยอันใดอีกก็จูงมือเจินเมี่ยวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

 

 

รอกระทั่งปลีกตัวออกห่างจากฝูงชนมาพอสมควรจึงเอ่ยกำชับเสียงต่ำกับเจินเมี่ยวว่า “หากข้าไปแล้ว ต่อไปเจ้าก็เข้าวังมาให้น้อยลงหน่อย ฮึ ไม่มีข้าคอยคุ้มครอง เจ้าคงเสียเปรียบแย่กระมัง?”

 

 

เจินเมี่ยวหลุดหัวเราะออกมา “ใช่ๆ ข้ารู้แล้ว อืม ฉงสี่มาแล้วหรือไม่?”

 

 

“มาแล้ว นั่งอยู่กับจั่งกงจู่ ข้าจะพาเจ้าไปเอง”

 

 

ต้าโจวยกเลิกการย้ายราชฐานไปนอกเมืองของบรรดาอ๋องทั้งหลายแล้ว มีแค่บางส่วนในยุคที่สร้างราชวงศ์ใหม่ๆ ยามนี้มีอ๋องที่ย้ายราชฐานไปเพียงไม่กี่คน อ๋องในยุคหลังๆ ต่างอยู่ในวังหลวงทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จำนวนของเชื้อพระวงศ์ที่มาร่วมงานจึงมีไม่น้อย ส่วนพระญาติห่างๆ ที่มีชีวิตอันลำบากยิ่งนั้นมีมากกว่าซึ่งพวกเขาก็ต่างเฝ้ารอวันนี้อย่างที่สุด

 

 

ห้องโถงในตำหนักฉางเซิงกว้างมาก ด้านในสุดมีเวทีที่ยกสูงขึ้นอยู่ ด้านบนจัดวางโต๊ะตัวเตี้ยไว้สิบตัวสำหรับจักรพรรดิ ไท่โฮ่ว หวงโฮ่ว ผู้มีเกียรติและพระสนมที่ได้รับการโปรดปราน ส่วนด้านล่างจะมีการจัดวางโต๊ะหยกขาวไว้สองแถวและที่หน้าประตูทางเข้า องค์ชายองค์หญิงนั่งไม่ไกลจากเวทีนัก ส่วนพระญาติห่างๆ ก็นั่งใกล้กับหน้าประตูทางเข้า แต่ไม่ว่าอย่างไรผู้ที่จะเข้ามาที่นี่ในวันนี้ได้นั้นจักต้องมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์แห่งต้าโจวอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกว่าพรมแดงที่ปูลาดตามทางเดินนั้นยาวมาก นางเดินจนขาหมดแรงแล้ว

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่บีบมือนางเบาๆ “เจ้ากลัวอันใด เจ้าเป็นเซี่ยนจู่ที่จักรพรรดิทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เองแท้ๆ”

 

 

ควรต้องทราบว่ามิใช่ว่าเชื้อพระวงศ์ทุกคนจะมีบรรดาศักดิ์ เจินเมี่ยวเป็นแค่น้ำเปล่าเพียงครึ่งถังไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดด้วยซ้ำทำให้คนไม่น้อยมองนางด้วยความแค้นเคือง

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่รู้สึกไม่พอใจเท่าใดที่เจินเมี่ยวมิได้ดั่งใจ “หากเจ้าไม่มีความมั่นใจ ผู้อื่นก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน เมื่อควรวางท่าให้สง่างามก็ต้องทำ! ”

 

 

เจินเมี่ยวทำปากยื่น “ข้ามิได้กลัว”

 

 

“แล้วเจ้าสั่นทำไม?” ชูสยากลอกตาใส่เจินเมี่ยว

 

 

เจินเมี่ยวอยากจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา “ข้าหิว…”

 

 

นางมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเมื่อใดที่หิวขึ้นมา ใจก็จะสั่น เหงื่อแตกพลั่ก ผู้ใดจะทราบว่าคนในวังจะโหดร้ายเพียงนี้เล่า ยามเที่ยงนั้นมีนางกำนัลยกของว่างมาให้ก็จริงแต่ผู้อื่นกินเพียงคำสองคำก็วางตะเกียบลง ท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงนั้น ต่อให้นางหน้าหนาเพียงใดก็คงไม่กล้ากินจานเข้าไปด้วยกระมัง?

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกคราที่มิได้เอาขนมซ่อนไว้ในแขนเสื้อ เช่นขนมซิ่งเหริน ขนมเม็ดเล็กเท่าหัวแม่มืออันใดเทือกนั้น คราแรกคิดว่าอย่างไรก็ต้องแสร้งป่วยขอกลับจวนก่อนอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ถลึงตาใส่เจินเมี่ยวอย่างแค้นเคือง แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวข้าจะช่วยบังให้ เจ้ากินให้มากหน่อยแล้วกัน”

 

 

เหตุใดคนตะกละเช่นนี้เข้ามาอยู่รวมกลุ่มกับเชื้อพระวงศ์ได้อย่างไร นางไม่รู้จักคนเช่นนี้!

 

 

คนทั้งสองเดินไปนั่งกับฉงสี่เซี่ยนจู่

 

 

ยามนี้ชูสยาจวิ้นจู่มีฐานะเป็นองค์หญิงแล้ว เดิมที่นั่งมิได้อยู่ตรงนี้ แต่นางอยากนั่งที่นี่จะมีผู้ใดกล้าเอ่ยเตือนให้นางรำคาญใจหรือไม่เล่า

 

 

เสียงซือจู๋ดังขึ้น นางรำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พวกนางต่างส่ายเอวพลิ้วอ่อน แขนเสื้อยาวปลิวไสว พลันทำให้บรรยากาศดูคึกคักขึ้น เมื่อมีเสียงดนตรีดังกลบ การสนทนาพูดคุยของคนทั้งหลายก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น

 

 

ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งเค่อ เสียงขันทีก็ดังขึ้น “ฝ่าบาท หวงโฮ่ว ไท่โฮ่ว เสด็จแล้ว…”

 

 

ดนตรีพลันหยุดลง คนทั้งหลายต่างหมอบลงอย่างพร้อมเพรียง

 

 

เมื่อเจาเฟิงตี้นั่งลงแล้วก็กวาดตามองไปโดยรอบ สายตาหยุดอยู่ที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนักครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองภายใน ทุกคนไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

 

 

คนทั้งหลายจึงค่อยๆ ลุกขึ้น

 

 

เดิมเจินเมี่ยวก็หิวจนเวียนหัวตาลายอยู่แล้ว เมื่อต้องหมอบลงกะทันหันเช่นนี้เจินเมี่ยวก็ยิ่งรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นทำให้มิอาจลุกขึ้นได้ในทันที

 

 

ชูสยารีบเข้าไปดึงนางขึ้น แล้วอาศัยจังหวะที่เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้งเอ่ยเสียงต่ำว่า “บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่ามิต้องตื่นเต้น เหตุใดจึงตกใจจนลุกไม่ขึ้นเช่นนี้?”

 

 

เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้นแต่สุดท้ายก็หุบลง ช่างเถิด ตื่นเต้นจนลุกไม่ขึ้นก็ดีว่าหิวจนลุกไม่ขึ้นอยู่บ้าง

 

 

คิดไม่ถึงว่าฉงสี่เซี่ยนจู่กลับเอ่ยอธิบายด้วยความปรารถนาดี “ต้องเป็นเพราะว่านางหิวอย่างแน่นอน!”

 

 

เจินเมี่ยว “…”

 

 

กระทั่งงานเลี้ยงฉลองล่วงเลยไปครึ่งทาง คนส่วนใหญ่หากมิถูกการเต้นระบำดึงดูสายตาไปก็ตั้งหน้าสนทนากัน ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยเสียงแผ่วขึ้นว่า “พวกเจ้าดูสิ ไท่จื่อไม่มาจริงๆ ด้วย มีแค่ไท่จื่อเฟยที่มา”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่ทำสีหน้านิ่งเฉย นางยกสุราผลไม้ขึ้นจิบคำหนึ่ง ใบหน้าที่เฉยชานั้นกลับแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับเย็นชายิ่ง “ไท่จื่อสุภาพมิค่อยดี ย่อมต้องมาไม่ได้อยู่แล้ว”

 

 

ยามนี้ไม่ว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์เองหรือแม้แต่ขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็ทราบกันดีว่าฝ่าบาทไม่พอใจไท่จื่อ อยู่ แต่ก็มิอาจเอ่ยออกมาอย่างเปิดเผยได้

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่พูดจบก็ส่งสายตาให้ชูสยาจวิ้นจู่เป็นสัญญาณว่ามิควรพูดเรื่องนี้ต่อไปอีก

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่จึงทำปากยื่นคราหนึ่ง “ข้าแค่เห็นท่าทางโดดเดี่ยวของไท่จื่อเฟยแล้วเบิกบานใจเท่านั้นเอง”

 

 

“ชูสยา!” ฉงสี่เซี่ยนจู่ถลึงตาใส่นาง

 

 

เจินเมี่ยวจึงหันไปมองไท่จื่อเฟยครานหนึ่ง คล้ายว่าไท่จื่อเฟยรู้ว่ามีคนมองจึงหันมาทางมองพวกนางเช่นกัน ท่าทีมิได้แตกต่างไปจากเดิมนักแค่ดูมีความกลัดกลุ้มเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น

 

 

เจินเมี่ยวรีบหลบสายตาทันใดแล้วยกน้ำผลไม้ขึ้นจิบกลบเกลี่ยน

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กลับอดเตือนขึ้นไม่ได้ว่า “คุณหนูสี่ เจ้าระวังไว้หน่อยแล้วกัน ข้ารู้สึกว่าไท่จื่อเฟยไม่ค่อยชอบใจเจ้าเท่าใด”

 

 

“มีอันใดหรือ?” เจินเมี่ยวลอบชำเลืองมองคราหนึ่งแต่ไท่จื่อเฟยก็เบนสายตาไปมองทางอื่นแล้ว

 

 

ครานี้ฉงสี่เซี่ยนจู่กลับมิได้ห้ามมิให้ชูสยาจวิ้นจู่พูด แต่กลับหยิบจอกสุราสีชมพูใสคล้ายปีกจักจั่นนั้นไว้เฝ้ารอให้นางเอ่ยต่อ

 

 

“ก็ครั้งนั้นที่นางมาคุยกับข้า นางก็มักจะพูดว่าดินแดนหมานเว่ยพายุทะเลทรายรุนแรงยิ่ง ทำให้ผิวเสีย สตรีดินแดนหมานเว่ยล้วนมีผิวที่หยาบกร้านอย่างยิ่ง ข้ากำลังฟังด้วยความเบื่อหน่าย นางก็เปลี่ยนไปเอ่ยชมว่าผิวพรรณของเจ้าดียิ่ง ทั้งยังบอกว่าเจ้าได้เคล็ดลับการดูแลผิวจากเจินไท่เฟย ตอนนั้นข้าก็คิดว่ามันแปลกๆ นางมิใช่กำลังจะยุข้าให้มาสร้างความลำบากใจแก่เจ้าหรอกหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวเม้มปากทันที

 

 

วาจานี้ของไท่จื่อเฟยนั้นส่อเจตนาร้ายจริงๆ นั้นแล

 

 

เคล็ดลับการดูแลผิวของไท่เฟยนั้นทำให้คนไม่น้อยอิจฉา นางรู้ดี

 

 

หลังจากที่ไท่จื่อเฟยมาลองถามนางแล้วเห็นนางไม่ยอมบอกก็เอาเรื่องนี้ไปยุยงอู่กุ้ยเฟย ต่อมาก็เป็นเหล่าองค์หญิง เพียงเท่านี้นางก็มิอาจเข้ากับคนในกลุ่มนั้นได้อีกแล้ว

 

 

แน่นอนว่าเจินเมี่ยวมิได้ใส่ใจเท่าใดนัก แต่กล่าวไปแล้วนั้น ขอเพียงเป็นปกติคนหนึ่งก็ยอมต้องอยากให้ผู้อื่นชมชอบตน มิใช่เกลียดตน ดังนั้นหากจะบอกว่านางมีความรู้สึกดีๆ ต่อไท่จื่อเฟยก็คงประหลาดเกินไปแล้ว

 

 

แต่นางคิดไม่ถึงว่าไท่จื่อเฟยจะถึงขนาดคิดทำลายมิตรภาพระหว่างนางกับชูสยาจวิ้นจู่

 

 

เคล็ดลับที่ทำให้ผิวพรรณสว่างใสเนียนนุ่มดุจแพรไหมนั้นจะมีสตรีใดไม่ต้องการบ้างเล่า?

 

 

หากชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยปากกับนาง นางก็ยังมิอาจบอกได้เพราะเจินไท่เฟยได้กำชับไว้แล้ว แต่จะให้ปฏิเสธนางก็รู้สึกไม่สบายใจและไม่กล้าพอ

 

 

เจินเมี่ยวบีบมือชูสยาจวิ้นจู่เบาๆ คราหนึ่ง แล้วบอกไปตามความจริงว่า “ขอบอกพวกท่านตามตรงว่า ไท่เฟยได้ให้เคล็ดลับนั้นกับข้าจริงๆ แต่ไท่เฟยก็กำชับว่ามิให้บอกผู้ใด หากครั้งใดข้ามีโอกาสได้เข้าวังจะลองขอร้องดูเผื่อไท่เฟยจะยอมรับปากให้บอกเคล็ดลับแก่พวกท่าน แต่หากไท่เฟยไม่ยินยอม ข้าก็มิอาจบอกได้”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ก็มิใช่คนใจน้อย หากได้เคล็ดลับเช่นนั้นมากก็ย่อมต้องดีใจมากแน่ แต่หากมิได้ก็มิจำเป็นต้องไปบังคับบีบคั้น เพราะมิอยากให้เจินเมี่ยวลำบากใจนั้นเอง นางจึงเอ่ยขอบคุณอย่างร่าเริง

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่เลิกคิ้วขึ้นหัวเราะแผ่วเบา “ขอให้แค่ชูสยาก็พอแล้ว ข้าคงมิได้ใช้”

 

 

เมื่อได้ยินฉงสี่เอ่ยเช่นนี้ ชูสยาก็รู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมา “นี่ พูดเช่นนี้คล้ายว่าผิวของเจ้าดีกว่าข้ากระนั้นแล!”

 

 

“มิได้จะเปรียบกับเจ้า แต่สตรีก็มักอยากจะงามเพื่อบุรุษตน เจ้าก็จะออกเรือนแล้วมิใช่หรือ?”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่พลันหน้าแดงขึ้นมา นางกระทืบเท้าเร่าๆ “ผู้ใดอยากจะงามเพื่อคนป่าเถื่อนเช่นนั้นกัน”

 

 

เจินเมี่ยวระลึกไปถึงวันที่ได้พบกับองค์ชายรอง แม้นจะมิได้ดูรูปงามท่าทางสุภาพอ่อนโยนเช่นบุรุษต้าโจว แต่กลับหล่อเหลาแข็งแกร่ง ตามรสนิยมของนางแล้วกลับชอบเช่นนี้มากกว่า หากชูสยาจวิ้นจู่ยังมีความคิดเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าภายหน้าจะลำบาก จึงเอ่ยเตือนว่า “ชูสยา ท่านอย่าได้ด่วนสรุปว่าเป็นเช่นนั้นเลย ข้าเคยอ่านบันทึกการเดินทางเล่มหนึ่งบอกว่าทัศนียภาพและขนบธรรมเนียมของหมานเว่ยนั้นน่าสนใจมาก อีกอย่างองค์ชายใหญ่พระองค์นั้นจักต้องเป็นบุรุษองอาจกล้าหาญไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”

 

 

“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?”

 

 

“ข้าเคยพบกับองค์ชายรองมิใช่หรือ ต่างพูดกันว่าพระองค์ทั้งสองรูปโฉมคล้ายกันยิ่ง”

 

 

“เอ๊ะ พูดเช่นนี้ เจ้าคงชื่นชมองค์ชายรองพระองค์นั้นไม่น้อยใช่หรือไม่?” ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นจึงเผลอพูดเสียงดังไปสักหน่อย

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่เตะขานางไปคราหนึ่ง

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กำลังจะถลึงตาคืนให้ แต่เห็นว่ามีนางกำนัลเดินมาเติมสุราพอดีจึงไม่พูดอันใด แล้วคนทั้งสามก็ยิ้มให้แก่กันอย่างไร้สุ้มเสียง

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset