วาสนาบันดาลรัก 239 มีญาติผู้พี่กี่คนกันแน่?

ตอนที่ 239 มีญาติผู้พี่กี่คนกันแน่?

เจินเมี่ยวหยิบตะเกียบสะอาดขึ้นมาคู่หนึ่งแล้วจุ่มเนื้อแผ่นบางลงไปในหม้อที่กำลังเดือด แล้วจิ้มน้ำจิ้มในจานใบเล็กแล้วส่งให้คู่หูที่หน้าดำคล้ำผู้นั้น “รีบกินตอนกำลังร้อนเถิด เย็นแล้วจะไม่กลิ่นสาบ” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว เขารับตะเกียบมาแล้วกัดกินไปคำหนึ่ง 

 

 

แผ่นเนื้อบางมาก เมื่อจิ้มกับน้ำจิ้ม กลิ่นสาบที่มีก็หายไปทันที เหลือเพียงความสดใหม่ของเนื้อแพะเท่านั้น 

 

 

ด้านนอกมีลมพัดแรงทั้งมีหิมะตก เมื่อกินอาหารเช่นนี้อยู่ในห้องอันอบอุ่นก็รู้สึกสำราญใจอย่างที่สุด 

 

 

หากกินด้วยวิธีเช่นนี้ หากใช้วันสักตัวมาแทนปริมาณอาหารของเขาก็ดูจะไม่เป็นปัญหาอันใด? 

 

 

เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงกินอย่างเอร็ดอร่อย เจินเมี่ยวก็ป้อนเขาอย่างเบิกบาน นางเอ่ยด้วยใบหน้าแช่มชื่นว่า “ใน**บสินเดิมข้ายังมีหม้อทองแดงใบใหญ่ใบหนึ่ง ข้างล่างสามารถทำเป็นหม้อไฟ ด้านบนมีสองชั้น ตรงกลางเป็นแผ่นเหล็ก เราสามารถย่างเนื้อกวาง ปีกไก่ได้ ส่วนชั้นบนสุดก็เป็นหม้อนึ่งเล็กๆ สามารถใส่ซาลาเปาลูกเล็กๆ ได้ห้าหกลูกเชียว แต่วันนี้มีแค่ข้ากับท่านจึงมิได้เอามันมาใช้” 

 

 

“อ้อ แล้วยังมีหม้อแบบใดที่น่าสนใจอีกบ้าง?” หัวเทียนเฉิงรู้สึกสนใจขึ้นมา 

 

 

“พี่สี่ผู้เป็นญาติผู้พี่มอบให้ข้าล่ะ” 

 

 

ตะเกียบหลัวเทียนเฉิงพลันชะงักค้าง แล้วเอ่ยเสียงเน้นว่า “พี่สี่…ญาติผู้พี่?” 

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า “เขาเป็นญาติผู้พี่ฝั่งท่านยาย ตอนเด็กๆ เราเคยไปปีนต้นไม้เล่นด้วยกันด้วย วันที่มอบของขวัญเป็นสินเดิมนั้น เขาให้หม้อทองแดงข้ามา หม้อนั้นค่อนข้างใหญ่ ห้าหกคนล้อมวงกินด้วยกันก็ไม่มีปัญหา” 

 

 

เสียงแคร่กดังขึ้นคราหนึ่ง ตะเกียบเงินหักขาดเป็นสองท่อน หลัวเทียนเฉิงวางตะเกียบที่หักนั้นลงอย่างสง่างาม แล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก เอ่ยถามด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ปีนต้นไม้ด้วยกัน?” 

 

 

สตรีผู้นี้ มีญาติผู้พี่ซึ่งเป็นบุรุษกี่คนกันแน่!! 

 

 

นางจะไม่ยอมให้เข้าได้กินข้าวอย่างสงบเลยใช่หรือไม่! 

 

 

เจินเมี่ยวพลิกค้นความทรงจำของร่างเดิมขึ้นมา ตอนยังเด็กมิได้ปีนต้นไม้ด้วยกันสองคนเสียหน่อยแต่เวินม่อเหยียนเป็นผู้ปีนต้นไม้ นางเป็นคนไปฟ้อง 

 

 

แต่หากบอกไปเช่นนี้ นางกลับดูแย่ยิ่ง อย่างไรการไปฟ้องเรื่องการปีนต้นไม้ก็เกี่ยวข้องกับการปีนต้นไม้ จะบอกว่าปีนต้นไม้ด้วยกันก็มิผิดนัก นางจึงพยักหน้ายืนยัน 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นพี่สี่ของเจ้าเหตุใดจึงมอบเพียงหม้อใบหนึ่งเป็นสินเดิมให้เจ้าเล่า?” 

 

 

เจินเมี่ยวหัวเราะ “เพราะข้าชอบกินกระมัง ท่านเองก็ให้มีดทำอาหารกับข้าหนึ่งชุดมิใช่หรือ?”ดีเหลือเกิน สตรีผู้นี้ช่างรู้จักยั่วโทสะเขานัก! 

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกทุรนทุรายขึ้นมา แม้กระทั่งเนื้อแพะก็กินไม่ลง เขายื่นมือไปดึงเจินเมี่ยวเข้ามาแล้วประทับริมฝีปากลงไป 

 

 

เจินเมี่ยวมึนงงไปชั่วขณะ 

 

 

กำลัง…กำลังกินข้าวอยู่แท้ๆ เขาทำอันใดกัน? 

 

 

เพียงแต่ครานี้อีกฝ่ายกลับดุดันยิ่ง เขาปิดปากนางแน่นสนิทไม่มีแม้แต่ช่องว่าง เป็นจุมพิตที่ลึกซึ้งเร้ารึงยิ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกหน้ามืดไปหมด บุปผาสีทองลอยวนอยู่ตรงหน้าคล้ายกำลังจะขาดใจแล้ว 

 

 

เมื่อเห็นนางกลั้นจนแดงเรื่อง จึงปล่อยนางทั้งที่ยังมิคลายโทสะ แล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ของที่ข้าให้เจ้าจะเหมือนของที่ผู้อื่นให้ได้งั้นหรือ? ข้ายังจูบเจ้าอีกด้วย เหตุใดผู้อื่นจึงมิจูบเจ้าเล่า?” 

 

 

เจินเมี่ยวถูกจุมพิตอย่างหนักจึงยังคงตกอยู่ในอาการเวียนหัว แต่ปากก็ตอบไปว่า “ผู้อื่นมิใช่สามีข้า ย่อมมิอาจจูบข้าได้” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงคิดไม่ถึงว่านางยังตอบออกมาด้วยท่าทีจริงจังเช่นนั้นได้ เขายังโกรธแต่ก็เบิกบานใจยิ่ง เขาจ้องใบหน้างดงามราวบุปผาแรกแย้มนั้นด้วยแววตาล้ำลึก 

 

 

“อาซื่อ?” 

 

 

“หืม?” 

 

 

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “กล่าวตามจริงแล้ว เมื่อข้านั่งมองเจ้าในตอนนี้ กลับยากที่จะจินตนาการไปถึงเจ้าในคราเริ่มแรกที่ได้รับจดหมายปลอมลายมือข้าฉบับนั้นแล้วกระทำเรื่องโง่เขลาเช่นลากข้ากระโดดลงน้ำไปกับเจ้า” 

 

 

นางในตอนนี้ช่างสะอาดพิสุทธิ์ ดั่งมิเคยรู้จักเรื่องรักใคร่เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ 

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วหวาดหวั่นขึ้นมาทันใด 

 

 

ยังคงมีรอยรั่วอยู่ใช่หรือไม่? 

 

 

นางในภพก่อน หน้าตาไม่เลว ฐานะครอบครัวก็ดี ความจริงมีคนมาจีบนางไม่ขาด แต่เมื่อคบค้ากันไปนานเข้าสุดท้ายกลับกลายเป็นสหายที่ดีต่อกันไปโดยปริยาย นางเองก็รู้สึกว่ามันต้องมีสิ่งผิดแปลกที่ใดสักแห่ง 

 

 

อย่างไรนางก็มิเคยใจเต้นแรง แม้แต่การกลับไปขบคิดถึงปัญหาเหล่านี้ก็ไม่เคย 

 

 

เช่นนั้นคุณชายผู้นี้ มีความสำคัญเช่นใดต่อนางในยามนี้กันแน่? 

 

 

นอกจากฐานะความเป็นสามีที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงกับหน้าที่ที่นางผู้เป็นภรรยาควรกระทำแล้ว ความรู้สึกเร่าร้อนประหนึ่งถูกไฟแล่นเข้าร่างที่ผู้คนกล่าวกันนั้นเคยเกิดขึ้นหรือไม่? 

 

 

เมื่อคิดถึงจูบอันยาวนานและเคล้าคลึงเมื่อครู่ เจินเมี่ยวก็รู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา 

 

 

นอกจากอาการมึนงงวิงเวียนแล้วนางก็จำได้เพียงรสชาติเนื้อแพะในปาก 

 

 

“อาซื่อ” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกลำคอแห้งผากขึ้นมา “ตอนนั้น…เจ้าคิดเช่นไร” 

 

 

เจินเมี่ยวไร้หนทางจะอธิบาย จึงได้แต่เงียบ 

 

 

นางรู้สึกแปลกใจยิ่งที่จู่ๆ หลัวเทียนเฉิงกลับเอ่ยถึงเรื่องเก่าขึ้นมา อย่างไรนั้นก็มิใช่ความทรงจำที่ดีสักเท่าใด หลังจากแต่งงานกัน คนทั้งสองก็หลีกเลี่ยงประเด็นนี้กันไปโดยปริยาย 

 

 

หากบอกว่านางชอบเขากระทั่งมิอาจแต่งงานกับบุรุษอื่นได้ จึงได้ทำเรื่องบ้าคลั่งเช่นนั้นออกมา แต่เมื่อคิดดูแล้ววันเวลาที่ผ่านมานี่ท่าทีของนางกลับเป็นอีกเรื่อง หากบอกว่าเพราะฐานะคุณชายผู้สืบทอด นาก็รู้สึกเหมือนใส่ร้ายตน อย่างไรนางก็ใช้ร่างผู้อื่น การใส่ร้ายเช่นนี้นางคงไม่มีทางพูดออกมาได้แน่ 

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับถือเอาความเงียบของเจินเมี่ยวเป็นตอบ สีหน้าจึงขรึมขึ้นมาทันใด เขาเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ข้ามีธุระ ต้องไปก่อน วันนี้คงไม่กลับมา” 

 

 

พริบตาก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งไว้เพียงผ้าม่านที่สั่นไหวไปมา 

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกโมโหขึ้นมาบ้างเช่นกัน 

 

 

นี่…นี่เขาโมโหแล้วไม่ยอมกินข้าวทั้งยังออกจากเรือนไปอีก? 

 

 

ทั้งที่อยู่ด้วยกันอย่างดีมานาน วันนี้กลับอาการกำเริบขึ้นมาอีกหรือ? ฮึ โกรธแล้วไม่กินข้าวผู้ใดทำมิได้บ้าง? 

 

 

เจินเมี่ยวโกรธจะทิ้งตะเกียบลง ประจวบเหมาะกับที่น้ำแกงนั้นร่วงหยดลงไปบนไฟ เกิดเสียงซู่ซ่าขึ้น กลิ่นหอมของหม้อไฟชอนไชเข้ามาในจมูก 

 

 

เจินเมี่ยวมองเนื้อที่กำลังแช่อยู่ในน้ำแกงที่เดือดจัดแล้วเริ่มลังเลขึ้นมา 

 

 

ช่างเถิด โกรธก็ส่วนโกรธ ข้าวก็ยังคงต้องกิน 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเดินไปถึงลานกลางเรือน เมื่อถูกลมเย็นพัดเข้าใส่จึงมีสติคืนมา เขาอดหัวเราะเยาะตนเองมิได้ 

 

 

เขาโมโหอันใดของเขากัน แรกเริ่มคุณหนูสี่คิดสิ่งใดอยู่ เขามิใช่ไม่เคยครุ่นคิด เขาเป็นคนมาถึงสองชาติก็มิเคยแสดงอาการโกรธเคืองเช่นนี้ต่อผู้ใดเลยจริงๆ 

 

 

แต่ยามนี้ที่เขารู้สึกว่าโทสะนี้นั้นยากจะควบคุมนักคืออันใดกัน? 

 

 

 บางที เขาอาจจะอยากรู้ว่าหากตนไม่มีฐานะคุณชายผู้สืบทอดนี้แล้ว สำหรับนางเขาเหมือนหรือแตกต่างกับบรรดาญาติผู้พี่ของนางเหล่านั้นหรือไม่? 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็อดหมุนตัวเดินกลับไปยังที่ที่จากมามิได้ 

 

 

ครั้นเขาเลิกม่านเดินเข้าไปอีกคราก็เห็นเจินเมี่ยวกำลังกินเต้าหู้ร้อนๆ ก้อนหนึ่งอยู่ มันลวงลิ้นจนนางต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน เมื่อเห็นคนที่ย้อนกลับมาก็เบิกตากลมโตนั้นขึ้น 

 

 

โทสะนั้นของหลัวเทียนเฉิง ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนที่หลัวเทียนเฉิงเฝ้าครุ่นคิดอยู่นับร้อยครั้งนั้น ในสายตาผู้อื่นกลับไม่มีแรงดึงดูดเท่าเต้าหู้ร้อนๆ ก้อนหนึ่งเลยงั้นหรือ? 

 

 

เขาก้าวยาวเดินไปนั่งลง แล้วแย่งตะเกียบและถ้วยของเจินเมี่ยวมาคีบเนื้อและผักในหม้อขึ้นมากิน 

 

 

เมื่อกินเนื้อไปถึงครึ่งชาม ท้องก็อุ่นขึ้น โทสะที่มีอยู่เต็มท้องก็สลายไปเกือบครึ่ง หลัวเทียนเฉิงจึงมีเวลาหันไปชำเลืองมองเจินเมี่ยวที่ถลึงตาจ้องมองเขาอย่างเหม่อลอย 

 

 

เขาเดินเข้ามาจากด้านนอก ผิวที่ถูกหิมะร่วงใส่นั้นขาวราวกับหยกเนื้อดี เมื่อครู่ที่กินเนื้อเข้าไปคำใหญ่ ใบหน้าก็เริ่มแดงเรื่อขึ้น และเมื่อชำเลืองมองมา สีหน้าท่าทางยั่วเย้า ช่างหล่อเหลางดงามเหลือเกิน 

 

 

โรคมือเท้าอ่อนเมื่อยามพบหญิงงามของเจินเมี่ยวกำเริบขึ้นอีกแล้ว หัวใจเต้นรัวเร็วอยู่หลายครา นางเลียริมฝีปากตนคราหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ เหตุใดท่านจึงใช้ตะเกียบและถ้วยของข้า?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นในลำคอคราหนึ่ง “เจ้าจะได้มิต้องกิน ข้าเห็นแล้วโมโหยิ่ง!” 

 

 

เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากตนคราหนึ่ง 

 

 

ซื่อจื่อ ท่านเอาแต่ใจตนเพียงนี้ ย่าท่านรู้หรือไม่? 

 

 

นางจึงหยิบเอาถ้วยและตะเกียบที่หลัวเทียนเฉิงใช้ก่อนหน้านี้ขึ้นมากินต่อ 

 

 

เดิมหลัวเทียนเฉิงคิดจะเอ่ยประชดประชันอีกสักประโยค แต่เห็นนางหยิบตะเกียบที่ตนเคยใช้ไปกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย จึงพูดวาจาเหล่านั้นไม่ออกขึ้นมา สุดท้ายกลับคีบเนื้อท้องวัววางใส่ในจานของนาง 

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นทันที แล้วรีบคีบขึ้นมากินในขณะที่คนบางคนเริ่มหน้าดำคล้ำขึ้นมาอีก นางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “ขอบคุณ” 

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้เอ่ยถามว่าเหตุใดหลัวเทียนเฉิงจึงกลับมาอีก แต่เป็นเขาเองที่อธิบายให้นางทราบด้วยความประหม่าเล็กน้อย “จวนหย่งอ๋องเชิญโหรหลวงเลือกวันให้แล้ว หลัวจากนี้อีกสิบวันเป็นวันมงคล ถึงตอนนั้นเราสองคนต้องเดินทางไปพร้อมกัน” 

 

 

“อยู่ในช่วงนี้หรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจอยู่บ้าง 

 

 

ยามนี้แต่ละจวนมิใช่ต่างเก็บตัวเงียบกันหรอกหรือ? 

 

 

หลัวเทียนเฉิงหัวเราะ “ไม่มีอันใดดอก” 

 

 

ความจริงหลังจากที่เขารู้ว่าหวังเฟยเอ่ยเรื่องจะรับเจินเมี่ยวเป็นบุตรบุญธรรมนั้นเขาไม่ตกใจสักนิด 

 

 

ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเขา เชื่อถือเขา นั้นมิจำเป็นต้องพูดอีก แต่จักรพรรดิย่อมมีความระแวงมากสักหน่อย จึงมิอาจไม่มีแผนการสำรองใดๆ ไว้เลย 

 

 

หากเจินเมี่ยวเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์ นั้นก็เพื่อตอบแทนบุญคุณและเป็นการควบคุมเขาไปด้วยอีกนัยหนึ่ง 

 

 

ดังนั้นเรื่องที่หวังเฟยรับบุตรบุญธรรมนี้ ฝ่าบาทย่อมเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลังแน่ เดิมนั้นยังกังวลถึงเกียรติของรัชทายาท จึงคิดจะให้เรื่องนี้แพร่สะพัดขึ้นในงานพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาก่อน เมื่อวันตรุษผ่านไปจึงเลือกวันมงคลจัดพิธีอย่างเป็นทางการทีหลัง แต่เมื่อรัชทายาททำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยอีก เรื่องนี้จึงเลื่อนเข้ามาก่อนสักหน่อย 

 

 

“ข้ายังมีงานที่ศาลาว่าการ ที่กลับมาเพราะจะบอกเรื่องนี้ต่อเจ้าสักหน่อย ให้เจ้าได้เตรียมตัวไว้ คิดว่าเทียบเชิญคงมาถึงอย่างช้าที่สุดคือพรุ่งนี้” 

 

 

“กินเสร็จแล้วก็ยังต้องไปอีกหรือ?” 

 

 

“อืม” หลัวเทียนเฉิงลังเลขึ้นมา เขาป้อนลูกชิ้นปลาให้เจินเมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “รอผ่านไปอีกสักระยะ ก็คงไม่ยุ่งเพียงนี้แล้ว” 

 

 

อย่างไรก็ควรจะรีบเป็นสามีภรรยาที่แท้จริงกันจะดีกว่า เห็นชัดว่าสตรีผู้นี้มิได้รู้จักความรักใคร่อันใด บางทีหากผ่านการเป็นสามีภรรยากันแล้วก็อาจจะเข้าใจแล้ว 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความร้อนรุ่มสายหนึ่งก็เกิดขึ้นในใจอย่างประหลาด ความร้อนรุ่มนี้มันค่อยๆ เคลื่อนลงไปด้านล่างแล้วหยุดอยู่ที่บริเวณท้องน้อย ทั้งปวดทั้งชา หลัวเทียนเฉิงพยายามควบคุมมันไว้ เม็ดเหงื่อกลับซึมออกมา 

 

 

เจินเมี่ยวเห็นสีหน้าเขาแปลกไปก็รีบหยิบผ้ามาเช็ดเหงื่อให้เขา ลมหายใจที่ปลายจมูกเป่ารดลงบนต้นคอเขา 

 

 

“เหตุใดจึงหน้าแดงเพียงนี้ หรือรีบร้อนกินจนเกินไป? ต่อให้รีบก็ไม่ควรทำเช่นนี้ มิฉะนั้นกระเพาะอาจจะพังได้” เจินเมี่ยวบ่นพึมพำด้วยความเป็นห่วง “ดูสิว่าต่อไปท่านยังจะกินของอร่อยได้อีกต่อไปหรือไม่” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเบี่ยงหน้าหนีอย่างประหม่า “คงกินเนื้อแพะมากเกินไป…” 

 

 

“เรื่องนี้มิต้องกังวล ซื่อจื่อ ฟังข้านะ อากาศหนาวเช่นนี้กินเนื้อแพะนั้นดีที่สุดเลย” 

 

 

นางพูดพลางยกนิ้วขึ้นนับไปพลาง “มันช่วยทั้งบำรุงเลือด บำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น เพิ่มพลังเพศชาย…สรุปคือเนื้อแพะนั้นทั้งอร่อยและช่วยบำรุงร่างกาย” 

 

 

เพิ่มพลังเพศชาย เพิ่มพลังเพศชาย… 

 

 

 ในหูของหลัวเทียนเฉิงได้ยินแต่คำคำนี้ หลังจากนั้นคำว่าแย่แล้วก็กระจายไปทั่วร่าง 

 

 

การให้บุรุษร่างกำยำที่มิได้เข้าใกล้สตรีเพศมาปีกว่าเช่นเขาเพิ่มพลังเพศชายนั้น มิใช่ต้องการกลั่นแกล้งคนหรอกหรือ? 

 

 

เมื่อเห็นใบหน้าอันไร้เดียงสาของผู้ก่อเรื่อง เพลิงอันร้อนรุ่มดวงหนึ่งก็เกิดขึ้นในหัวใจ และเขาก็ไม่อยากจะเก็บงำมันไว้อีกแล้ว 

 

 

ช่างเถิด ผลัดวันมิสู้กระทำเลย เขาเองก็มิได้เตรียมตัวออกบวชเสียหน่อย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภรรยาตน เขายังมีอันใดให้ลังเลหรือ 

 

 

แม้นบอกว่าประเดี๋ยวจะต้องรีบไปศาลาว่าการ ไม่รีบไปสักหน่อยคงมิได้ แต่ว่า… 

 

 

เหอะๆ นี่เป็นครั้งแรกของอาซื่อ หากนานเกินไปนางคงทนรับไม่ไหวกระมัง 

 

 

คนบางคนที่มีแผนการไว้ในใจแล้วลุกขึ้นไปปิดประตูลงกลอน แล้วอุ้มเอาภรรยาที่กำลังจะซดน้ำแกงขึ้นไปวางบนเตียง 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset