วาสนาบันดาลรัก 272 เกิดความคิด

ตอนที่ 272 เกิดความคิด

นางเถียนอาการทรุดหนักลงมาก ทว่านางมิได้ป่วยเพราะโทสะเช่นครั้งก่อนที่พักเพียงไม่กี่วันอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้น

 

 

ครานี้ดูจะร้ายแรงกว่าแต่ก่อนมาก นางนอนป่วยอยู่บนเตียงหลายวันแต่อาการกลับยิ่งหนักขึ้น ต้องเชิญหมอถึงสามคนมารักษา อาการจึงค่อยๆ ดีขึ้น

 

 

นอกจากคุณชายสามที่ล้มป่วยอยู่นั้น บุตรสาวบุตรชายทุกคนต่างผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลติดต่อกันอยู่หลายวัน อย่าว่าแต่คุณหนูใหญ่สกุลหลัวที่งดงามราวบุปผาต้องสูญเสียความสดใสไป แม้แต่คุณชายรองซึ่งเป็นบุรุษยังนับวันยิ่งผ่ายผอม

 

 

อย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว เมื่อนายท่านรองสกุลหลัวเห็นภรรยาล้มป่วยลงก็มิใช่ว่าจะไม่รู้สึกผิดอันใดเลย จึงได้แต่แข็งใจไม่ไปที่เรือนฝั่งตะวันตก นอกจากไปเยี่ยมนางเถียนที่เรือนหลักแล้วก็อยู่แค่ห้องตำราเท่านั้น

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมิเอ่ยถึงเรื่องที่หลัวจือหยาต้องแต่งออกไปแดนไกลจึงรู้สึกเป็นกังวล สายตาที่คุณชายรองมองบิดาก็แฝงความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวมองคุณชายรองที่มีหน้าตาไม่ต่างอันใดกับคุณชายสามนักก็ได้แต่ทอดถอนใจและรู้สึกเสียใจขึ้นมาที่วันนั้นลงมือหนักเกินไปสักหน่อย

 

 

แม้นจะมีคำกล่าวที่ว่ามารดาเมตตาบิดาเคร่งครัด ไม้เรียวสอนให้บุตรรู้ชอบกตัญญู แต่การตีบุตรชายจนลุกจากเตียงไม่ได้ในช่วงเวลาใกล้วันตรุษเช่นนี้ หากตรองให้ลึกแล้วการกระทำเช่นนี้ก็เพราะมีความเกี่ยวข้องกับสาวใช้ทงฝังของตน นั้นย่อมเป็นเรื่องอันไม่น่าฟังนัก

 

 

กระทั่งนางเถียนดื่มยาเสร็จ นายท่านรองสกุลหลัวก็ไปที่ห้องโถงใหญ่แล้วเอ่ยกับคุณชายรองว่า “แม้นเจ้ากับเจ้าสามจะเกิดห่างกันไม่นาน แต่อย่างไรเจ้าก็เป็นพี่ หากไม่มีธุระอันใดก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเขา สั่งสอนอบรมเขาสักหน่อย ต่อไปจะได้มิกระทำอันใดบุ่มบ่ามอีก”

 

 

คุณชายรองแค่นหัวเราะอยู่ในใจทั้งลอบกล่าวว่าบิดานั้นถูกความงามทำให้ดวงตามืดมัวไปหมดแล้ว

 

 

ยามนี้นอกจากเขาที่เป็นพี่ชายแล้ว บิดามารดาล้วนไม่ทราบว่าเจ้าสามนั้นมีใจให้กับเยียนเหนียงนานแล้ว เพียงเข้าใจว่าเป็นแค่ความเข้าใจผิดเท่านั้น แต่แม้นจะเป็นเช่นนั้นก็ควรจักต้องนำตัวสาวใช้ทงฝังผู้นั้นไปโบยให้ตายหรือขายออกไปให้ไกลเพื่อป้องกันคนที่คิดร้ายหรือเหตุไม่คาดฝันในภายหลัง นั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

 

 

แต่ยามนี้เยียนเหนียงยังคงอยู่ในเรือนฝั่งตะวันตกอย่างมีความสุข ดูท่านางคงมีตำแหน่งในใจของบิดาไม่น้อย

 

 

“ลูกทราบแล้วขอรับ” ใบหน้าของคุณชายรองเต็มไปด้วยความอ่อนโยนคล้อยตามบิดา

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวพอใจยิ่ง

 

 

ในบรรดาบุตรทุกคน เจ้ารองเป็นคนที่ได้ดั่งใจเขาที่สุด

 

 

“นายท่าน ต้าไหน่ไหน่มาเจ้าค่ะ”

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวและคุณชายรองต่างสบตากัน

 

 

ปรกติแล้วเวลาเช่นนี้พวกเราไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยามนี้นางเถียนล้มป่วย ทั้งเป็นช่วงใกล้วันตรุษ ศาลาว่าการต่างๆ ล้วนหยุดทำการ จึงเป็นกรณีพิเศษ

 

 

“เชิญต้าไหน่ไหน่เข้ามา” นายท่านรองสกุลหลัวเอ่ยปาก

 

 

ไม่นานเจินเมี่ยวก็เดินเข้ามา อาหลวนและชิงเกอคอยตามติดอยู่ด้านหลัง ในมือพวกนางต่างก็มีสิ่งของ

 

 

“ท่านอารอง หลานสะใภ้มาเยี่ยมท่านอาสะใภ้เจ้าค่ะ วันนี้อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”               เจินเมี่ยวย่อกายคารวะ

 

 

กล่าวไปแล้วก็รู้สึกจนใจยิ่ง เมื่อนางเถียนล้มป่วยลง การดูแลจวนทุกอย่างก็มิอาจยึดกุมเอาไว้ ได้แต่ปล่อยให้เจินเมี่ยวทั้งหมด

 

 

เคราะห์ดีที่เจินเมี่ยวมิใช่พวกแม้นตายก็มิยอมเสียหน้า เรื่องใดที่นางไม่เข้าใจก็จะไปหานางซ่งและนางชีให้ช่วยชี้แนะ เมื่อไปมาหาสู่กันบ่อยเข้านางก็ค่อยๆ สนิทสนมกับอาสะใภ้ทั้งสองขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

 

 

นางชีนั้นก็แล้วไปเถิด อย่างไรก็มิได้สนใจเรื่องดูแลจวนมาหลายปีแล้ว แม้นจะเป็นคนฉลาดแต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่นางซ่งนั้นมิใช่

 

 

เดิมก็มาจากชาติตระกูลสูงศักดิ์ เรื่องการถูกอบรมมาอย่างดีนั้นมิต้องพูดถึง แต่ความฉลาดนั้นนับว่าหาตัวจับได้ยากยิ่ง หลายปีมานี่นางเถียนมีอำนาจในการดูแลจวนแต่เพียงผู้เดียว แม้นนางมิได้ยื่นมือเข้าแทรก แต่ก็มองดูอยู่ตลอด นางจึงรู้ดีว่าเรื่องใดควรจัดการอย่างไร

 

 

มีเพียงแม่นมของนางที่รู้สึกไม่ชอบใจ ได้แต่เอ่ยตัดพ้อว่า “ฮูหยินรองมิใช่สะใภ้ใหญ่ ชาติกำเนิดก็มิเท่าใด แต่กลับได้ดูแลจวนนับสิบปี ยามนี้ล้มป่วยลง แต่ท่านกลับเป็นได้เพียงผู้ช่วยเช่นเดิม?”

 

 

ครั้นวาจานี้กล่าวออกมาก็ถูกนางซ่งวนกลับทันควัน “งานของพี่สะใภ้รองนั้นเหนื่อยจนแทบสิ้นชีวิต แต่กลับกลายเป็นเพียงการตัดอาภรณ์เจ้าสาวให้ผู้อื่น ตนมิได้ประโยชน์อันใดเลย แล้วข้าจะไปทำหน้าที่นี้ให้เหนื่อยทำไม? ไม่สู้คอยช่วยเหลือหลานสะใภ้ให้นางค่อยๆ เก่งขึ้น ภายหน้าต้าหลังกับเจ้าสี่ปรองดองรักใคร่กัน ข้าก็พลอยสุขสบายไปด้วย ต่อไปอย่าพูดอันใดทำนองนี้อีก! ”

 

 

นางได้แต่แค่นยิ้มในใจ นางเถียนแม้นตระกูลจะร่ำรวยแต่กลับมิได้สูงศักดิ์อันใด ชาติกำเนิดที่ไม่สมบูรณ์พร้อมย่อมหล่อหลอมคนที่หูตาคับแคบ ความคิดตื้นเขิน

 

 

นางซ่งมีใจส่งเสริม นางชีอยากตอบแทนบุญคุณ นางซาบซึ้งใจยิ่งที่เจินเมี่ยวตามหานายท่านสี่กลับคืนมาได้ทั้งยังแสดงจุดยืนอันชัดเจนกับหูอี๋เหนียง เจินเมี่ยวเองก็มิใช่คนโง่งม จวนกั๋วกงใหญ่โตเพียงนี้ ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงใกล้วันตรุษยิ่งมีงานมากมายให้จัดการ แต่นางก็มิเคยทำผิดพลาดเลยสักอย่าง หรือแม้แต่เข้าไปรบกวนฮูหยินผู้เฒ่าสักครั้งก็ไม่มี

 

 

แต่เพราะเป็นเช่นนี้ ทุกวันเจินเมี่ยวนั้นยุ่งจนเท้ามิติดพื้น ปากก็เกิดแผลร้อนใน แม้นจะเป็นเช่นนี้แต่เจินเมี่ยวก็ยังต้องไปเยี่ยมนางเถียนทุกวันเพื่อแสดงความห่วงใยในฐานะหลานสะใภ้

 

 

แม้นจะเสียเวลาไปบ้างเจินเมี่ยวกลับมิได้รู้สึกอันใด แต่ใจนางต่างหากที่นับวันยิ่งรู้สึกไม่ชอบคนบ้านรองเข้าไปทุกที แต่กลับต้องคอยระวังสายตาของคนรอบข้างทำให้รู้สึกเจ็บใจอยู่บ้าง

 

 

ยุคสมัยนี้นั้นคำว่ากตัญญูแทบจะทับคนตายได้เลยทีเดียว เจินเมี่ยวรู้สึกโชคดียิ่งที่คนผู้นั้นมิใช่แม่สามีนาง

 

 

หากแม่สามีคิดจะทรมานสะใภ้นั้นมีวิธีมากมาย มิต้องพูดไกล แค่นางเถียนล้มป่วยลง สะใภ้ก็ต้องมาคอยปรนนิบัติทั้งกลางวันกลางคืน ผู้ใดจะบอกว่า ‘ไม่’ ได้เล่า

 

 

กลางวันยังพอทำเนาแต่หากกลางคืนเอาแต่ตื่นนอน ประเดี๋ยวเอาน้ำ ประเดี๋ยวดื่มชา นวดขาทุบหลัง ถูกทรมานเช่นนี้สักสามวัน แม้แต่คนดีก็อาจต้องสลัดคราบอันแสนดีนั้น เมื่อกลับถึงเรือนตนก็มิต้องเอ่ยถึงเวลาในการปรนนิบัติสามีเลย แค่มิล้มป่วยตามไปด้วยก็นับว่าดียิ่งแล้ว

 

 

มีคนมากมายที่เจตนากดข่มสะใภ้ โดยอาศัยโอกาสเช่นนี้ส่งสตรีไปเพิ่มในเรือนบุตรชายตน หรือไม่สามีก็ถูกสาวใช้ทงฝังยึดตัวไว้เพราะภรรยาไม่มีเวลาปรนนิบัติ

 

 

หากจะกล่าวว่าเหตุใดเจินเมี่ยวจึงรู้เรื่องอันบิดเบี้ยวเหล่านี้ได้นั้นก็คงเป็นเพราะเจินเหยียนนั้นแล สองพี่น้องมีความผูกพันที่ลึกซึ้ง เจินเมี่ยวเป็นห่วงเจินเหยียนจึงพยายามหาเวลาว่างไปเยี่ยมนางด้วยตนเองสักครั้ง จึงได้ฟังเรื่องเหล่านี้จากปากเจินเหยียนเอง

 

 

ตอนนั้นเจินเมี่ยวถึงกับอึ้งไปเลย ปฏิกิริยาแรกคือ อามิตตาพุทธ โชคดีที่นางไม่แม่สามี และท่านย่าก็เป็นคนใจดี

 

 

ต่อมาก็ต้องปาดเหงื่อด้วยความละอาย บุรุษในใต้หล้ามีผู้ใดบ้างไม่มีบิดามารดา นางคิดเช่นนี้ออกจะเห็นแก่ตัวไปหรือไม่

 

 

มิต้องพูดถึงผู้อื่น หากมารดาของหลัวเทียนเฉิงยังอยู่ เขาก็อาจจะไม่มีปมเช่นนั้นเป็นแน่

 

 

หลายวันมานี่หลัวเทียนเฉิงพอมีเวลาว่างอยู่สักหน่อยจึงคอยอยู่กับนางทั้งวันทั้งคืน แม้นมิได้ทำเรื่องเช่นนั้น แต่เขากลับอ่อนโยนกับนางมาก ทั้งเอาใจนางสารพัด

 

 

เจินเมี่ยวมิใช่คนแสนงอน หากตัดรูปลักษณ์ดุจบุปผางามของนางออกไปแล้วนางก็มีอุปนิสัยคล้ายเด็กหนุ่มที่ใจกล้าเปิดเผย เมื่อคนทั้งสองอยู่ด้วยกันทุกวันความสัมพันธ์ก็นับวันดีขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ครั้นได้ฟังวาจานั้นของเจินเหยียน ความสงสารภายในใจที่มีต่อหลัวเทียนเฉิงก็เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

 

 

หลังจากนั้นเจินเมี่ยวก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อเอ่ยถามถึงความหมายในวาจาที่เจินเหยียนกล่าว หรือแม่สามีของนางก็ใช้เล่ห์กลเหล่านี้กับนางเช่นกัน

 

 

ความจริงเจินเหยียนนั้นคอยเป็นห่วงน้องสาวผู้ออกจะใสซื่อผู้นี้อยู่บ้าง แม้นบางเรื่องจะมิควรบอกผู้อื่น แต่เพื่อให้น้องสาวมิเดินผิดทางนางจึงต้องบอกเล่าเรื่องราวที่แท้จริงอยู่หลายส่วน

 

 

ที่แท้มิใช่แม่สามีที่รังแกนาง แต่กลับเป็นย่าของเขาต่างหาก

 

 

อย่างที่เคยพูดไปแล้วว่า เหล่าไท่จวินจวนเสนาบดีนั้นลำบากมาตั้งแต่เยาว์วัย ฐานะยากจน แม้นต่อมาจะกลายเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่การกระทำเรื่องบางอย่างก็ผิดแปลกไปสักหน่อย มิได้เป็นไปอย่างที่คนมีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายทำกัน

 

 

จุดที่ชัดที่สุดคือนางนั้นให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างที่สุดแต่กลับกระทำกลับเป็นอีกอย่าง และการกดข่มหลานสะใภ้ก็เป็นอีกกลวิธีหนึ่ง

 

 

เจินเหยียนเล่าถึงแผนการต่างๆ ที่เหล่าไท่จวินนำมาใช้กับนาง และนางตอบโต้คืนอย่างไรให้เจินเมี่ยวฟัง

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วถึงกับถอนหายใจติดๆ กันออกมา “แม้แต่ยามที่กำลังตั้งครรภ์ท่านก็ยังต้องมาคอยกังวลใจ”

 

 

เจินเหยียนกุมท้อตนแล้วยิ้ม “สตรีในใต้หล้า หากแม้นออกเรือนไปแล้วจะมีผู้ใดบ้างที่จะไม่กังวล เจ้าแค่เป็นคนโง่ที่มีวาสนาก็เท่านั้น”

 

 

แม้นจะกล่าวเช่นนี้แต่น้องเขยผู้นั้นของนางก็มีสาวใช้ทงฝังอยู่สองสามคนมิใช่หรือ แต่ตระกูลบัณฑิตเช่นจวนเสนาบดีมิเคยจัดหาสาวใช้ทงฝังให้กับคุณชายก่อนที่จะแต่งภรรยามาก่อน นี่เป็นข้อดีกว่าตระกูลสูงศักดิ์อยู่บ้าง

 

 

เพียงแต่วาจานี้อาจแทงใจน้องสาวตน เจินเหยียนจึงมิได้เอ่ยถึง เมื่อคิดได้ว่านางตั้งครรภ์เช่นนี้แต่สามีกลับมีนางเพียงคนเดียวจึงเก็บความเขินอายนั้นไว้แล้วเล่าถึงเคล็ดลับนั้นให้เจินเมี่ยวฟัง

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วถึงกับอ้าปากตาค้าง

 

 

นางคิดว่าสตรีโบราณจักต้องเก็บงำและสงวนท่าที คิดไม่ถึงว่าจะเข้าใจผิดมหันต์ นางรู้สึกตกใจยิ่งแต่ขณะเดียวกันก็ซาบซึ้งยิ่ง สมแล้วที่เป็นพี่น้องกัน เพราะนางถึงกับยอมบอกเรื่องเช่นนี้กับตนเพื่อต่อไปนางจักได้มิเสียเปรียบผู้อื่น

 

 

การไปจวนเสนาบดีครั้งนี้ทำให้ความผูกพันระหว่างพี่น้องลึกซึ้งขึ้นไปอีกอย่างมิต้องสงสัย

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกไม่ชอบใจจึงมองเจินเมี่ยวแววตาที่แฝงความเย็นชา แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “อาสะใภ้เจ้าดีขึ้นแล้ว เข้าไปเถิด”

 

 

แล้วส่งสัญญาณให้คุณชายรองเดินออกไปกับเขา แต่เมื่อชำเลืองมองก็เห็นว่าสายตาของเขานั้นมัวแต่จ้องอยู่ที่ใบหน้าเจินเมี่ยวจึงอดกระแอมไอขึ้นมามิได้

 

 

คุณชายรองจึงละสายตาจากนางแล้วเดินตามนายท่านรองสกุลหลัวออกไปด้านนอก แต่จิตใจกับลอยละล่องไปแสนไกลแล้ว

 

 

หากกกล่าวกันที่รูปโฉม พี่สะใภ้กับเยียนเหนียงก็งดงามดุจบุปผาในยามวสันต์ไม่ต่างกัน แต่เหตุใดวันนั้นที่เขาเห็นนางครั้งแรกกลับใจเต้นระรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เล่า? ทว่าเมื่อพบกับพี่สะใภ้เขากลับไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย

 

 

คุณชายรองยอมรับว่าตนมิใช่คนหลงใหลในอิสตรีถึงเพียงนั้น แม้นในเรือนจะมีสาวใช้ทงฝังถึงสองคน แต่นอกจากความอยากรู้อยากลองเมื่อคราแรกเริ่มนั้นแล้ว เขาก็ไปหาสาวใช้ทงฝังเพียงเดือนละสองสามครั้งเท่านั้น และมิใช่ว่าไม่เคยไปยังสถานที่เช่นนั้นกับสหาย แม้นเขาจะไปด้วยแต่ทุกคราที่เห็นสตรีที่คอยมาต้อนรับเหล่านั้นเขาก็รู้สึกกระดากใจ กระทั่งไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดพวกเขาจึงเข้าไปเกลือกกลั้วด้วย ในความคิดเขานั้นหากต้องการก็มิสู้กลับมาหาสาวใช้ทงฝังของตนดีกว่า อย่างไรก็สะอาดกว่า

 

 

หนุ่มน้อยน้อยย่อมเต็มไปด้วยพละกำลัง อย่างไรก็ต้องมีที่ระบายบ้าง คุณชายรองมิใช่คนลุ่มหลงนารีแต่กลับเอาความคิดและจิตใจวางไว้กับการเล่าเรียนและบิดามารดา

 

 

เรื่องเล่าเรียนนั้นมิจำเป็นต้องพูดถึงแต่เหตุใดจึงเอ่ยถึงบิดามารดาเล่า?

 

 

พูดไปแล้วก็ไม่มีอันใดซับซ้อนเลย คุณชายรองนั้นเป็นคนฉลาด คนฉลาดก็ย่อมมีความทุกข์ของคนฉลาด

 

 

บิดามารดาต่างใช้เล่ห์กลทำให้เขาสับสนมาตั้งแต่เยาว์แล้ว ทำให้เขาคิดว่าบิดามารดารักพี่ใหญ่มากกว่า แต่เมื่อเริ่มโตขึ้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลยิ่ง หลังจากที่เขาได้เข้าไปร่วมตามหาพี่ใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายผู้นั้นด้วยตนเอง ความจริงทุกอย่างก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

 

 

ในชั่วขณะที่เข้าใจความจริงทั้งหมด หลัวจากความตกใจนั้นผ่านไป ความรู้ละอายที่เปราะบางดุจหมอกควันสายหนึ่งก็ถูกความอยากรู้อยากเห็นเข้ามาบดบังแทน

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเอาตัวเองไปเปรียบกับพี่ใหญ่ตลอด แต่ก็มิเคยยอมจำนนเลยสักครั้ง เส้นทางนี้ที่บิดามารดาเลือกคล้ายได้ชี้แนะแนวทางให้เขาแล้ว!

 

 

คุณชายรองเม้มริมฝีปากตนแล้วหันหลังกลับไปก็เห็นชายกระโปรงสีชมพูหม่นหายลับไปหลังผ้าม่านก็ยิ้มออกมา

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset