วาสนาบันดาลรัก 211

ตอนที่ 211

หลัวเทียนเฉิงหมุนตัวกลับไป คลึงหัวคิ้วแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “เจ้าเป็นพวกเห็นคนอ่อนแอต้องเข้าไปรังแกเช่นนั้นหรือ?”

 

 

จินต้ารู้สึกผิดปกติยิ่ง แขกที่มาพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนในยุทธภพ แต่เหตุใดบุรุษหนุ่มธรรมดาที่มาจากหมู่บ้านในหุบเขากลับกล้าพูดจากแข็งกร้าวกับเขา ทั้งดูท่าทางแล้วก็ดูจะจัดการมิง่ายเลย

 

 

แต่อยู่ต่อหน้านายน้อยเขามิอาจอ่อนข้อยอมถอยเพียงเพราะความลังเลเล็กน้อยนี้ เช่นนั้นคงมิใช่สุนัขรับใช้ที่ชอบวางอำนาจแล้ว จินต้าจึงหัวเราะหยันเสียงดัง “หากรังแกเจ้า แล้วจะมีอันใดหรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงมิเอ่ยวาจาอันไร้ประโยชน์ เขาเดินขึ้นไปข้างราวบันได แล้วเหยียบลงบนท่อนราวไม้ที่แตกหักลงมานั้น แค่เขาใช้เท้าบดขยี้ ท่อนราวไม้นั้นก็กลายเป็นเศษไม้ทันที เขาเหลือบสายตาขึ้นท่ามกลางความเงียบอันประหลาดนั้นพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ยังคิดจะรังแกอยู่หรือไม่?”

 

 

จินต้าหันไปมองบุรุษด้วยลำคอแข็งทื่อ

 

 

เห็นชัดว่าบุรุษหนุ่มนั้นพกสติปัญญามาด้วย เขาจึงกดข่มความเบื่อหน่าย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า “พวกเขามิใช่เสี่ยวเอ้อร์ จะไปถามพวกเขาให้ได้อันใด?”

 

 

จินต้าเห็นด้วยยิ่ง นายน้อยฉลาดที่สุด เขาจะมายั่วบรรดาเทพสังหารเหล่านี้ไปไย แค่บีบบังคับเอาห้องกับเสี่ยวเอ้อร์ก็พอแล้ว ส่วนจะได้หรือไม่ได้นั้นก็เป็นเรื่องของเสี่ยวเอ้อร์แล้ว แน่นอนว่าหากไม่ได้ พวกเขาก็จักต้องคิดบัญชีกับเสี่ยวเอ้อร์แทน

 

 

จินต้าใช้สายตานับถือมองบุรุษหนุ่มคราหนึ่ง แล้วหมุนตัวหันไปถลึงตาดุร้ายให้เสี่ยวเอ้อร์ “ในเมื่อเจ้าเปิดโรงเตี๊ยมทำการค้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่ลูกค้าออกไป รีบไปจัดห้องให้เราเสีย มิเช่นนั้นพวกข้าคงต้องพังโรงเตี๊ยมเจ้าแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ

 

 

เรื่องราวนี้ไม่ใคร่ถูกต้องนัก เมื่อใดกันที่อันธพาลผู้ชอบข่มเหงรู้จักถอยทัพเล่า?

 

 

แต่ถ้าเขามิมารังแกสามีนางอีก นางก็คงมิวู่วามเข้าไปสอดแทรกเป็นแน่ นางมิคุ้นเคยกับคน กับสถานที่ ผู้ใดจะว่านี้เป็นผู้ใด

 

 

เห็นชัดว่าหลัวเทียนเฉิงก็คิดเช่นนี้เหมือนกันจึงเอ่ยเสียงเรียบกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “พาพวกเราไปห้องก่อนเถิด”

 

 

เสี่ยวเอ้อร์มิกล้าล่วงเกินใครสักคนจึงได้แต่นำคนทั้งสามขึ้นบันไดไปด้วยเนื้อตัวสั่นเทา

 

 

ที่ชั้นหนึ่งนั้นจึงเหลือเพียงบุรุษหนุ่มและบ่าวผู้ติดตามเท่านั้น

 

 

จินต้าเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “นายน้อยท่านว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีอันใดแปลกประหลาดไปหรือไม่ เหตุใดโรงเตี๊ยมเล็กๆ ทว่าแต่ละคนคล้ายเป็นยอดฝีมือกันทั้งสิ้น?”

 

 

บุรุษหนุ่มก้มหน้าหมุนแหวนหยกที่อยู่ในมือตน แล้วยิ้มเย็น “มิใช่แค่ที่นี่หรอก ที่ชิงหยางก็เช่นกัน หรือเจ้าไม่รู้สึกว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามามากมาย บิดาข้าบอกว่ามีผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งหายสาบสูญ เมืองหลวงจึงส่งคนมากมายออกตามหา ทั้งมือปราบทหารในท้องที่ก็มิใช่ออกตามหาให้ขวักหรือ หากคนในยุทธภพจะมาร่วมสนุกด้วยมีอันใดแปลกเล่า หากหาตัวคนพบ เงินรางวัลที่ได้ก็พอให้พวกเจ้าใช้ไปทั้งชีวิต จะกลับไปใช้ชีวิตที่ดาบต้องเปื้อนเลือดทุกวันไปไยเล่า?”

 

 

จินต้าคลึงดวงตาคราหนึ่ง

 

 

แย่แล้ว แม้แต่นายน้อยของเขาก็เริ่มผิดปกติแล้ว เดือนที่แล้ว นายน้อยของเขายังพาเขาไปเกี้ยวแม่นางน้อยที่แผงขายหมูอยู่แท้ๆ ผู้ที่พูดจาเป็นเหตุเป็นผลตรงหน้านี้คือผู้ใดหรือ?

 

 

บุรุษหนุ่มมิได้เอ่ยอันใดอีก เดิมก็มิควรพูดอันใดกับบ่าวไพร่ให้มากอยู่แล้ว แต่ระยะนี้เขาถูกบิดากำชับไว้ว่าต้องเก็บหางตนทำตัวเป็นคนดีจึงรู้สึกอึดอัดเท่านั้น

 

 

เขามิใช่คนโง่จริงๆ เสียหน่อย ปกติแม้นจะชอบก่อเรื่อง เพราะแม้นเขาจะก่อเรื่องแต่ผู้อื่นก็มิอาจทำอันใดเขาได้ ทว่ายามนี้หากถูกคนบ้าบิ่นฟันคอเข้า เขาจะไปพูดกับผู้ใดได้เล่า

 

 

ต่อให้สุดท้ายกำจัดคนได้ แต่ก็คงสายไปเสียแล้วกระมัง

 

 

“อย่างไรพวกเจ้าก็ต้องหัดคิดสักหน่อย เรามาที่นี่เพื่อดูใบชาของตระกูลหู รีบทำธุระให้เสร็จแล้วรีบกลับดีกว่า อย่าได้ก่อเรื่องให้ข้าเชียว”

 

 

ทุกคนจึงยกมือขึ้นประกบกันเป็นการน้อมรับคำสั่ง

 

 

ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นจะจัดห้องอย่างไรให้บุรุษหนุ่มผู้นั้น เจินเมี่ยวก็มิได้กังวลใจแม้แต่น้อย นางอาบน้ำอย่างสบายใจ แล้วนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง

 

 

หลัวเทียนเฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วถือผ้าเข้ามาเช็ดผมให้นาง

 

 

เจินเมี่ยวยิ้ม “จิ่นหมิง คิดไม่ถึงว่างานที่สาวใช้ทำท่านก็ทำเป็นเช่นกัน”

 

 

“มันคงไม่ยากไปกว่าการฝึกยุทธ์ คัดอักษรกระมัง ไหนเลยจะทำไม่เป็น มีแต่ไม่อยากทำเท่านั้น”

 

 

เจินเมี่ยวได้ฟังใจก็อุ่นร้อนขึ้นมา แล้วจึงเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง เช่นนั้นท่านเกล้ามวยผมเป็นหรือไม่?”

 

 

“ข้าคลายมวยผมเป็น” หลัวเทียนเฉิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

 

 

เจินเมี่ยวหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แล้วกลอกตาใส่เขา

 

 

เหลือเกินจริงๆ คนผู้นี้นับวันยิ่งแปลกขึ้นไปทุกที

 

 

เมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศดูกระอักกระอ่วนจึงรีบเอ่ยว่า “เมืองเล็กๆ แห่งนี้ เหตุใดจึงมีผู้ฝึกยุทธ์มากนัก เรื่องนี้ดูไม่ค่อยปกติสักเท่าใดนัก”

 

 

“ช่างเถิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเรา เราไปที่จวนสกุลหูสักคราก็กลับเมืองหลวงแล้ว” หลัวเทียนเฉิงจับผมดำขลับที่อยู่ในมือเล่น

 

 

“จวนสกุลหู? จวนกั๋วกงมีญาติอยู่ที่นี่หรือ?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

 

 

หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบอยู่นานจึงเอ่ยว่า “คงต้องไปดูก่อนจึงจะทราบ”

 

 

เจินเมี่ยวนั่งลงแล้วเงยหน้ามองหลัวเทียนเฉิงอย่างไม่เข้าใจ

 

 

หลัวเทียนเฉิงหยิบหวีขึ้นมาหวีผมให้นาง หวีไปเรื่อยๆ กระทั่งเกือบเสร็จแล้วจึงเอ่ยว่า “ตอนที่แม่ของอาหู่พบข้าครั้งแรกนางบอกว่าจำคนผิด หลังจากนั้นข้าจึงไปสอบถามจึงรู้ว่านายท่านจวนสกุลหูนั้นหน้าตาคล้ายข้า ข้าถามถึงอายุของเขาแล้วดูใกล้เคียงกับอายุของอาสี่ที่หายตัวไปของข้าพอดี”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ก็มองหน้าเจินเมี่ยว เอ่ยด้วยนัยน์ตาดุจสายธารลึก “ท่านอาสี่หายสาบสูญไปหลังจากที่ไปสืบเรื่องที่ท่านปู่ตกม้า อยู่ไม่เห็นคนตายไม่เห็นศพ เรื่องนี้กลายเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของท่านย่า ขอเพียงมีเบาะแสสักน้อยนิด ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยมันไป”

 

 

เจินเมี่ยวได้ฟังความลับของจวนกั๋วกงแล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ท่านปู่ตกม้า มิใช่อุบัติเหตุหรอกหรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็นคราหนึ่ง “ท่านปู่อยู่กับม้ามาทั้งชีวิต ถึงกับถูกขนานนามว่าเป็นแม่ทัพไม่พ่าย จะตกจากหลังม้าจนกลายเป็นคนสติเลอะเลือนได้หรือ เรื่องนี้ช่างน่าขำสิ้นดี!”

 

 

“เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าเราไปกันเลยเถิด”

 

 

“อืม รีบนอนเถิด” หลัวเทียนเฉิงวางผ้าเช็ดผมไว้ด้านข้างแล้วนอนลงข้างเจินเมี่ยว แต่กลับนอนไม่หลับ

 

 

หากบอกว่านายท่านสกุลหูนั้นเป็นอาสี่ของเขา เขาเองก็ยากจะเชื่อได้

 

 

หากอาสี่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่กลับไปจวนกั๋วกง แต่กลับใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอันแสนกันดารนี้มาหลายปี

 

 

เขาแค่อยากกอดความหวังหนึ่งในหมื่นไว้เพื่อความสบายใจของตนเท่านั้น

 

 

เขาคิดไปเรื่อยกระทั่งเผลอหลับไป

 

 

ราตรีดึกสงัด สายลมกลับมุดเข้ามาในช่องหน้าต่างอย่างไม่ปรานี นำความเหน็บหนาวเข้ามาสู่คนในห้อง

 

 

เจินเมี่ยวม้วนตัวมุดเข้าไปในอ้อมอกหลัวเทียนเฉิง เบียดเสียจนเขาตื่นขึ้นมา

 

 

หลัวเทียนเฉิงลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบาเดินไปยังกระโถนปลดทุกข์ พลันเหลือบไปเห็นเงาดำที่กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างพอดี  เขาจึงหยุดท่าทีปลดกางเกงนั้นทันที แล้วจ้องมองที่หน้าต่างอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

วัตถุทรงกระบอกค่อยๆ ถูกยื่นเข้ามาในช่องหน้าต่าง ควันกลุ่มหนึ่งฟุ้งขึ้นมา

 

 

หลัวเทียนเฉิงจ้องเขม็ง

 

 

หรือนี่จะเป็นกำยานสยบวิญญาณที่คนกล่าวขวัญถึง

 

 

ชาติก่อนตอนที่เขานำทหารไปรบก็พบเจอเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย แต่ของที่ผู้ท่องยุทธภพทั้งหลายใช้กันเช่นนี้เขากลับยังมิเคยได้สัมผัสเลย

 

 

เขากลั้นหายใจรออย่างเงียบเชียบอยู่ไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออกเงียบๆ แล้วปิดลง เงาร่างสีดำทะมึนเดินเข้ามาภายใน

 

 

เงาดำนั้นค่อยๆ เดินไปที่เตียง จากแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทำให้มองเห็นวัตถุสีเงินที่อยู่ในมือคนผู้นั้น

 

 

หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากให้หยักโค้งขึ้น คอยจ้องมองการเคลื่อนไหวของคนผู้นั้นเงียบๆ

 

 

เมื่อเข้าไปใกล้เตียงนอน คนผู้นั้นก็ยกสิ่งที่อยู่ในมือตนขึ้นสูง ทว่ากลับต้องชะงักค้างอยู่ในท่านั้น

 

 

เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงหายไปคนหนึ่ง ความรู้สึกแรกของคนทั่วไปคืองุนงง คนผู้นั้นหายไปไหนแล้ว?

 

 

คนผู้นี้ก็เช่นกัน หลัวเทียนเฉิงจึงฉวยโอกาสตอนที่คนผู้นั้นกำลังมึนงงเข้าไปปิดปากเขาไว้ มือหนึ่งก็จับแขนกดเขาลงกับพื้น แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”

 

 

คนผู้นั้นพยายามดิ้นขัดขืนแต่ก็มิอาจสลัดหลุดได้ ผ้าที่ปิดหน้าเอาไว้ปลิวไสวไปมา

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี เขากระชากผ้าปิดหน้าของคนผู้นั้นออก ใบหน้างามของสตรีผู้หนึ่งจึงปรากฏขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีอายุน้อยที่ใช้แส้ได้อย่างชำนาญผู้นั้น

 

 

น่าเสียดายที่มุมปากของนางมีโลหิตสีดำไหลออกมาแล้ว เห็นชัดว่านางฆ่าตัวตายไปแล้ว

 

 

“หน่วยกล้าตาย? ” หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วมุ่น  เขามิเคยสงสัยในตัวจอมยุทธเหล่านี้เลย

 

 

กล่าวไปแล้ว สตรีผู้นี้ก็มาก่อน พวกเขามาทีหลัง นางไม่มีทางที่จะรู้ก่อนแน่ แต่กลับบุกเข้ามาลงมือฆ่าคน ครั้นทำไม่สำเร็จก็ฆ่าตัวตาย

 

 

จอมยุทธทั่วไปจะเอายาพิษใส่ไว้ในปากเพื่อฆ่าตัวตายเมื่อทำภารกิจไม่สำเร็จหรือ?

 

 

หรือเป็นคนของอารอง?

 

 

หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้า

 

 

หากบอกว่าอารองส่งมาขัดขวางมิให้เขาเข้าเมืองหลวง เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าเขาคงไม่มียอดฝีมือมากมายเพียงนั้นกระมัง

 

 

หลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หากคิดจะดักรอให้เขาเดินเข้าไปหา แต่โรงเตี๊ยมในเมืองเล็กใหญ่แถบเหอเป่ยย่อมต้องมีคนพวกนี้คอยท่าอยู่แน่ถึงได้รู้ทันทีที่พวกเขาสองสามีภรรยามาถึง

 

 

แต่หากเป็นเช่นนั้นคนที่ต้องใช้ย่อมมิใช่จำนวนน้อยๆ เลย อารองคงไม่มียอดฝีมือมากถึงเพียงนั้นแน่

 

 

“จิ่นหมิง ท่านกับแม่นางใต้ร่างกำลังทำอันใดกันอยู่หรือ?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงตกใจลุกผลุงขึ้น แล้วเอ่ยอึกๆ อักๆ ว่า “เอ่อ อาซื่อ เหตุใดเจ้าถึงตื่นขึ้นมาได้เล่า?”เจินเมี่ยวลุกขึ้นมานั่ง เมื่อนางยิ้ม ฟันขาวสะอาดนั้นจึงปรากฏขึ้นในความมืดทันที “หนาวจนต้องตื่นอย่างไรเล่า”

 

 

“เจ้ามิได้สูดกำยานสยบวิญญาณหรือ?” หลัวเทียนเฉิงหลุดปากถามไป เมื่อเอ่ยถามแล้วก็ต้องกลัดกลุ้มขึ้นมา

 

 

เหตุใดจึงรู้สึกว่าวาจานี้มีกลิ่นอายของการรนหาที่ตายเล่า?

 

 

“กำยานสยบวิญญาณ?” เจินเมี่ยวค้ำคางตนไว้ “ท่านพี่ ท่านคงต้องอธิบายอันใดสักอย่างแล้วกระมัง?”

 

 

หรือที่นางฝันว่าได้กลิ่นอันไม่น่าพิศมันนั้นจะเป็นกลิ่นของกำยานสยบวิญญาณ!

 

 

หลังจากนั้นเมื่อลืมตาก็พบสามีกำลังกดทับร่างสตรีหุ่นอวบแน่อยู่บนพื้น ความตื่นเต้นเร้าใจเช่นนี้มิได้ออกจะเกินไปหน่อยหรอกหรือ?

 

 

“อาซื่อ กำยานสยบวิญญาณนั้นสตรีผู้นี้เป็นคนทำ”

 

 

“อืม นั้นคงมิใช่เรื่องสำคัญกระมัง ที่สำคัญคือพวกท่านกำลังทำอะไรกันต่างหาก”

 

 

“เรา…” หลัวเทียนเฉิงคิดจะอธิบาย แต่กลับรู้สึกว่าเรื่องราวมิใคร่จะราบรื่นนัก รีบเดินเข้าไปหาเจินเมี่ยว เอ่ยกับนางเสียงแผ่วเบาว่า “อาซื่อ สตรีผู้นั้นเป็นหน่วยกล้าตาย นางกินยาพิษในปากฆ่าตัวตายไปแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองสตรีผู้นั้น

 

 

อืม ในห้องมืดเกินไป นางจึงเห็นเพียงหุ่นอันโค้งเว้าสวยงามนั้นก่อนอย่างอื่น

 

 

“มา” หลัวเทียนเฉิงไม่คิดปิดบังเจินเมี่ยว

 

 

ภายหน้าไม่ทราบว่าคนทั้งสองต้องเจออันตรายใดบ้าง การเลือกจะปิดบังเพื่อให้ทุกอย่างสงบลงมิใช่การปกป้องที่แท้จริง

 

 

เจินเมี่ยวขยับไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าใบหน้านางเขียวคล้ำไปหมด มุมปากมีเลือดสีดำกว่าปกติติดอยู่

 

 

“สตรีที่เจอเมื่อกลางวันมิใช่หรือ?” เจินเมี่ยวจำนางได้ แล้วจึงเอ่ยถามต่อว่า “แล้วตอนนี้จะทำเช่นใด?”

 

 

“ข้าจะเอานางกลับไปไว้ในห้องตัวเอง พรุ่งนี้เราก็จากไปแต่เช้ามืด เวลาอันรวดเร็วเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดพบความผิดปกติของสตรีผู้นี้แน่”

 

 

“อืม เช่นนั้นท่านรีบไปเถิด” เจินเมี่ยวนวดคลึงขมับตน

 

 

เรื่องนี้ช่างน่าตื่นเต้นยิ่ง เดิมนางคิดว่าจะได้เห็นละครความรักอันดูดดื่ม ทว่าพริบตากลับกลายเป็นละครสยองขวัญ?

 

 

ให้คนเตรียมใจก่อนมิได้หรือ

 

 

ขณะกำลังพร่ำบ่นในใจ ไฟด้านนอกก็พลันสว่างขึ้น เสียงหนึ่งดังลอยมา “แย่แล้ว มีคนตาย ข้าเห็นคนร้ายวิ่งเข้าไปในห้องนี้!”

 

 

เสียงฝีเท้าวิ่งสับสนอยู่นานนอกคล้ายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

 

คนทั้งสองจ้องหน้ากัน แล้วเจินเมี่ยวก็ถามขึ้นว่า “ห้องนั้น คงมิใช่ห้องนี้กระมัง?”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset