วาสนาบันดาลรัก 266 อาละวาด

ตอนที่ 266 อาละวาด

“ท่านแม่…” หลัวจือหยาสะดุ้งตกใจคราหนึ่ง นางยกกระโปรงเดินหลบเศษกระเบื้องที่แตกกระจายไปทั่วบริเวณเข้าไปในห้อง 

 

 

“หยวนเหนียง มิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่?” นางเถียนเห็นว่าผู้ที่เข้ามาคือบุตรสาวก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา จึงรีบจูงหลัวจือหยานั่งลง แล้วพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า 

 

 

ครั้นเห็นว่ามีเพียงกระโปรงที่เปื้อนคราบน้ำชาก็ผ่อนลมหายใจโล่งออกมา “ใกล้จะถึงวันตรุษแล้ว ประเดี๋ยวแม่จะเชิญช่างตัดเย็บมาวัดตัวตัดชุดให้เจ้า” 

 

 

ในจวนแห่งนี้ อาภรณ์ที่หลัวจือหยาใส่เป็นประจำนั้นล้วนมีแต่ใหม่ไม่มีเก่า นางย่อมมิได้ใส่ใจอันใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเพียงยิ้ม “ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ” 

 

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ นั้นของบุตรสาว นางเถียนก็ยิ่งเสียใจ 

 

 

สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนปิดภาคเรียนแล้ว เจ้ารองกับเจ้าสามกลับไม่เห็นแม้แต่เงา ส่วนเจ้าหาก็ไม่รู้ด้วยเหตุใดระยะนี้จึงชอบไปที่เรือนอวี้หยวนนัก 

 

 

ส่วนบุตรสาวของอนุผู้นั้นยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเลย ยามนี้มีแค่หยวนเหนียงที่ใส่ใจนางที่สุด 

 

 

ทว่าบุตรสาวที่รักเอาใจใส่นางผู้นี้ไม่นานก็ต้องแต่งออกไปดินแดนหมานเหว่ยอันแสนไกล ชั่วชีวิตมิอาจพบหน้า 

 

 

ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางเถียนก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ 

 

 

ช่วงเวลานี้ช่างยากจะผ่านพ้นไปได้จริงๆ! 

 

 

สีหน้านางเถียนยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก หลัวจือหยาประคองแขนนางไว้ “ท่านแม่ เขาไปเรือนฝั่งตะวันตกอีกแล้วหรือ?” 

 

 

นางเถียนขมวดคิ้วขึ้นตามสัญชาตญาณ “หยวนเหนียง นั้นบิดาของเจ้านะ เรียก ‘เขา’ ได้อย่างไร หากเรื่องนี้แพร่ออกไปผู้คนคงขบขันยิ่ง” 

 

 

“เขายังนับเป็นบิดาผู้ใดได้?” ในแววตาหลัวจือหยาแรงแค้นออกมา แต่ก็เลือนหายไปอยากรวดเร็ว นางแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ในใจของเขาจะเคยคิดถึงบุตรสาวที่ต้องแต่งออกเรือนไปแดนไกลเช่นข้าสักนิดหรือไม่? เกรงว่าใจของเขาคงมีแต่นางปีศาจจิ้งจอกผู้นั้นกระมัง!” 

 

 

ความผิดหวังและเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ท่าทีอ่อนโยนนั้นของหลัวจือหยาค่อยๆ เลือนหายไป แววตาเ**้ยมเกรียมขึ้นอย่างที่มิอาจพบเห็นได้ในคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป 

 

 

ครั้นได้ยินบุตรสาวถึงเรื่องนี้ นางเถียนก็โกรธเสียจนหัวใจเจ็บปวดไปหมด 

 

 

ตั้งแต่ตัวภัยพิบัตินั้นเข้าเรือนมา ท่านพี่ก็มิเคยไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย ไปค้างแรมที่นั่นทุกคืนยังพอว่า แม้แต่กลางวันก็ยังห้ามขาตัวเองมิให้วิ่งไปที่นั่นมิได้! 

 

 

ยามนี้หรือ อย่าว่าแต่ออกนอกจวนเลย แค่ระหว่างทางที่เดินไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าบ่าวไพร่กำลังหัวเราะขบขันนาง! 

 

 

“ท่านแม่ ท่านย่าก็มิจัดการให้หรือ?” 

 

 

นางเถียนเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ท่านย่าเจ้ายังพูดเป็นเชิงเหน็บว่าข้าทำตนเองด้วยซ้ำ!” 

 

 

หึ หญิงชรานั้นลำเอียงเกินไปแล้ว แม้นนางจะวู่วามไปบ้างแต่ตนเป็นถึงผู้อาวุโสจะไม่ช่วยจัดการให้จริงๆ หรือ? แต่เมื่ออนุที่มีบุญคุณช่วยชีวิตนายท่านสี่ทั้งยังมีบุตรชายด้วยกันอีกเข้าจวนมา นางกลับให้ท้ายนางหูมากกว่า ครั้นถึงทีนางกลับปล่อยปละไม่สนใจ! 

 

 

นางเถียนคิดแล้วก็โมโหนัก แต่วาจาของฮูหยินผู้เฒ่าในวันนั้นก็นับว่าเข้าหูนางอยู่บ้าง 

 

 

แม่นมเถียนเองก็เคยเตือนนางว่าฮูหยินผู้เฒ่าพูดมีเหตุผล นางจิ้งจอกนั้นงดงามเกินคนทั่วไปยิ่ง หากใช้อำนาจไปบังคับผลลัพธ์คงไม่ดีนัก มิสู้ให้ท่านพี่ละเล่นจนเบื่อหน่ายแล้วค่อยว่าอีกที 

 

 

นางเข้าใจเหตุผลนี้ดี ทว่าทุกคราที่ได้เห็นท่านพี่ผู้แต่ก่อนน้อยนักจะไปหาสาวใช้ทงฝังทำตัวไม่ห่างจากเรือนฝั่งตะวันตกอยู่ทุกเช้าค่ำก็เจ็บปวดดั่งมีมีดมากรีดที่ใจกระนั้น 

 

 

ถึงตอนนี้นางเถียนจึงรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา 

 

 

หากรู้เช่นนี้แต่แรกก็จะมิเอามาไว้ใต้หนังตาให้มันถือมีดกรีดใจนางทุกวันเป็นแน่ 

 

 

ตามอุปนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว หากอนุนอกเรือนมีบุตรขึ้นมา จวนกั๋วกงจักต้องไม่ยอมรับเด็ดขาด 

 

 

“ท่านแม่ แล้วท่านเล่า ท่านจะให้สาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งนั่งทับศีรษะหรืออย่างไร?” หลัวจือหยาไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามารดาที่ดูแลจวนมานับสิบปี บ่าวไพร่ในจวนทุกคนต่างก็เชื่อฟังกลับมิอาจจัดการได้แม้แต่สาวใช้ทงฝังผู้หนึ่ง 

 

 

นางเถียนถอนหายใจ “ประเดี๋ยวก็วันตรุษแล้ว หรือจักต้องก่อเรื่องจนเป็นที่น่าขบขันขึ้นมาให้ได้? ผ่านไปอีกสักระยะค่อยว่ากันเถิด” 

 

 

ถึงตอนนี้นางยิ่งรู้สึกว่าตนออกจะวู่วามเกินไปอยู่บ้าง 

 

 

มีวาจาประโยคหนึ่งที่หญิงชรานั้นพูดถูกยิ่ง 

 

 

ต่อให้เป็นเรื่องเดียวกันแต่ก็ต้องดูรายละเอียดปลีกย่อยของมันด้วย มิอาจจัดการตามวิธีเดิมที่เคยทำได้ 

 

 

หากสตรีผู้นั้นที่เรือนฝั่งตะวันตกคือซูเหนียง นางคงมิต้องแม้แต่จะชักสีหน้าก็จัดการได้เสียอยู่หมัด 

 

 

หากมีซูเหนียงที่เข้าเรือนมาก่อนหน้านี้อยู่ ท่านมีคงไม่กล้าเลี้ยงอนุไว้นอกเรือนอีกคนแน่ 

 

 

แต่นางก็ไม่ยอมท่าเดียวจนต้องขายซูเหนียงออกไป ครั้นหากเยียนเหนียงเข้ามาอยู่ในจวนอีกแล้วฮูหยินผู้เฒ่ายังช่วยจัดการแทนนางอีก คนทั่วเมืองหลวงคงได้นินทาว่านางเป็นคนใจคอคับแคบขี้อิจฉาเป็นแน่ 

 

 

หลัวจือหยาฟังวาจาเช่นนี้ของนางเถียนแล้วกลับรู้สึกว่ามารดาอ่อนแอเกินไป 

 

 

นางกัดฟันคราหนึ่งแต่ก็มิได้เอ่ยอันใดอีกเพียงอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับนางเถียนครู่หนึ่งก็กลับ 

 

 

ครั้นกลับถึงเรือนตนแล้วก็กำชับสาวใช้คนสนิทว่า “ไปเฝ้าสังเกตดูสิว่านายท่านจะออกจากเรือนเมื่อใด แล้วรีบมาบอกข้า” 

 

 

ยังมิทันถึงยามเที่ยง สาวใช้ผู้นั้นก็มาเอ่ยบอกเสียงแผ่วว่า “คุณหนูใหญ่ นายท่านส่งคนไปแจ้งฮูหยินว่าจะออกไปเยี่ยมสหายเจ้าค่ะ” 

 

 

หลัวจือหยาลุกขึ้นยืนทันที แล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ทำดีมาก!” 

 

 

นางมองสาวใช้ที่อยู่ทั่วห้องรอบหนึ่งแล้วชี้ไปที่คนทั้งสี่ “พวกเจ้าตามข้าไปเรือนฝั่งตะวันตก!” 

 

 

“คุณหนูใหญ่!” สาวใช้ที่ติดตามหน้าซีดเผือดไปทันที 

 

 

คนอื่นๆ ต่างหันไปสบตากัน 

 

 

หลัวจือหยาเม้มริมฝีปากแน่น แค่นเสียงเย็นว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนเป็นคนของจวนแห่งนี้ ตามข้าไปคงลำบากใจ แต่วาจาไม่น่าฟังคือต่อจากนี้ต่างหาก ผู้ใดไม่ตามข้าไปก็มิเป็นไร ทว่าหากปากพล่อยแพร่งพรายเรื่องนี้ก็อย่ากล่าวหาว่าข้าไร้น้ำใจแล้วกัน!” 

 

 

กล่าวจบก็หันไปมองสี่คนนั้นแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าทั้งสี่ล้วนเป็นนางกำนัลจากวังหลวง ปีหน้าก็ต้องตามข้าไปดินแดนหมานเหว่ยแล้ว หากนับถือข้าเป็นนายเพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้าก็ตามข้ามา หากไม่ เช่นนั้นข้าก็จะหาโอกาสทูลต่อหวงโฮ่วว่าบ่าวไพร่ที่ใช้การไม่ได้ข้าคงมิบังอาจรับไว้” 

 

 

แม้นหลัวจือหยาที่แต่งออกไปดินแดนหมานเหว่ยอันไกลโพ้นจะมิได้ดูสำคัญเท่ากับองค์หญิง แต่ก็มิใช่ไม่สำคัญเลย 

 

 

อย่างไรเสียองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองก็เป็นพี่น้องที่รักใคร่กันยิ่ง องค์ชายรองเองก็มีอำนาจไม่น้อยในดินแดนหมานเหว่ย ก่อนที่หลัวจือหยาจะออกเรือนย่อมต้องมีโอกาสได้เข้าวังเพื่อรับคำแนะนำอันควรปฏิบัติ 

 

 

กล่าวคำเหล่านี้จบ หลัวจือหยาก็หมุนกายเดินจากไปทันที 

 

 

นางกำนัลทั้งสี่มองสบตากัน ทว่าแม่นมหน้าตาดุดันผู้หนึ่งกลับตัดสินใจก่อนผู้ใด นางเดินตามหลัวจือหยาไปแล้วแวะหยิบไม้คบเพลิงที่เรือนปีกข้างด้วย 

 

 

แม่นมอีกผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้นก็ทำตาม 

 

 

ส่วนนางกำนัลหน้าละอ่อนสองคนกลับมิได้หยิบอันใดไป 

 

 

หลัวจือหยาชำเลืองกลับมามองคราหนึ่ง นางยิ้มแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น 

 

 

นางจักต้องอาละวาดให้สะใจที่สุดก่อนที่มารดาจะทราบ มารดาจะได้มิมาขัดขวางนาง! 

 

 

เยียนเหนียเป็นแค่สาวใช้ทงฝังธรรมดาแต่กลับถูกทะนุถนอมรักใคร่อย่างที่สุด ไม่เพียงมีสาวใช้คอยติดตามดูแลแต่ยังมีสาวใช้ร่างบึกไว้ใช้แรงงานอีกสองคน 

 

 

เรือนฝั่งตะวันตกเก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง สาวใช้ร่างบึกสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่หน้าประตู 

 

 

“โธ่ ข้าอยู่ในจวนมาจนอายุปูนนี้แล้ว เห็นนายท่านรองมาตั้งแต่เป็นหนุ่มหน้าหยกกระทั่งถึงยามนี้ แต่มิเคยเห็นนายท่านรองรักใคร่ถนอมหญิงใดเท่านี้มาก่อน” 

 

 

“ข้าก็ว่าเช่นนั้น นายท่านรองผู้นี้ รักถนอมยิ่ง ใส่ปากไว้ก็กลัวจะลาย ถือไว้ในมือก็กลัวจะทำร่วง ทั้งที่ยังไม่มีบุตรด้วยซ้ำ หากต่อไปมีคุณชายน้อยๆ จักต้องได้เลื่อนเป็นอนุแน่” 

 

 

สาวใช้ร่างบึกที่เอ่ยพูดก่อนหน้ากลับเผยยิ้มล้ำลึกขึ้นคราหนึ่ง 

 

 

มีคุณชายหรือ? 

 

 

หึๆ ตั้งแต่แม่นางท่านนี้เข้าจวนมา นางก็ได้รับคำสั่งให้ใส่ยาคุมกำเนิดผสมลงไปในน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่ทุกวัน 

 

 

นายท่านรองหลีกเลี่ยงไม่ใช้สาวใช้ที่ฮูหยินรองเลือกแต่กลับไม่รู้ว่านางเป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่า 

 

 

อย่าเห็นว่านางเป็นเพียงบ่าวไพร่ผู้หนึ่ง ไม่รู้จักอักษรแม้สักตัวแต่นางกลับเข้าใจความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าได้เป็นอย่างดี 

 

 

ผู้มีศักดิ์เป็นย่า ไหนเลยจะไม่อยากมีลูกหลานเพิ่มพูน แต่ผู้ใดจะมีบุตรก็ได้แต่ต้องมิใช่สตรีผู้นี้ 

 

 

สตรีที่งดงามจนแทบล่มเมืองได้เช่นนี้ หากให้กำเนิดคุณชายน้อยขึ้นมาสักคนนั้นย่อมง่ายต่อการชักนำหายนะมาสู่จวนได้จริงๆ นั้นแล 

 

 

นางรู้ดีแก่ใจว่าสตรีผู้นี้คงมิอาจให้กำเนิดบุตรได้ไปตลอดชีวิต แต่ปากกลับเอ่ยคล้อยตามสาวใช้ผู้นั้น “ข้าก็คิดเช่นนั้น หากแม่นางท่านนี้มีบุตรชายขึ้นมา นายท่านคงต้องรักใคร่ทะนุถนอมยิ่งเป็นแน่” 

 

 

ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็เห็นหลัวจือหยาเดินอาดๆ เข้ามา สาวใช้สองคนจึงอดมองอย่างตกตะลึงมิได้ 

 

 

ช่วงเวลาที่มัวอึ้งงันอยู่นั้น หลัวจือหยาก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เยียนเหนียงอยู่ข้างในหรือไม่?” 

 

 

“อยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพูดขึ้นก่อน 

 

 

“หึ พวกเราเข้าไปกัน” หลัวจือเดินอ้อมสาวใช้สองคนเข้าไปด้านใน 

 

 

สาวใช้อีกผู้หนึ่งเริ่มลนลาน จึงรีบเข้าไปขวางพลางเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านจะ…” 

 

 

“บังอาจ!” ข้าแค่มาเยี่ยมเยียนเหนียง เจ้ากล้ามาขวางหรือ? หลัวจือหยาเอ่ยถามเสียงกร้าว 

 

 

สาวใช้สกุลหลี่เห็นที่เกรี้ยวกราดเช่นนั้นของหลัวจือหยาก็ไม่กล้าขวางอีก 

 

 

นางเถียนดูแลจวนมานับสิบปี คุณหนูใหญ่ท่านนี้เป็นบุตรของฮูหยินในจวนกั๋วกง หากบอกว่าไม่มีอำนาจให้บ่าวไพร่ยำเกรงสักนิดนั้นคงเป็นไปไม่ได้ 

 

 

หลัวจือหยาพาคนของนางเดินเข้าไป 

 

 

ส่วนสาวใช้สกุลซุนที่เอ่ยตอบในตอนแรกนั้นกลับคิดจะขวางไว้อีก แต่ถูกแม่นมที่ติดตาม  หลัวจือหยามาผลักออกไปเสียก่อน 

 

 

เสียงเอะอะโวยวายดังเพียงนี้จึงทำให้คนภายในห้องตกใจ สาวใช้น้อยผู้นี้ที่ยืนอยู่หน้าห้อง ร้องเอ็ดขึ้นว่า “เสียงดังอันใด รบกวนเวลาพักผ่อนของอี๋เหนียงรู้หรือไม่” 

 

 

ครั้นเห็นว่าเป็นหลัวจือหยาก็ตกใจจนถึงกับเอ่ยตะกุกตะกัก “คุณ..คุณหนูใหญ่” 

 

 

หลัวจือหยาแค่นยิ้มเย็น “อี๋เหนียง เหตุใดข้าจึงไม่รู้ว่าบ้านรองยังมีอนุอีกคนเล่า?” 

 

 

สาวใช้ผู้นั้นตกใจหน้าเหลอหลา 

 

 

เยียนเหนียงมิได้มีตำแหน่งอันใด ความหากเปรียบกันแล้วสาวใช้ทงฝังก็มีฐานะสูงกว่าสาวใช้ทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เห็นมาตลอดว่านายท่านรองรักใคร่ถนอมนางยิ่ง ทุกคนต่างก็ทราบกันดีจึงเรียกนางว่าอี๋เหนียงเพื่อเป็นการประจบเอาใจไว้ก่อน 

 

 

มิเช่นนั้นคงไม่มีทางเรียกว่าอี๋เหนียงแน่ 

 

 

หลัวจือหยาเดินผ่านสาวใช้น้อยนั้นเข้าไปด้านใน 

 

 

มีสตรีชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ห้องด้านนอก นางย่อกายทำความเคารพคราหนึ่ง “คารวะคุณหนูใหญ่” 

 

 

นางก้มหน้างุด น้ำเสียงถ่อมตน ท่าทีนบน้อม แต่แผ่นหลังกลับตรงดุจพู่กันประหนึ่งต้นเหมยเกิดในหุบเขาสูงเมื่อลักษณะเฉพาะของดอกเหมยเข้าไปก็ดูงดงามขึ้นอีกหลายส่วน 

 

 

ความงามนั้นแม้แต่หลัวจือหยาที่เป็นดรุณีน้อยยังคล้ายต้องมนต์สะกด กระทั่งอดมองอยู่หลายครามิได้ 

 

 

แต่ไม่นานนางก็ได้สติคืนมา มิรอให้เยียนเหนียงเอ่ยปากอีกก็โบกสะบัดมือขึ้น “พังให้หมด!” 

 

 

บิดาช่างรู้จักรักถนอมคนนัก การตกแต่งภายในห้องนี้นั้นมิด้อยไปกว่าห้องนางสักเท่าใดเลย 

 

 

ไม่สิ แจกันดอกเหมยที่วางอยู่ข้างหน้าต่างนั้น นางเคยเห็นมันถูกวางอยู่ในห้องตำราของบิดา นางเห็นครั้งแรกก็ชอบทันที แต่บิดาก็มิเคยเอ่ยว่ายกมันให้นาง 

 

 

สตรีผู้นี้ งดงามจนน่ากลัว หากนางมิระบายแค้นแทนมารดาก่อนออกเรือน ต่อไปคงไม่มีโอกาสอีก อย่างไรเสียเมื่อมีคนใช้คำว่า ‘อี๋เหนียง’ วันนี้ก็นับว่ามีเหตุผลในการลงมือแล้ว! 

 

 

เสียงเพล้งพล้างดังขึ้นคราหนึ่ง ทุกอย่างภายในห้องระเนระนาดไปหมด 

 

 

เยียนเหนียงเพียงเม้มปากยืนนิ่งมิเอ่ยวาจา 

 

 

นางเถียนทราบข่าวก็รีบนำคนมาทันที “หยุดเดี๋ยวนี้!” 

 

 

เดิมก็ทุบพังข้าวของจนเกือบหมดแล้ว เมื่อหลัวจือหยาร้องไห้หยุดก็ชำเลืองมองเยียนเหนียงคราหนึ่ง แล้วเอ่ยกับนางเถียนว่า “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร?” 

 

 

“เจ้าลูกคนนี้ ช่างทำตัวเหลวไหลจริงๆ รอบิดาเจ้ากลับมาจักต้องทำโทษเจ้าอย่างหนักเป็นแน่ ไป ตามแม่ไปรับผิดกับฮูหยินผู้เฒ่า” 

 

 

นางเถียนปลอบใจเยียนเหนียงสองสามคำก็กำชับให้คนมาเก็บกวาดเรือนฝั่งตะวันตกแล้วพาหลัวจือหยาไปที่เรือนอี๋อาน

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset