วาสนาบันดาลรัก 240 สามีภรรยา

ตอนที่ 240 สามีภรรยา

“ซื่อ…ซื่อจื่อ?” เมื่อลงไปนอนกับเตียงนุ่ม เจินเมี่ยวก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมา “ตอนนี้ยังสว่าง…” 

 

 

แม้นทั้งสองจะมิได้เดินทางไปจนสุดปลายฝัน แต่ก็สัมผัสแนบชิดกันมาแล้วสองสามครา หลังจากที่เขาทำมันทุกครา คนทั้งสองก็มักจะประหม่าต่อกันอย่างยิ่ง กระทั่งทำตัวไม่ถูกอยู่หลายวัน 

 

 

แต่นั้นก็ยังเป็นยามราตรี แค่เพียงหลับตาทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว ทว่าฟ้าสว่างโร่เช่นนี้ แค่คิดก็รู้สึกตะขิดตะขวงแล้ว 

 

 

“ไม่ต้องกลัว ไม่มีผู้ใดเข้ามาดอก” 

 

 

“ข้า…ข้ายังมิได้ดื่มน้ำแกงเลย…” เจินเมี่ยวยังคงพยายามขัดขืน 

 

 

“ประเดี๋ยวค่อยดื่ม” หลัวเทียนเฉิงทำหน้าเหยเก ครู่หนึ่งจึงกลับไปเป็นปกติ 

 

 

“เช่นนั้น…” เจินเมี่ยวไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดอีก รู้สึกสับสนไปหมด 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเห็นนางร้อนใจกระทั่งลำคอระหงเปลี่ยนเป็นสีชมพู และแดงระเรื่อระเรื่อยลงไปยังที่ที่มองไม่เห็น เขารู้สึกร้อนวูบที่จมูก ฉับพลันโลหิตก็ไหลออกมาก 

 

 

เจินเมี่ยวตกใจอึ้งงันไปทันที 

 

 

คนทั้งสองมองหน้ากันอย่างอึ้งงัน แต่หลัวเทียนเฉิงมีสติคืนมาก่อน เขารีบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ด แล้วก้มหน้าลงปิดปากอีกฝ่ายไว้ทันที 

 

 

เขาไม่อยากฟังวาจาที่ทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองอันใดขึ้นมาอีก 

 

 

“อ๊ะ…” ความคิดของเจินเมี่ยวจึงถูกกักไว้อยู่ในลำคอเท่านั้น 

 

 

จุมพิตเมื่อแรกเริ่มนั้นเต็มไปด้วยความก้าวร้าวและดุดัน เจินเมี่ยวจึงมิทันได้ขัดขืนก็ยอมโอนอ่อนตามจังหวะท่าทางของอีกฝ่ายไปเสียก่อน 

 

 

ต่อมาก็ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น คล้ายแมลงปอน้อยที่โฉบผ่านไปบนผิวน้ำอันเงียบสงบ แล้วก็ย้อนกลับมาอย่างมิใคร่ยินยอมนัก ใช้หางของมันแตะสัมผัสลงไปให้ลึกอีกครา ครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งเกิดเป็นระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า กระทั่งกระทบเข้าไปในใจที่อ่อนระรินดุจสายน้ำนั้น 

 

 

เจินเมี่ยวไม่มีสติให้คิดใคร่ครวญอันใดอีกแล้ว เพียงแต่อาศัยสัญชาตญาณเท่านั้น นางรู้สึกว่าความรู้สึกชนิดนี้ช่างสวยงามและอัศจรรย์ ทั้งสุขสมยิ่ง เมื่อความสุขสมผ่านไปกลับเกิดความรู้สึกเคว้งคว้างอันยากจะบรรยายได้ขึ้น 

 

 

คล้ายว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต 

 

 

นางลองเปรียบเทียบดูทั้งที่สติยังเลอะเลือนอยู่เช่นนั้น แต่ชั่วขณะก็มิอาจไปครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นได้แล้ว เมื่ออาภรณ์ที่ปกปิดร่างกายถูกถอนออกไป อากาศอันหนาวเหน็บโอบล้อมรอบตัวนางทันที แต่กลับไม่รู้สึกว่าหนาว นางรู้สึกได้เพียงความร้อนจากร่างที่เกี่ยวกระหวัดนางอยู่นั้น ร้อนจนนางอยากจะผลักออก แต่กลับกอดเกี่ยวเอาไว้เสียแน่น 

 

 

กระทั่งคนผู้นั้นขบเม้มที่ติ่งหูนาง แล้วเอ่ยพึมพำเสียงต่ำว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว… ” 

 

 

เสียงที่ดังติดต่อกันนั้นทำเอานางขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง 

 

 

หลังจากนั้นก็มีสิ่งใดบางอย่างค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาตัวนาง ทั้งอ่อนโยนแต่กลับยืนหยัดอยู่เช่นนั้นมิหลบหนีไปไหน 

 

 

เจินเมี่ยวจึงเริ่มมีสติขึ้นมาบ้าง นางอดคิดไม่ได้ว่า ก็มิได้เจ็บอันใดมิใช่หรือ? 

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” 

 

 

เจินเมี่ยวเบิกตาขึ้นสบเข้ากับดวงตาอันล้ำลึกมากกว่าทุกคราคู่นั้น แล้วพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา เสียงเล็กแผ่วเบา “มิเป็นอันใดเลย” 

 

 

นางคิดมาตลอดว่าจักต้องเจ็บดั่งหัวใจฉีกขาดก็มิปาน คิดไม่ถึงว่า คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกดีถึงเพียงนี้ 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ความตึงเครียดที่เคยมีก็มลายหายไปทันที ความรู้สึกสุขสมและว่างเปล่าอันแสนประหลาดนั้นจู่โจมจนทำให้นางขยับยกร่างขึ้นไปตามธรรมชาติ 

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับสูดลมเข้าปากคราหนึ่ง แล้วกัดฟันเอ่ยเน้นทีละคำว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” 

 

 

หลังจากนั้นก็เสือกกายเข้าหานางอย่างล้ำลึกที่สุด 

 

 

เจินเมี่ยวยังมิทันเข้าใจความหมายของเขาด้วยซ้ำ ความเจ็บปวดดุจหัวใจฉีกขาดนั้นก็แผ่ซ่านขึ้นมา น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันที แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้จุมพิตปิดปากนางไว้ เสียงร้องโหยหวนดุจสุกรถูกเชือดจึงมิได้เล็ดลอดออกมา 

 

 

ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น มีทั้งความไร้เดียงสา ความโมโหและความสงสัย 

 

 

เมื่อบุรุษผู้ไร้ยางอายที่อยู่บนร่างนางเห็นว่านางมิคิดร้องออกมาแล้วจึงถอนริมฝีปากออกพร้อมกับอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ข้ายังมิได้ล่วงล้ำเข้าไปแต่อยากจะให้เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยเท่านั้น” 

 

 

เจินเมี่ยวโกรธกรุ่นขึ้นมา 

 

 

เจ้าคนชั่วช้า ที่แท้ก็ฉวยโอกาสใช้กำลังเข้าจู่โจมยามคนอ่อนแอ! 

 

 

เอ๊ะ เหตุใดจึงรู้สึกว่าการบรรยายเช่นนี้มีที่ใดไม่ถูกต้อง 

 

 

นางยกเท้าขึ้นคิดจะถีบคนไร้ยางอายนั้นออกไปเพื่อจบการทรมานในครานี้เสีย แต่กลับถูกอีกฝ่ายจับขาไว้ ทั้งยังจับไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย 

 

 

“หลัวเทียนเฉิง…” เจินเมี่ยวร้องเรียกขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าเสียงทั้งแผ่วเบาและอ่อนแรง ไม่มีพลังแห่งการข่มขู่แม้แต่น้อย 

 

 

“อย่าขยับ หากเจ้าถีบข้าออก ครั้งหน้าก็ยังจะเจ็บเช่นนี้เหมือนเดิม” 

 

 

เจินเมี่ยวยอมแล้วจริงๆ  

 

 

ดูผู้อื่นข่มขู่เสียก่อน นี่จึงเรียกว่าการข่มขู่! 

 

 

อย่างไรก็รู้สึกมิยินยอมอยู่ จึงเบี่ยงสายตาออกไปไม่สนใจเขา 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเผลอยิ้มออกมา เวลานี้แล้วยังจะทะเลาะกับเขาได้อีก 

 

 

เขาก้มลงจุมพิตนางอย่างอ่อนโยนอีกครา ทั้งจูบทั้งปลอบนาง “เจี๋ยวเจี่ยว อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” 

 

 

อาจเพราะคำพูดนั้นของเขาหรืออาจเพราะความเจ็บปวดที่สุดนั้นได้ผ่านไปแล้วจริงๆ เจินเมี่ยว กลับรู้สึกว่าดีขึ้นมาก 

 

 

จากความเนิบนาบในคราแรกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร็วรัวขึ้น เตียงอันนุ่มนิ่มนั้นกลายเป็นนาวาน้อยที่โยกคลอนตามคลื่นพายุที่พัดสาด ทำให้คนจ่อมจมอยู่ในห้วงมหาสมุทรอันแสนลึกลับนั้น 

 

 

คลื่นโหมระลอกแล้วระลอกที่ประเดี๋ยวโหมซัดสาดประเดี๋ยวถอยห่างออกไป กระทั่งสุดท้ายนางคล้ายเห็นแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งที่ปิดตาทั้งสองข้างแน่น 

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้มลงจุมพิตหน้าผากนาง ความพึงพอใจอันยากจะบรรยายออกมาได้เอ่อล้นอยู่ในอก ร่างกายกลับขมวดเกร็ง 

 

 

ที่เขาพึงพอใจเพราะคนทั้งสองได้กลายเป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริงแล้ว กระทั่งเวลานี้ เขาจึงพบว่าภรรยาเขานั้นก็มีด้านที่งดงามเพียงนี้อยู่เช่นกัน แต่เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงไม่รู้ตัว 

 

 

แต่เพราะเขาอดกลั้นมานาน ทั้งสงสารเพราะเป็นครั้งแรกของนางจึงมิกล้าทำนานเกินไป ร่างกายจึงยังมิถึงจุดผ่อนคลาย 

 

 

แต่ช่างเถิด อย่างไรก็ได้เริ่มต้นแล้ว วันเวลาต่อจากนี้ยังอีกยาวไกล 

 

 

เขาลุกขึ้นค่อยๆ สวมใส่อาภรณ์ แต่กลับมิให้เจินเมี่ยวขยับตัว “เจ้านอนอยู่เช่นนั้นก่อน ข้าจะเรียกให้จื่อซูกับไป๋เสามาปรนนิบัติเจ้า” 

 

 

แม้นจะบอกว่าเป็นสามีภรรยาแต่การกระทำเช่นนี้ในยามฟ้าสางนั้นก็ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด หากเรื่องแพร่ออกไปคงกลายเป็นที่ขบขันของผู้คน 

 

 

สาวใช้ขั้นหนึ่งนั้นรอบคอบทั้งสุขุม เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงการเรียกให้พวกนางเข้ามาปรนนิบัติเจ้านายนั้นกลับเป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง 

 

 

“ไม่!” ครานี้เจินเมี่ยวมีสติครบถ้วนโดยสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าของนางแดงก่ำ 

 

 

นางไม่รู้ว่าผู้อื่นเป็นเช่นไร แต่เมื่อคิดว่าเพิ่งจะกระทำเช่นนั้นเสร็จไปก็เรียกให้ผู้อื่นเข้ามาปรนนิบัติ ช่างน่าอายอย่างที่สุด 

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป 

 

 

บ่าวไพร่มาปรนนิบัติเจ้านาย เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง มีอันใดให้เขินอาย? 

 

 

ความจริงนี่เป็นความคิดที่แสนแตกต่างกันของคนทั้งสอง 

 

 

ในความคิดของเจินเมี่ยว ต่อให้บ่าวไพร่ไม่มีอำนาจใด แต่อย่างไรก็เป็นคนเหมือนกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เรื่องที่ส่วนตัวถึงเพียงนี้มีหรือจะไม่เขินอายได้ 

 

 

แต่หลัวเทียนเฉิงหรือ มิอาจกล่าวได้ว่าเขานั้นเลือดเย็น แต่นี่เป็นวัฒนธรรมที่คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เยาว์วัยกระทั่งเติบใหญ่ บ่าวไพร่นั้นเป็นเพียงสิ่งของมีชีวิตเท่านั้น ลองคิดดูแล้ว จะมีผู้ใดเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าโต๊ะตัวหนึ่งเล่า? 

 

 

คนทั้งสองต่างไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย จึงได้แต่ถลึงตามองกันอยู่เช่นนั้น สุดท้ายก็เป็นหลัวเทียนเฉิงที่ยอมอ่อนข้อให้ก่อนเพราะเป็นห่วงที่นางต้องเจ็บปวดในครั้งแรกจึงกลัวว่าหากนางนอนอยู่เช่นนั้นแล้วจะไม่สบาย 

 

 

เขาเดินอ้อมไปด้านหลังฉากบังลม แล้วยกน้ำร้อนที่วางอุ่นอยู่บนเตาตลอดเวลานั้นขึ้นมาเทใส่ผ้าผืนนุ่มจนชุ่ม แล้วเดินมานั่งลงข้างนาง 

 

 

เจินเมี่ยวลนลานขึ้นมา หน้าแดงก่ำ “อย่า จิ่นหมิง ท่านปล่อยเถิด ข้าทำเอง” 

 

 

แต่ก่อนยามเรียกชื่อนี้ของเขาก็มิได้รู้สึกอันใด แต่ยามนี้คำสองคำนั้นรัดรึงอยู่ที่ปลายลิ้นไม่ห่างไปไหนจึงเผลอเอ่ยออกมา ปลายลิ้นคล้ายมีกระแสไฟอยู่ก็ปาน ทำเอานางตัวอ่อนเปลี้ยไปหมด 

 

 

เจินเมี่ยวอดคิดถึงเสียงสูงๆ ต่ำๆ ที่คอยแต่ร้องว่า ‘จิ่นหมิง’ จากการกระทำที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่นี้ไม่ได้ 

 

 

ไม่ได้การแล้ว เกรงว่าต่อไปนางคงมิอาจเรียกชื่อนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกแล้ว 

 

 

นางมิเคยรู้มาก่อนว่า ระหว่างบุรุษสตรีจะมีความอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ 

 

 

“เจ้าลุกไหวหรือ?” หลัวเทียนเฉิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และไม่สนใจต่อความเขินอายของนางอีก ได้แต่เช็ดเนื้อตัวให้นางอย่างละเมียดละไม 

 

 

แต่สุดท้ายกลับเช็ดเสียจนคนทั้งสองเกิดไฟร้อนรุ่มไปทั่วร่าง เมื่อสายตาประสานกันก็คล้ายว่าสามารถจุดเพลิงขึ้นได้แม้ว่าอากาศจะชื้นเพียงใด 

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว…” เสียงของหลัวเทียนเฉิงเปลี่ยนเป็นต่ำพร่า 

 

 

“หืม…” 

 

 

“เรียกข้าว่าจิ่นหมิงให้ฟังอีกสักครั้งก่อน” 

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากไว้ “ไม่เรียก” 

 

 

หากนางเรียกชื่อเขากลับคล้ายเหมือนกำลังตอบรับสิ่งใดบางอย่างอยู่กระนั้น 

 

 

ผ้าผืนนุ่มอันอุ่นร้อนนั้นปัดผ่านผิวนางแผ่วเบาดุจขนนก ร่างเจินเมี่ยวสั่นสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง 

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเรียกข้าสักคำเถิด ข้าต้องไปแล้ว ไปครานี้ เกรงว่าแม้แต่ก่อนจะไปจวนหย่งอ๋องก็ยังคงมิได้กลับมาด้วยซ้ำ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอ้อนวอนอย่างหน้าไม่อายประหนึ่งเด็กน้อยก็มิปาน 

 

 

เจินเมี่ยวทันไม่ไหว จึงยอมเรียกเขาเสียงอ่อนว่าจิ่นหมิง หลังจากนั้นโทนเสียงก็เปลี่ยนไป “จิ่นหมิง ท่าน…ท่านทำอันใด?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้ทิ้งผ้าผืนนั้นลงบนพื้นไปเรียบร้อย แล้วถอนกางเกงออกทั้งที่ยืนอยู่เช่นนั้น สองมือลูบไล้ร่างนาง แล้วค่อยๆ แทรกกายเข้าไปช้าๆ เมื่อรู้สึกว่าอยู่ในตำแหน่งที่พอดีแล้วเขาจึงนหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “เดิมทีนั้นไม่อยากให้เจ้าต้องเหนื่อยจนเกินไป แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้สาวใช้เช็ดตัวให้” 

 

 

ในสถานการณ์อันน่าอับอายนี้ เจินเมี่ยวจึงปิดหน้าไว้ไม่กล้ามองเขา เพียงเอ่ยด่าว่า “เถียงข้างๆ คูๆ !” 

 

 

“ใช่ ข้าเถียงข้างๆ คูๆ” หลัวเทียนเฉิงเพียงยิ้ม 

 

 

บรรยากาศภายในห้องอ่อนโยนละมุนละไมขึ้นมาอีกครา แม้แต่ลมหนาวด้านนอกยังค่อยๆ หยุดพัด เพราะไม่อยากส่งเสียงให้นกยวนยางที่กำลังพลอดรักกันอยู่ตกใจ 

 

 

เจินเมี่ยวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลัวเทียนเฉิงไปตั้งแต่เมื่อใด ตอนที่ตื่นขึ้นก็เห็นจื่อซูและไป๋เสายืนอยู่ในห้องแล้ว 

 

 

สาวใช้ทั้งสองที่สุขุมนุ่มลึกมาโดยตลอด เมื่อได้สบตากับเจินเมี่ยวในวันนี้ก็อดหน้าแดงขึ้นมามิได้ 

 

 

เจินเมี่ยวพลอยหน้าแดงตามไปด้วย อึกๆ อักๆ อย่างไม่ทราบจะเอ่ยสิ่งใด 

 

 

แล้วจื่อซูและไป๋เสาจึงสบตากัน พวนางเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ยินดีกับต้าไหน่ไหน่ด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

เจินเมี่ยวยิ่งพูดไม่ออกไปกว่าเดิม 

 

 

เวลานี้ นางควรพูดอันใดหรือ? 

 

 

ไม่ว่าจะพูดว่าขอบคุณหรือยินดีเช่นกันก็คล้ายจะมิใคร่เหมาะสมทั้งสิ้น 

 

 

อ้ำอึ้งอยู่นานในที่สุดก็หาคำเอื้อนเอ่ยจนเจอ “น้ำแกงเนื้อแพะ เย็นแล้วกระมัง?” 

 

 

ภายในสีหน้าอันแปลกพิกลของสาวใช้ทั้งสอง นางยังคงแข็งใจเอ่ยวาจาที่เหลือต่อมาจนจบ “น่าเสียดายจริง หากนำน้ำแกงเนื้อแพะไปอุ่นอีกรอบก็คงมีกลิ่นสาบแล้ว พวกเจ้าไปบอกชิงเกอให้ทำน้ำแกงจับฉ่ายเนื้อแพะให้ข้าที ใส่ผักชีเยอะๆ…” 

 

 

เมื่อเห็นคนทั้งสองยังคงอึ้งงันไม่ขยับตัวก็ขบริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “เร็วเข้า ข้าหิวแล้ว” 

 

 

จือซูและไป๋เสาสบตากันแล้วยิ้ม 

 

 

พวกนางเข้าใจแล้ว ต้าไหน่ไหน่เขินอายนี่เอง ทั้งเขินอายอย่างที่สุดเสียด้วย 

 

 

“เจ้าค่ะ” คนทั้งสองถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม 

 

 

ตอนนี้เจินเมี่ยวมีสติคืนมาครบถ้วนแล้ว นางเพียงรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นดั่งความฝันก็มิปาน 

 

 

นางกับซื่อจื่อกลายเป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วงั้นหรือ? 

 

 

ความรู้สึกนั้น นอกจากความเจ็บปวดในคราแรกแล้ว ต่อมา…ก็คล้ายว่ามิได้ย่ำแย่อันใด 

 

 

ทว่าเจินเมี่ยวยังคงไม่เข้าใจอยู่บ้าง นางไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่มิได้ย่ำแย่นี้เป็นเพราะคนผู้นั้นคือซื่อจื่อหรือเพราะความสามารถในเรื่องนั้นของเขาไม่เลวกันแน่ 

 

 

แต่ซื่อจื่อในตอนนั้นดูเหมือนจะอ่อนโยนเป็นพิเศษ… 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ต่อไป เจินเมี่ยวก็หน้าแดงขึ้นมาอีก ได้แต่คิดอย่างเงียบๆว่า บางทีอาจเพราะเป็นซื่อจื่อและความสามารถนั้นของด้วยทำให้นางมิได้รู้สึกย่ำแย่กระมัง? 

 

 

แต่กินจนหมดเกลี้ยงแล้วจากไปเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย 

 

 

เจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าห้องที่อยู่จนคุ้นเคยแล้วแห่งนี้ดูเหมือนขาดบางอย่างไป 

 

 

เรือนชิงเฟิงนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งวสันต์ฤดู แต่เรือนซินหยวนกลับยิ่งเหน็บหนาวเข้าไปทุกทีแล้ว 

 

 

นางเถียนเอ่ยถามนายท่านรองสกุลหลัวด้วยน้ำตานองหน้า “ท่านพี่ ท่านบอกว่าพิธีรับบุตรบุญธรรมของจวนหย่งอ๋องคงมิเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้หรือ ฝ่าบาทพระอารมณ์มิใคร่จะดีนัก เรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจถูกล้มเลิกไป ท่านดูว่านี่คืออันใด เทียบเชิญจากจวนหย่งอ๋องมาถึงแล้ว!” 

 

 

เพราะสถานการณ์ช่วงนี้ค่อนข้างตึงเครียด ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจะเกิดความผิดพลาดจึงให้นางเถียนที่มีประสบการณ์ในการดูแลจวนมามากกว่าสิบปีดูแลเรื่องการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน 

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวผุดลุกขึ้นทันที “รู้จักแต่ร้องไห้ อัปมงคลจริงๆ!” 

 

 

กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป 

 

 

เมื่อออกจากจวนกั๋วกงมายืนบนถนนก็เหม่อมองหิมะสีขาวที่ปกคลุมทั่วพื้น ไม่ทราบว่าคิดสิ่งใดอยู่จึงยกเท้าก้าวเดินไปยังตรอกซิ่งฮวาทันที 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset