วาสนาบันดาลรัก 213

ตอนที่ 213

ยอดหญ้าพัดไหว ใบไม้เหลืองกองพะเนิน เวลานี้เมื่อปีก่อน ดอกเบญจมาศกำลังผลิบาน กลิ่นสุราหมักหอมฟุ้ง ทุกปีงานเลี้ยงฉลองต่างๆ มักจัดขึ้นในช่วงนี้แต่ปีนี้เมืองหลวงกลับเงียบเหงาเป็นพิเศษ

 

 

ตั้งแต่จักรพรรดิเสด็จกลับจากเป่ยเหอ พระอารมณ์ก็มิใคร่จะดีนัก เหล่าขุนนางที่เจ้าเล่ห์ปานจิ้งจอกต่างพร้อมใจกันสงบปากสงบคำ อยู่อย่างระมัดระวังภายในจวนตน

 

 

ซูหยาไท่จื่อเฟยกลับรีบร้อนกลับตระกูลมารดา

 

 

วันนี้ฟ้าครึ้มอยู่ตลอด ครั้นนางลงจากรถม้าลมก็พัดหอมเอาปรอยฝนผ่านมา นางกำนัลสองคน ผู้หนึ่งคอยประคองไท่จื่อเฟย อีกผู้หนึ่งคอยกางร่มให้

 

 

เพราะเดินเร็วเกินไป สายฝนที่ดูนุ่มนวลแต่แข็งดุจเข็มนั้นตกกระทบแก้มนาง ทิ่มแทงเสียจนเจ็บแสบที่ข้างแก้ม

 

 

ไท่จื่อเฟยมิได้สนใจเรื่องพวกนี้ แต่กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น รองเท้าปักลายขลิบทองของนางเปื้อนโคลนไปนานแล้ว ชายกระโปรงสีเขียวขลิบเงินก็เปียกเปื้อนในเวลาอันรวดเร็ว

 

 

“ไท่จื่อเฟย ทรงเดินช้าลงอีกสักนิดเถิดเพคะ” นางกำนัลที่เอียงร่มไปกันสายฝนดุจเข็มน้ำแข็งให้นาง

 

 

ไท่จื่อเฟยผลักออกทันทีแล้วก้าวเท้าเร็วยิ่งขึ้น “ไม่ต้อง”

 

 

เมื่อถึงประตูก็ไล่นางกำนัลให้ออกไป แล้วพุ่งเข้าไปนั่งใต้ฝ่าเท้าบิดา ร่ำไห้เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านช่วยไท่จื่อด้วยเถิด”

 

 

บิดาของไท่จื่อเฟย นามซูฮั่นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนาง เป็นบุคคลที่มีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งยิ่ง แต่ที่ยากจะหาได้ยิ่งนั้นคือซูฮั่นอายุเพียงสี่สิบต้นๆ ภายหน้ายังมีเส้นทางอีกยาวไกลให้เดิน อย่างน้อยหลังจากที่ไท่จื่อเฟยกลายเป็นหวงโฮ่ว อำนาจในราชสำนักคงเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อใดที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว นั้นย่อมหมายความว่าได้มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว

 

 

ซูฮั่นเป็นคนฉลาด ย่อมทราบดีว่าตำแหน่งไท่จื่อเฟยตกมาถึงตระกูลตนได้อย่างไร

 

 

ตระกูลพระมารดาของเจาเฟิงตี้มิได้มีอำนาจมากนัก กว่าจะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมาได้นั้นต้องลำบากลำบนยิ่ง ครั้นยามเลือกหวงโฮ่วก็เลือกสตรีที่มิได้มีบรรดาศักดิ์สูงศักดิ์ทั่วไป เพราะมิต้องการให้ตระกูลหวงโฮ่วยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว

 

 

ทว่าผู้ใดจะทราบว่าหวงโฮ่วจะจากไปเร็วถึงเพียงนี้ เหลือเพียงรัชทายาทที่ยังเยาว์วัยทั้งไร้พระมารดา ครานี้เจาเฟิงตี้ก็ยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ามากขึ้นไปอีก

 

 

หากให้แต่งกับภรรยาที่ตระกูลมีอำนาจก็กลัวว่าภายหน้ารัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วจะควบคุมพวกเขามิได้ ญาติฝ่ายภรรยามีอำนาจมากเกินไป แต่หากแต่งกับตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไป ตระกูลมารดาขององค์ชายพระองค์อื่นที่มีอำนาจมากก็มีไม่น้อย รัชทายาทคงต้องลำบากแน่

 

 

ซูฮั่นอายุยังไม่มาก ทั้งมีตำแหน่งเป็นถึงรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนาง อาจมิกล้ากล่าวว่ามีลูกศิษย์ทั่วราชสำนัก แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน และที่พิเศษที่สุดคือเขามีซูหยาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว หากภายหน้าคิดจะสร้างสมอำนาจ จะทำได้ง่ายหรือในเมื่อไร้บุตรชาย?

 

 

เจาเฟิงตี้ยังมีแรงและกำลัง ในประวัติศาสตร์นั้นบรรดารัชทายาทที่อยู่ในตำแหน่งนานเกินไป สุดท้ายก็คล้ายมิได้มีอันใดเลย

 

 

แต่ตอนที่เจาเฟิงตี้เลือกบุตรสาวของเขา ซูฮั่นก็ทราบทันทีว่าเจาเฟิงตี้อยากจะปกป้องรัชทายาทผู้นี้จากใจจริง

 

 

ในเมื่อเห็นชัดในจุดนี้ เขาย่อมยินดีที่จะเข้าไปเป็นพระสสุระของแผ่นดินสักครา

 

 

แต่ผู้ใดจะคิดว่าจะมีรัชทายาทที่ทึ่มทื่อเช่นนี้เล่า!

 

 

ซูฮั่นคิดถึงความโชคร้ายของบุตรสาวแล้วก็อดเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันมิได้

 

 

หากเจ้าคิดจะดึงขาผู้อื่นก็แล้วไป ผู้ใดให้เจ้าเป็นรัชทายาทเล่า ผู้อื่นล้วนต้องเข้ามาห้อมล้อมเจ้า แต่เจ้ากับดึงขาตัวเอง เช่นนี้คงไม่ดีกระมัง?

 

 

ต่างกล่าวกันว่าเมื่อตกที่นั่งลำบากจึงเห็นความจริงใจ แต่เป็นรัชทายาทนั้นคาดว่าชั่วชีวิตคงมิเคยต้องตกอยู่ในความลำบากแม้เพียงครั้ง เพราะได้ชักนำไปไปสู่จักรพรรดิแทนแล้ว

 

 

นั้นมันเป็นถึงพยัคฆ์ จะให้จักรพรรดิร่วมต่อสู้แบกรับกับเจ้า มิใช่จะเกินไปหน่อยหรือ?

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฮั่นก็หวาดกลัวขึ้นมาในใจ

 

 

เดิมรัชทายาทก็มิใช่บุคคลที่มีความสามารถจนน่าตกใจอันใด กระทั่งกล่าวได้ว่าธรรมดาทั่วไปยิ่ง แค่มีตำแหน่งเป็นพระโอรสองค์โตเท่านั้น

 

 

องค์ชายที่มีพระชนมายุเหมาะสมแล้วหลายพระองค์ต่างยังมิถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องและย้ายออกไปนอกเมืองหลวง ทรงคิดจะเก็บไว้แทนที่หรือเพื่อฝึกฝนรัชทายาทกันแน่

 

 

พระทัยจักรพรรดินั้นล้ำลึกเกินคาดเดาจริงๆ

 

 

ซูฮั่นขบคิดอยู่เป็นนาน ยามนี้ก็ยังมิกล้ารับรองว่าเจาเฟิงตี้คิดจะทำเช่นใดกับรัชทายาท

 

 

“ท่านพ่อ…” ซูหยาเห็นซูฮั่นไม่เอ่ยอันใดเสียที จึงร้องเรียกขึ้นอีกครา

 

 

ซูฮั่นมีสติกลับมา เขามองดูบุตรสาวคราหนึ่ง

 

 

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน บุตรสาวกลับผ่ายผอมไปมาก ใต้ตาก็มีรอยคล้ำ

 

 

สำหรับบุตรสาวคนเดียวผู้นี้ ซูฮั่นนั้นเลี้ยงดูประคองอยู่ในมืออย่างทะนุถนอมมาแต่เล็กจนโต เมื่อเห็นเช่นนี้จึงถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยว่า “หยาเอ๋อร์ เจ้าร้องไห้โวยวายเช่นนี้ ไม่เหลือเค้าของไท่จื่อเฟยแม้เพียงครึ่ง พ่อเคยสอนเจ้าให้ประพฤติตัวเช่นนี้หรือ?”

 

 

ซูหยาหยุดร้องไห้แล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ท่านพ่อไม่ทราบอันใด วันนี้ไท่จื่อไปเยี่ยมพระอาการป่วย แต่กลับมิได้พบฝ่าบาทเลย แต่องค์ชายรอง องค์ชายสามกลับคอยปรนบัติอยู่ข้างพระวรกายอยู่ทุกวัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ลูกเกรงว่า…”

 

 

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เจาเฟิงตี้ตกใจไม่น้อย และเพราะเหตุนี้ทำให้เกิดปมในใจต่อไท่จื่อ หลังจากกลับถึงเมืองหลวง สุขภาพก็มิใคร่สู้ดีนัก ระยะนี้จึงมิได้ว่าราชการสักเท่าใด ส่วนมากก็พักผ่อนในตำหนัก

 

 

เรื่องที่รัชทายาทสูญเสียจิตใจอันดีงามนี้ ตนเองย่อมทราบดีอยู่แก่ใจ

 

 

“ช่วย จะให้พ่อช่วยอย่างไร?” ซูฮั่นถอนหายใจออกมา “นี้เป็นปมในใจของพวกเขาสองพ่อลูก คงต้องดูว่าไท่จื่อจะทำเช่นใดให้ฝ่าบาทพระทัยอ่อนได้แล้ว หากพ่อยื่นมือเข้าไปแทรกเรื่องก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก”

 

 

“เช่นนั้น เช่นนั้นไท่จื่อควรทำเช่นไรหรือ?”

 

 

ซูฮั่นรู้สึกไม่พอใจยิ่งที่รัชทายาทมิได้ดั่งใจ “ทำในสิ่งที่บุตรกตัญญูควรทำ!”

 

 

“บุตรกตัญญูควรทำอันใดหรือ?” ซูหยาเอ่ยพึมพำออกมา

 

 

ซูฮั่นพยุงนางขึ้นมา “หยาเอ๋อร์ เจ้าควรกลับไปได้แล้ว ยามนี้เจ้าเป็นไท่จื่อเฟย ทุกการกระทำล้วนมีคนคอยจับจ้อง เวลานี้จักต้องห้ามทำอันใดที่ไม่เหมาะสมเด็ดขาด”

 

 

“อืม เช่นนั้นลูกกลับก่อนแล้ว”

 

 

กระทั่งซูหยาจากไป ซูฮั่นก็ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ

 

 

ไม่มีตระกูลมารดาค่อยปกป้อง สิ่งที่ไท่จื่อมีคือเกียรติและศักดิ์ของพระโอรสองค์โตและความรักอันแสนเปราะบางของบิดาเท่านั้น

 

 

สำหรับจักรพรรดิแล้วไม่มีคำว่าบิดาบุตร

 

 

หาก…หากไม่สำเร็จ…

 

 

ไม่ทราบว่าซูฮั่นคิดถึงสิ่งใดถึงเคาะนิ้วมือลงบนพนักวางแขนของเก้าอี้ไม้นั้น ท้องฟ้าอันอึมครึมยิ่งขับให้ใบหน้าเขาขมุกขมัวไม่ชัดเจน

 

 

ณ ตำหนักตงกง

 

 

นางกำนัลต่างเดินย่องอย่างเบามือเบาเท้า แต่ละก้าวล้วนมิกล้าส่งเสียงดัง กระโปรงก็มิกล้าให้ปลิวขยับ ปิ่นปักมิกล้าให้ส่ายไหว ด้วยกลัวว่าจะเกิดเสียงอันผิดแปลกจนก่อให้เกิดภัยมาถึงตัว

 

 

องค์รัชทายาทเดินเข้ามาในตำหนักโดยไม่ใส่ใจแม้จะเปลี่ยนอาภรณ์เสียก่อน

 

 

แววตาของรัชทายาทเป็นประกายขึ้น เขาเดินเข้ามาจับมือซูหยาไว้ “พ่อของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง?”

 

 

ซูหยาลังเลเล็กน้อย “ท่านพ่อบอกว่า ให้ท่านทำเรื่องที่บุตรกตัญญูควรทำ…”

 

 

“ทำเรื่องที่บุตรกตัญญูควรทำ?” รัชทายาทได้ยินก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาปัดถ้วยลายครามตกพื้นไป “ใจอันกตัญญูของข้านั้นน้อยกว่าน้องชายเหล่านั้นหรือ?”

 

 

ดูไม่ออกเลยจริงๆ น้องชายทั้งหลายของเขา ปกติก็แสร้งเป็นคนดีไม่มีที่ติ แต่ถึงตอนนี้กลับเผยหางออกมาแล้ว

 

 

เขายังไม่ถูกปลดเสียหน่อย!

 

 

รัชทายาทยิ่งคิดเรื่องวันนั้นแล้วก็ยิ่งมีโทสะ

 

 

เขามิได้เจตนาเสียหน่อย หากผู้ใดต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ตัวใหญ่เพียงนั้นจะเหลือสติปัญญาสักกี่ส่วนกันเชียว?

 

 

หากทราบว่าทางที่ตนวิ่งหนีไปนั้นมีเสด็จพ่ออยู่ เขาคงยอมถูกพยัคฆ์นั้นกัดเสียดีกว่า

 

 

แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเช่นกัน

 

 

หากถูกพยัคฆ์นั้นกัดเข้า ถ้าหนักหน่อยก็คงถึงกับชีวิต หากเบาหน่อยก็แขนขาขาด เรื่องตายนั้นมิต้องเอ่ยถึงดอก แต่ในประวัติศาสตร์มิเคยมีคนพิการขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์สักคน!

 

 

ถอยหนึ่งก้าวคือตาย เดินขึ้นหน้าอีกก้าวคือแพ้ หรือนี่เป็นลิขิตสวรรค์ ฉากสุดท้ายเขาต้องตายหรือ?

 

 

รัชทายาทนั่งลงทันที

 

 

“ไท่จื่อ…” ซูหยามิใส่ใจพื้นอันเละเทะนั้น นางคุกเข่าลง วางมือลงบนเข่าของรัชทายาท “ท่านอย่าคิดเช่นนั้น ในสถานการณ์เช่นนั้นท่านไหนเลยจะควบคุมอันใดได้ ฝ่าบาททรงพระปรีชา ย่อมต้องเข้าพระทัยดี เพียงแต่ยังมิอาจทำใจรับได้เท่านั้น ท่านเพียงทำอย่างที่ท่านพ่อพูดคือแสดงความจริงใจและกตัญญูต่อพระองค์ ฝ่าบาทย่อมมิตำหนิท่านแน่”

 

 

รัชทายาทฟังแล้วก็เงียบอยู่เป็นนานจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “หยาเอ๋อร์ วันนี้เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว ปล่อยให้ข้าได้คิดเงียบสักพักเถิด”

 

 

รัชทายาทออกจากตำหนักไปยังห้องทรงอักษรแล้วเรียกขุนนางฝ่ายตนเข้ามาพูดคุย

 

 

สถานการณ์ในจวนเจิ้นกั๋วกงก็อึมครึมไม่ต่างกัน

 

 

ชิงเกอถูกส่งกลับมาแล้ว เมื่อเห็นจื่อซู ไปเส้า และคนอื่นๆ ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่

 

 

จื่อซูสงบจิตใจก่อนจะเอ่ยถามว่า “ไม่มีข่าวของต้าไหน่ไหน่สักนิดเลยหรือ?”

 

 

ชิงเกอส่ายหน้า “ต่างค้นหาจนทั่วบริเวณนั้นแล้ว ส่วนเมืองใกล้เคียงก็ไม่มีข่าวคราวใดเลย คุณชายรองบอกว่าเราอยู่ที่นั่นก็เกะกะจึงส่งกลับมา”

 

 

“แล้วชิงไต้เล่า?” ไป๋เสาถาม

 

 

เมื่อเอ่ยถึงชิงไต้ ชิงเกอก็คลึงดวงตาดั่งคนมิได้รับความเป็นธรรม แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ชิงไต้ ชิงไต้นาง…”

 

 

“เกิดอันใดขึ้นกับนาง?” จื่อซูและคนอื่นๆ ต่างตกใจยกใหญ่

 

 

แม้นปกติชิงไต้จะมิใคร่พูดคุยกับผู้อื่น แต่ทุกคนทราบดีว่านางเป็นคนที่ซื่อจื่อมอบให้ต้าไหน่ไหน่ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดา

 

 

แม้นจะมิได้ผูกพันกันมากดั่งเช่นพวกนางที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่จื่อซูและทุกคนทราบดีแก่ใจว่า บางคราชิงไต้นั้นมีประโยชน์กว่าพวกตนมาก

 

 

ขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ ชิงเกอกลับทุบขาตนด้วยความหงุดหงิด “เมื่อได้ยินว่าจะส่งพวกเรากลับมา ชิงไต้นางก็หนีไป ถ้านางจะไปตามหาต้าไหน่ไหน่ เหตุใดจึงมิเรียกข้าไปด้วยเล่า!”

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกหัวเราะมิออกร้องไห้มิได้

 

 

แม้นชิงเกอจะมีพละกำลังมาก แต่นางเป็นคนซื่อๆ หากหนีออกไปคนเดียวจริง เกรงว่าแม้ถึงคนไม่ดีขายนางไป นางก็ยังคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

 

 

“ชิงเกอ เจ้ากลับมาก่อนก็ดีแล้ว รอต้าไหน่ไหน่กลับมา เจ้าจะได้ทำอาหารขึ้นโต๊ะให้ต้าไหน่ไหน่กินอย่างไรเล่า” เยี่ยอิงเอ่ยปลอบใจ

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ทุกคนต่างก็เงียบงันขึ้นมา

 

 

เวลานี้เองอาหลวนกับเสี่ยวฉานก็เดินเข้ามาพอดี

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าอาหลวนดูไม่ค่อยดีนัก จื่อซูจึงถามว่า “อาหลวน มิใช่ออกไปซื้อยาหรือ เหตุใดจึงกลับมามือเปล่าเล่า”

 

 

เพราะความเป็นห่วงที่มีต่อเจินเมี่ยว ทำให้สาวใช้ในเรือนชิงเฟิงต่างมีชีวิตอย่างทุกข์ทรมานใจ อาหลวนร่างกายอ่อนแอจึงเป็นร้อนในเกิดตุ่มแดงขึ้นในลำคอ

 

 

เจ้านายเกิดเหตุไม่ทราบเป็นเช่นใดบ้าง สาวใช้ผู้หนึ่งไม่สบายย่อมมิกล้าเอ่ยบอกผู้อื่น ได้แต่เรียกเสี่ยวฉานออกไปซื้อยาเป็นเพื่อนเท่านั้น

 

 

อาหลวนเม้มริมฝีปากมิเอ่ยสิ่งใด เสี่ยวฉานกลับเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “พี่จื่อซู ช่างน่าโมโหจริงๆ ข้ากับพี่อาหลวนเพิ่งเดินออกไปถึงมุมประตูก็พบกับบ่าวผู้หนึ่ง เขาพูดวาจาไม่ดีกับพี่อาหลวน เรากลัวเขาจะเกาะติดไม่เลิกจึงรีบกลับมา”

 

 

“คนเช่นนั้นมิจำเป็นต้องไปใส่ใจ” จื่อซูเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

เสี่ยวฉานบุ้ยปาก “พี่จื่อซูไม่ทราบอันใด คนผู้นั้นยังพูดอีกว่า จะให้มารดาเขามาขอพี่อาหลวนกับฮูหยินรอง!”

 

 

ไป่หลิงโมโหขึ้นมา “ช่างไร้ยางอายนัก ถือโอกาสที่นายเราไม่อยู่มารังแกเรางั้นหรือ!”

 

 

ไป๋เสามองนางคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “ไม่มีเจ้านาย พวกเราจะนับเป็นอันใดได้?”

 

 

เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไปคนทั้งหลายต่างก็เงียบงันไปทันที

 

 

อาหลวนหน้าตางดงาม โดดเด่นยิ่ง ในจวนกั๋วกงแห่งนี้มีคนจดจ้องนางอยู่ไม่รู้เท่าใด แต่เพราะนางเป็นสาวใช้ของเจินเมี่ยวจึงทำให้ไม่มีใครกล้าทำอันใด

 

 

เมื่อเจ้านายพวกนางเกิดเหตุขึ้น อย่าว่าแต่อาหลวนเลย คนอื่นๆ ก็มิทราบจะมีจุดจบที่ดีอันใดได้?

 

 

อาหลวนเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ทุกคนมิต้องเป็นกังวลแทนข้า เวลาเช่นนี้แม้นเขาอยากจะยื่นมือเข้าแทรก ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่มีรับปากแน่”

 

 

“แต่ถ้าต่อไปเล่า…”

 

 

“ต่อไปหรือ?” อาหลวนแค่นยิ้มเย็น “ต้าไหน่ไหน่กลับมา พวกเขายังจะมีคำว่าต่อไปอีกหรือ? หากต้าไหน่ไหน่…ข้าก็จะโกนผมเป็นแม่ชีเสีย เช่นนั้นคำว่าต่อไปก็คงไม่มีแล้ว!”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset